“รุ่นพี่หลิน ด้านในมีของดีอะไรเหรอ?”
เมื่ออยู่ด้วยกันมาหลายวันแล้วหลีซีเอ๋อร์ก็รู้ว่ารุ่นพี่คนนี้มักจะชอบทำตัวเ็า ซ่อนความรู้สึกไว้ในใจส่วนมากก็จะชอบทำตัวนิ่งๆ ถ้าหากว่าบนใบหน้ามีรอยยิ้มล่ะก็ แปลว่าต้องอารมณ์ดีมากๆ
เมื่อคิดไปถึงสิ่งที่ได้มาจากถ้ำหมีดำ เธอก็ยิ้มออกมาจนปิดไม่มิด เมื่อเห็นว่าหลีซีเอ๋อร์ถามเธอก็หยอกล้อออกมาอย่างอารมณ์ดี
“เมื่อกี้ไม่ยอมเข้าไป เพราะงั้นตอนนี้คงจะแบ่งให้ไม่ได้หรอกนะ”
หลีซีเอ๋อร์กระทืบเท้าปึงปังเห็นได้ชัดว่าหลินลั่วหรานได้อะไรที่ทำให้ดีใจมา แต่กลับไม่ยอมบอกให้เธอรู้มันทำให้เธอรู้สึกปวดใจขึ้นมาเสียจริง
หลินลั่วหรานทำเป็ไม่เห็นถึงความร้อนใจของเธอเสี่ยวจินนั้นกินหมีดำจนอิ่มหนำไปแล้ว ตอนนี้จึงกำลังฝึกการเป็หุ่นปั้น “อินทรีทองผู้โดดเดี่ยว” อยู่บนต้นไม้ใหญ่เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็เ้าของก็พุ่งตัวลงมาอย่างว่าง่าย
หลินลั่วหรานลูบลงบนหัวของมัน ก่อนจะหยิบ “หญ้ารก” ที่ดึงมาจากรังของหมีดำออกมา พร้อมกับส่งมันให้เสี่ยวจินเสี่ยวจินรับมันไป ดูจากท่าทางของมันแล้ว มันน่าจะพอใจกับ “หญ้ารก” นี่มากทีเดียว
การให้อาหารของหลินลั่วหรานเป็ไปด้วยความรวดเร็ว หลีซีเอ๋อร์ไม่ได้เห็นชัดเจนเท่าไรนักจึงทำให้เธอนึกแปลกใจขึ้นมา
เดิมทีหลินลั่วหรานก็ไม่ได้อยากจะไปตามหายาวิเศษอย่างทรายประกายพันปีอะไรนี่นักแต่ว่าของที่เธอได้มาจากถ้ำของหมีดำนั้น กลับทำให้เธอตัดสินใจแล้ว ตอนนี้เื่ของยาระดับพื้นฐานนั้นจะมีความหวังเล็กๆ ขึ้นมา อาจจะไม่ได้ราบรื่นนักแต่เธอก็ควรออกไปตามหาทรายประกายพันปีอะไรนี่ดู
หลินลั่วหรานมองที่สารหยกอย่างละเอียดก่อนจะยกมันขึ้นมาเทียบกับพื้นที่ปัจจุบันอีกครั้งถ้ำค้างคาวที่มีทรายประกายพันปีอยู่นั้นอยู่ทางตะวันออกแม้ว่าจะไม่ได้ไกลจากที่นี่นักเมื่อเทียบกับทางออก เป็สถานที่ที่อยู่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกล่าวคือ ถ้ำค้างคาวเป็สถานที่ที่อยู่ใกล้กับสถานที่ลึกลับที่สุดแล้ว
สารหยกแสดงที่ตั้งอย่างชัดเจนถ้ำค้างคาวนั้นตั้งอยู่ระหว่างส่วนที่อันตรายและปลอดภัย หลินลั่วหรานไม่อาจกำหนดชะตาชีวิตของหลีซีเอ๋อร์แทนตัวของเธอได้เห็นกันชัดเจนอยู่ว่าถ้ำของค้างคาวนั้นอันตรายมากแต่หลีซีเอ๋อร์กลับยืนยันว่าจะไปกับ “รุ่นพี่หลิน” ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอไม่มีทางไปหาพวกเหวินกวนจิ่งคนเดียวเด็ดขาดหลินหลั่วหรานจึงไม่ได้พูดมากอะไร เธอเรียกเสี่ยวจินที่เพิ่งกิน “หญ้ารก” ไปเข้ามา ก่อนที่สองคนหนึ่งอินทรีจะพากันบินมุ่งไปทางทิศตะวันตก
