หลายปีที่ผ่านมา ศิษย์ทุกคนของสำนักยุทธ์ล้วนปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ในความเป็จริงมีไม่กี่คนที่กล้าท้าคนอื่นด้วยศึกเป็ตาย อย่างไรเสียหากฆ่าอีกฝ่ายไม่ได้ เ้าตัวก็จะต้องตาย เว้นแต่ว่าทั้งสองฝ่ายมีความบาดหมางที่มิอาจแก้ได้ หรือถ้าอีกฝ่ายเชื่อมั่นในพลังของตัวเองสูงก็จะเลือกการตัดสินด้วยศึกเป็ตาย
ทว่าเย่เฟิงผู้นี้อยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 เขาจะมีความสามารถอะไรได้ แต่การที่เขากล้าท้ากุ่ยเตาด้วยศึกเป็ตาย หรือว่าเขาเชื่อมั่นในพลังของตัวเองมาก?
“ศึกเป็ตาย?” กุ่ยเตาคิ้วขมวด คล้ายนึกไม่ถึงว่าเย่เฟิงจะพูดจาเช่นนี้ แต่ถึงเย่เฟิงไม่พูด เขาก็จะฆ่าเย่เฟิงอยู่ดี นี่ถือว่าช่วยเขาพูดโดยไม่ต้องเปลืองน้ำลาย
“เ้าช่างโง่เขลาสิ้นดี อยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 การจะฆ่าเ้า ข้ากุ่ยเตาไม่จำเป็ต้องเปลืองแรงมากนัก” กุ่ยเตาดูถูก และไม่เห็นเย่เฟิงอยู่ในสายตา
“ในเมื่อเ้าอยากตาย เช่นนั้นข้าจะสนองเ้าให้!” กุ่ยเตากล่าว ทันใดนั้นพลังภูตพรายโคจรรอบกาย แสงคมกริบปะทุออกจากดวงตาที่ชั่วร้าย ราวกับแค่มองก็พรากชีวิตไปจากศัตรูได้แล้ว
“สวบ!” กุ่ยเตาก้าวออกมาพร้อมลมปราณพวยพุ่ง ก่อนจะปล่อยพลังฝ่ามือออกไป เงาพรายนับหมื่นกลายเป็มีดพรายขณะพุ่งเข้าโจมตีเย่เฟิง
“ไอสวะ พลังของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ใช่สิ่งที่เ้าจะดูถูกได้หรือ? ตายซะเถอะ!” กุ่ยเตากล่าว พลังฝ่ามือนั้นกล้าแกร่ง และมันก็้าเขมือบเย่เฟิง
“เ้าสำคัญตัวเองมากเกินไปแล้ว!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม
“ฝ่ามือภูผาพิฆาต!” เย่เฟิงแผดเสียงะโ เคล็ดวิชาฝ่ามือภูผาพิฆาตโคจรพลังถึงขั้นสูงสุดพร้อมผสานด้วยพลังหอก ก่อนจะถูกปล่อยออกไปประหนึ่งเทพับนเก้าชั้นฟ้าที่น่าเกรงขาม
เย่เฟิงไม่อยากเสียเวลา ดังนั้นทันทีที่ศึกต่อสู้เริ่มก็ปล่อยฝ่ามือภูผาพิฆาตที่แฝงด้วยพลังหอกออกไป
“ตูม!!!” ฝ่ามือั์เข้าปะทะกับมีดที่แปรผันจากเงาพรายนับหมื่น ฝ่ามืออาละวาดไม่หยุดยั้ง แต่จากนั้นทั้งสองพลังก็สลายไป
กุ่ยเตาไม่รู้สึกผิดคาดเท่าไรที่จัดการเย่เฟิงไม่ได้ภายในหนึ่งการโจมตี เขารู้ว่าเย่เฟิงไม่สามารถวัดพลังได้ด้วยผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 ทั่ว ๆ ไปได้ แต่เขามีความเชื่อมั่น เพราะเขาอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ศึกนี้เขาต้องเป็ผู้ชนะ
“พรึ่บ!” เงาพรายั์ปรากฏกายพร้อมแสงสีดำสว่างไสว ที่แห่งนี้ราวกับกลายเป็ปรโลก เงาพรายส่งเสียงคำราม จากนั้นกรงเล็บภูตพรายขนาดใหญ่เข้าตะปบร่างเย่เฟิง ้าฉีกกระชากร่างเย่เฟิงไม่ให้เหลือชิ้นดี
“ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ!” เย่เฟิงแผดเสียงะโพลางมีสีหน้าเรียบเฉย พลันแผนที่ดาวปรากฏในหัวพร้อมอักขระโคจรอย่างต่อเนื่อง นาทีต่อมาแสงดาวมหาศาลสาดส่องมาที่ร่างเขาราวกับว่าพลังดารายกตัวเย่เฟิงลอยขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเย่เฟิงก้าวออกมาด้วยจังหวะก้าวประหลาด ก่อนจะหลบกรงเล็บภูตพรายนั่นในพริบตาและไปเยือนที่เบื้องหน้ากุ่ยเตา
“นี่มันท่าร่างอะไร ช่างแปลกพิลึกนัก!” ผู้คนต่างต้องตกตะลึงเมื่อเห็นเย่เฟิงใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ มันเป็เคล็ดวิชาท่าร่างที่ล้ำค่ามาก ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อที่เย่เฟิงใช้นี้เป็สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ทำได้เพียงพานพบ แต่มิอาจได้ และทุกคนในที่แห่งนี้ก็ไม่มีใครสักคนเดียวที่มีเคล็ดวิชานี้
เย่เฟิงปล่อยฝ่ามือภูผาพิฆาตที่ผสานด้วยพลังหอกติดกันสามครั้งอย่างไม่ลังเล และการที่พลังหอกผสานกับพลังฝ่ามือ ทำให้พลานุภาพเพิ่มขึ้นหลายเท่า
กุ่ยเตาชะงักไปชั่วขณะ เย่เฟิงอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 ไม่เพียงแต่มีพลังโจมตีที่น่าทึ่ง แต่ยังมีเคล็ดวิชาท่าร่างที่น่าอัศจรรย์ใจ
สามฝ่ามือนี้สร้างภัยคุกคามให้กับกุ่ยเตาอย่างใหญ่หลวง ถึงกระนั้นกุ่ยเตายังคงปล่อยพลังฝ่ามือเข้าต่อต้าน ทว่าคลื่นพลังจากฝ่ามือนั่นทำให้กุ่ยเตาเซถอยหลัง พลางมีสีหน้าบูดเบี้ยว
“นี่มันเคล็ดวิชาอะไรกัน ช่างแกร่งนัก! กุ่ยเตาอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ก็ยังถูกซัดจนถอยหลัง ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก” ผู้คนต่างตกตะลึง พลังที่เย่เฟิงสำแดงทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
“เ้าอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ก็เลยชอบวางอำนาจ แต่ตอนนี้พลังของเ้าก็งั้น ๆ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาทำตัวอวดดี?” เย่เฟิงกล่าวพร้อมปล่อยฝ่ามือภูผาพิฆาตอย่างต่อเนื่อง ทำกุ่ยเตาสีหน้าเขียวคล้ำ จากนั้นเขาก็ปล่อยพลัง ก่อนจะมีเงาพรายนับหมื่นปรากฏกาย
อย่างไรก็ตามหลังจากฝ่ามือภูผาพิฆาตผสานกับพลังหอกก็มีพลานุภาพที่น่ากลัวมาก ในขณะที่ปล่อยพลังฝ่ามือ พลังหอกไร้ที่สิ้นสุดนั่นก็บดขยี้เงาพรายนับหมื่นแหลกเป็เสี่ยง ๆ
“ไอสวะ เ้าอย่าได้ใจมากเกินไปล่ะ!” แววตาของกุ่ยเตาทอประกายเยือกเย็น จากนั้นอาศัยพลังิญญาาเงาพรายปล่อยฝ่ามือออกไป ก่อนจะเข้าปะทะกับฝ่ามือภูผาพิฆาตของเย่เฟิง แรงสั่นะเืพลันขยายเป็วงกว้าง การโจมตีนี้คือพลังที่กุ่ยเตาทุ่มอย่างสุดกำลัง แต่กลับทำให้เย่เฟิงเซถอยหลังได้เพียงก้าวเดียว
การโจมตีของเย่เฟิงร้ายกาจ เขาไม่เกรงกลัวกุ่ยเตาที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 กระทั่งอาจกำราบอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสพักหายใจ เพียงก้าวก็ไปเยือนเบื้องหน้ากุ่ยเตา
อย่างไรก็ตามตอนที่เย่เฟิงเตรียมจะโจมตีกุ่ยเตาต่อ พลันเห็นแสงเย็นสว่างจ้าที่ด้านหน้าเขาพร้อมไอสังหารแผ่กระจาย ห้วงอากาศราวกับแข็งตัว
เร็ว… เร็วจนน่าเหลือเชื่อ!