เสี่ยวจินนั้นบินเร็วสู้ดาบบินไม่ได้แต่หลินลั่วหรานไม่ต้องกลัวว่าพลังจะไม่พอ
นอกจากจะได้กลิ่นแรงแปลกๆลอยออกมาจากสระน้ำสีดำที่ทำให้ในใจของหลินลั่วหรานรู้สึกกังวลขึ้นมาจนเธอต้องสั่งให้เสี่ยวจินเพิ่มความเร็วขึ้นแล้วความจริงการเดินทางครั้งนี้ของพวกเธอก็นับได้ว่าราบรื่นอยู่
หลินลั่วหรานนั่งอยู่บนแผ่นหลังของเสี่ยวจิน เธอพยายามยับยั้งความกลัวในใจเอาไว้และหันหน้ากลับไปมองพวกเธอบินห่างออกมาสิบกว่าลี้แล้ว เสียงร้องะโก็ถูกส่งออกมาจากกลางบ่อน้ำ ดินโคลนขยับเคลื่อนไหว งูเหลือมสองหัวขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาจากบ่อน้ำมันมองไปยังทางที่พวกหลินลั่วหรานหนีไปก่อนจะลังเลอยู่สักพัก ราวกับรู้สึกว่าสุดท้ายคนสองคนและนกอินทรีหนึ่งตัวเป็เพียงของหวานหลังอาหารของมันแต่ไม่เพียงพอต่อการเป็อาหารจานใหญ่ มันจึงตัดใจไม่ตามไป
หัวของงูเหลือมั์ทั้งสองเหมือนกันไปหมดทุกอย่าง ในยามที่มันใช้ความคิดดวงตาสีแดงเืของมันเยือกเย็นเสียจนทำให้คนได้แต่สั่นไหวไปด้วยความกลัวหลินลั่วหรานไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง จึงยังไม่สามารถััได้โดยตรงอินทรีและงูเดิมทีก็เป็สัตว์ศัตรูกันมาแต่ตามธรรมชาติั้แ่ที่งูั์โผล่หัวออกมา ขนบริเวณลำคอของเสี่ยวจินก็ตั้งตรงขึ้น มันได้แต่โทษพ่อกับแม่ที่ไม่ได้มอบปีกและความเร็วในการบินมากขึ้นอีกเท่าตัวให้มันมาด้วย จนกระทั่งเมื่อข้ามผ่านหุบเขาเ่าั้มา กลิ่นอายเยือกเย็นประหลาดๆของงูเหลือมตัวนั้นก็หายไปแล้ว เมื่อััไม่ได้ถึงกลิ่นอายของเ้างูนั่นอีกมันก็ค่อยๆ ลดความเร็วลงอย่างช้าๆ
เ้านายและข้ารับใช้ทั้งสอง หนึ่งคนหนึ่งนกต่างก็รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านพ้นความตายมาได้จนต้องถอนหายใจออกมามีเพียงคนเดียวที่ไม่รู้อะไรมากนักอย่างหลีซีเอ๋อร์ผู้โง่เขลา เธอได้แต่มองไปรอบๆจากบนหลังของอินทรี และได้แต่รู้สึกถึงความภูมิใจกับความเร็วของเสี่ยวจินจนอดคิดไม่ได้ว่าเธอควรจะไปหานกสักตัวมาเลี้ยงเป็เพื่อนบ้าง
ผ่านการลุ้นระทึกครั้งนี้ไปหลินลั่วหรานก็ระมัดระวังกับเส้นทางของเธอมากขึ้นในป่าเขาลำห้วยนั้นมักมีสัตว์ร้ายซ่อนตัวอยู่เธอจึงพยายามให้เสี่ยวจินบินไปในทิศทางที่เป็ที่โล่งแจ้งและเพราะแบบนั้นจึงลดเื่ไม่คาดคิดลงไปได้มาก
เมื่อเป็แบบนี้แล้ว กว่าหลินลั่วหรานจะเดินทางไปถึงจุดหมายเมื่อนับจากตอนที่ออกมาจากถ้ำของหมีดำ ก็ใช้เวลากว่าห้าวันหากนับตอนที่เธอหยุดพักอยู่ที่ถ้ำลิงด้วยแล้วพวกเธอก็เข้ามาในสถานที่ลึกลับแห่งนี้กว่าสิบวันแล้ว เหลืออีกเพียงยี่สิบวันเท่านั้นแถมยังจะต้องเผื่อเวลาในการกลับไปอีก เมื่อได้ทรายประกายพันปีมาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะยังมีเวลาไปหายาวิเศษอย่างอื่นอีกไหม?
ถ้ำค้างคาวนั้นเห็นได้เด่นชัดมากมันอยู่ในถ้ำกลางแนวเขาที่สวยงามและมียอดเสาที่สูงชะลูดราวกับกำลังค้ำฟ้าอยู่มันสูงขึ้นไปเหนือเมฆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ไม่มีหญ้าขึ้นอยู่เลยรอบด้านก็ถูกลมกัดเซาะจนราบเรียบไปหมด
และสิ่งที่ยิ่งทำให้หลินลั่วหรานใก็คือไม่รู้ว่าเ้ายอดเขานี้ปกปิดอะไรอยู่ เสี่ยวจินถึงได้เอาแต่บินรอบอยู่บนอากาศดูท่าทางเหมือนกับไม่อาจเข้าใกล้และร่อนตัวลงยัง “ยอดเสาค้ำฟ้า” นี้ได้
มันจึงได้แต่ร่อนตัวลงที่ยอดเขาใกล้ๆหลินลั่วหรานตั้งใจว่าจะบังคับดาบเข้าไปแต่ว่าเมื่อดาบเจาเสวี่ยบินขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ก็สูญเสียการควบคุมไป ก่อนจะค่อยๆร่วงลงมา ไม่อาจจะขยับไปได้อีก!
ถ้าหากว่าเป็ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากเสี่ยวจินและดาบเจาเสวี่ยแล้วหลินลั่วหรานก็คงไม่คิดว่าเื่เลวร้ายอะไรนัก แต่เื่ที่หนักไปกว่านั้นก็คือในตอนที่หลินลั่วหรานกำลังถามกับ “สารานุกรม” นั้น แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ กลับมาเลย หินิญญานั้นเห็นได้ชัดว่ายังคงนอนนิ่งอยู่ในถุงจักรวาลที่จริงแล้วที่เสาที่ราบเรียบแบบนั้นมีอะไรอยู่ข้างไหนกันแน่?!
ทำให้เสี่ยวจินหวาดกลัว รบกวนดาบเจาเสวี่ย อีกทั้งยังตัดขาดการติดต่อของเธอกับท่านเทพป๋ายอีก!
สายตาของหลินลั่วหรานสงบนิ่งราวกับสายน้ำ จะไปหรือไม่ไปนั้นไม่ว่าอย่างไรทรายประกายพันปีก็เป็วัตถุดิบที่สำคัญของยาระดับพื้นฐานหากว่าจะถอยตรงนี้ เธอไม่อาจจะรับประกันได้ว่าหลังจากเธอไปจากที่นี่แล้วเธอยังจะสามารถหาทรายประกายพันปีได้อีกไหม...