เย่เฟิงหน้าแข็งทื่อ เขารับรู้ได้ถึงสัญญาณอันตรายที่มาแบบไม่แจ้งเตือนอะไร เขารู้ว่าถ้าตัวเองเคลื่อนตัวช้า ผลลัพธ์คงอาจคาดเดาไม่ได้!
เย่เฟิงไม่มีเวลามากพอให้คิด เขาใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อถอยหลังไปด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง แต่ถึงจะหลบหลีกเร็วพอ ทว่าแสงเย็นที่น่าสะพรึงกลัวนั่นก็ตัดเสื้อผ้าบริเวณหน้าอกของเขาขาดเป็รู เพียงอีกนิดเดียวก็จะถึงเนื้อหนัง
แววตาของเย่เฟิงเผยประกายแสงเย็นะเื แต่ขณะนั้นมีดาบโค้งเล่มหนึ่งปรากฏบนฝ่ามือของกุ่ยเตา ตัวดาบเปล่งแสงเย็นเยือก สว่างไสวจนทิ่มแทงดวงตา
“ทักษะดาบนี้ว่องไวมาก มันสามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย” ผู้คนตาเป็ประกาย ที่มาของสมญานามว่าดาบพรายของกุ่ยเตา ประการแรกคือิญญาแาเงาพรายที่เขาปลุกขึ้น ประการที่สองคือเขาเชี่ยวชาญทักษะดาบ
ทักษะดาบของกุ่ยเตานั้นลึกลับซับซ้อน ทว่าก็ว่องไวและแม่นยำ ลือกันว่าเพียงกุ่ยเตาชักดาบ คู่ต่อสู้ก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เห็นชัดว่าทักษะดาบแข็งแกร่งถึงระดับไหนแล้ว
วันนี้มีบุญได้เห็นกับตา จึงทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจ ดาบของกุ่ยเตาน่าหวาดกลัวสมคำร่ำลือ เช่นนั้นแล้วคู่ต่อสู้ไม่มีทางหนีดาบเล่มนี้ของเขาได้พ้นแน่
อย่างไรก็ตามกุ่ยเตาพัฒนาทักษะดาบที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด ในขณะต่อสู้กับเย่เฟิง ความเร็วไม่ได้ว่องไวปานนั้น แต่การโจมตีที่ต้องตายกลับประสบความล้มเหลว แม้กระทั่งรังสีดาบที่กุ่ยเตาปลดปล่อยยังแตะต้องตัวเย่เฟิงไม่ได้
“ฟู่ว!” เฉิงเฟยที่ดูแลฉู่หานถอนหายใจ เมื่อครู่ดาบนั่นของกุ่ยเตาอันตรายเป็อย่างมาก นางถึงกับแอบปาดเหงื่อในใจ
“แบบนี้แล้วก็ยังฆ่าเ้าไม่ได้ ดวงแข็งเสียจริง!” กุ่ยเตาเผยสีหน้าอึมครึม แต่ก่อนเมื่อเขาชักดาบมักจะต้องมีคนตาย ทว่าบัดนี้กลับถูกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 ทำลายมันได้
“ฮ่า ๆ ๆ” ได้ยินเช่นนั้นเย่เฟิงก็ะเิหัวเราะ
“ทำอะไรข้าไม่ได้ก็จงอย่าหาข้ออ้าง ไร้ยางอายยิ่งนัก!”
“พล่ามให้มันน้อย ๆ หน่อย เมื่อดาบของข้ากุ่ยเตาชักออก เช่นนั้นครั้งนี้เ้าไม่มีโอกาสแล้ว!” กุ่ยเตากล่าวเสียงเย็น พลันเจตจำนงดาบแพร่กระจายในอากาศ เหล่าผู้คนต่างก็รับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นจากเจตจำนงดาบนั่น
ยังไม่สิ้นเสียงดี กุ่ยเตาบิดข้อมือเล็กน้อย ก่อนรังสีดาบจะถูกปลดปล่อยอีกครั้ง ความเร็วดุจดั่งแสง สะบั้นไปยังตำแหน่งหน้าอกของเย่เฟิง แต่เย่เฟิงก้าวเท้าเบี่ยงตัว พร้อมพลังดาราโคจรรอบกายและต่อต้านรังสีดาบของกุ่ยเตา
“ข้าอยากเห็นนักว่าเ้าจะทนไปได้สักกี่น้ำ” แววตาของกุ่ยเตาเผยประกายแสงน่ากลัว รังสีดาบนั่นไร้รูปไร้เงา ลึกลับคาดเดาไม่ได้ ดาบทุกเล่มเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด ทำให้ทุกคนไม่สามารถมองทุกการโจมตีของเขาออกว่าจะลงมือด้วยวิธีแบบไหน
“นี่... จะเร็วเกินไปแล้ว!” ผู้คนต่างใ หากเปลี่ยนเป็พวกเขา ผลลัพธ์คงคาดเดาได้ง่าย
ตอนนี้ดูเหมือนว่าแม้เย่เฟิงจะยืนหยัดได้ไม่เปลี่ยน แต่ฝีเท้าของเขากลับอดเซถอยหลังไปไม่ได้ ราวกับตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
“ควรจบได้แล้ว!” กุ่ยเตาแสยะยิ้ม เย่เฟิงอยู่เพียงขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 แต่สู้กับเขามาถึงจุดนี้ได้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็ที่จะต้องสู้ต่อไปอีก
ทันใดนั้นพลังภูตพรายปะทุออกจากร่างกุ่ยเตา ิญญาาเงาพรายปรากฏกายด้านหลัง ทำให้ลมปราณของเขายกระดับขึ้นสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“เงาพรายสะบั้น!” กุ่ยเตาแผดเสียงะโ ดาบโค้งในมือเขาพลันห้อมล้อมด้วยเงาพรายไร้ที่สิ้นสุดพร้อมพลังภูตพรายไปรวมตัวที่ตัวดาบอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นตวัดดาบออกไป รังสีดาบสีดำราวกับฉีกกระชากฟ้าดิน ทั้งยังทำให้ผู้คนต้องตื่นใกับพลังที่น่าทึ่งนั่นอีกด้วย
“นี่มัน...” หัวใจของผู้คนมิอาจสงบนิ่ง เงาพรายสะบั้นของกุ่ยเตาช่างทรงพลังยิ่งนัก การโจมตีนี้น่าจะเป็การโจมตีถึงแก่ชีวิต ไม่รู้ว่าเย่เฟิงจะรับมือกับมันอย่างไร
รังสีดาบกลบทุกสิ่งจนมิด ท้องฟ้าราวกับถูกพลังภูตพรายแผ่ปกคลุม จนบดบังแสงตะวัน
“มันจบแล้ว! ตายด้วยการโจมตีนี้ ถือว่าไม่เป็การหยามชื่อเสียงของเขาเย่เฟิง” ผู้คนจำนวนไม่น้อยทอดถอนใจ กุ่ยเตาก็คือดาบพราย การโจมตีนี้น่าสะพรึงกลัวและไม่ใช่สิ่งที่เย่เฟิงจะต่อต้านได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่รอเย่เฟิงอยู่ก็คือความตาย!
ขณะมองรังสีดาบพวกนั้นที่พุ่งเข้ามาหาเขาไม่หยุด พลันมีแสงแหลมคมปะทุออกจากดวงตาของเย่เฟิง จากนั้นหอกัเงินประกายปรากฏในมือพร้อมส่องประกายแสงสีเงิน
เมื่อรังสีดาบของกุ่ยเตาจู่โจมมา เย่เฟิงปล่อยหอกออกไปอย่างไม่ลังเล รังสีหอกทะลวงทุกสิ่งทุกอย่าง!
หอกเล่มนี้เรียบง่ายเป็อย่างมาก กระทั่งไร้ซึ่งพลังเคล็ดวิชาใด ๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้