เธอมองไปยังหลีซีเอ๋อร์ที่ไม่รู้เื่อะไรข้างกายหลินลั่วหรานก็คิดจะบอกลาขึ้นในทันที
“ซีเอ๋อร์ เสี่ยวจินกำลังอารมณ์ไม่ดีสงสัยว่า่หลายวันมานี้คงจะบินจนเหนื่อยแล้ว เธอพามันไปพักแถวๆ นี้รอฉันกลับมานะ”
หลีซีเอ๋อร์นั้นโง่เขลาแต่ว่าการที่ดาบเจาเสวี่ยบินไม่ได้ก็เป็สิ่งที่เธอเห็นด้วยตาของเธอเองจึงสงสัยกับคำบอกของหลินลั่วหราน เมื่อเธอ้าจะถามแต่กลับมองข้ามสิ่งในใจของหลินลั่วหรานไปไม่ได้เธอจึงได้แต่กล่อมเสี่ยวจินให้เดินออกไป
หลินลั่วหรานมองไปยังเสาสูงที่ตั้งอยู่ตรงหน้าแม้ว่าบนสารหยกจะระบุตำแหน่งเอาไว้ว่าที่นี่ทรายประกายพันปีอยู่แต่นั่นก็แสดงว่าต้องมีคนเคยมาที่นี่แล้ว
หลินลั่วหรานขยับมือร่ายท่าทาง ลำแสงจางๆ เปล่งประกายขึ้นมาดูเหมือนว่าพลังทั้งห้าจะไม่ได้ถูกควบคุมเอาไว้ เสาสูงนี่ก็น่าจะพอไหวอยู่
ไม่สามารถควบคุมดาบได้...แบบนั้นก็ตามแต่พลังเท้าแล้วกัน!
หลินลั่วหรานเดินขึ้นไปก่อน ก่อนจะพบว่ายอดเขานั้นลื่นมากยากจะขยับเคลื่อนไหวได้ ในใจของเธอภาวนาขึ้น ก่อนจะกอบโกยดินโคลนขึ้นมาเธอแปะมันไว้ที่ใต้เท้า แล้วใช้พลังธาตุดินร่ายเวท โคลนเหนียวนั่นจึงอ่อนตัวลงและทำให้หลินลั่วหรานจมลงสู่ใต้ดิน แต่กลับมีพื้นผิวที่เหมือนกับกระจกเมื่อไม่มีความช่วยเหลือจากดินโคลนก็เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ที่เธอถูกดูดลงไปใต้ดิน
หลินลั่วหรานเห็นว่าเป็แบบนี้ก็น่าจะพอเป็ไปได้ เธอจึงะโสูงขึ้นมาทุกครั้งที่ตกลงมาจะมีระยะห่างประมาณสี่ถึงห้าเมตร แม้ว่าจะต้องใช้เวท “ลงพื้น” เวลาที่ตกลงมาด้วยความยากลำบากแต่เพราะแบบนั้น หลังจากใช้เวลาไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเธอก็สามารถมาถึงยอดเขาที่ดูเหมือนหน่อไม้ได้สำเร็จ
ยอดเขาหายทะลุขึ้นไปในเมฆ และเธอก็ไม่รู้พวกค้างคาวนั้นมีอะไรที่ดูแปลกไปถึงได้มาทำรังในที่แปลกๆ แบบนี้
หลินลั่วหรานตรวจสอบอยู่สักพักก่อนจะพบว่าทางตะวันตกของยอดเขามีถ้ำขนาดสองคนเดินอยู่ดูเหมือนว่าน่าจะเป็รังของพวกค้างคาว
ถ้าหากบอกว่าถ้ำของหมีดำนั้นมีกลิ่นเหม็นอย่างหนึ่งการที่มายืนหน้าทางเข้าถ้ำค้างคาวแบบนี้หลินลั่วหรานก็ได้กลิ่นที่เหมือนพวกเชื้อราแบบนั้นขึ้นมา...ใช่แล้วมันคือกลิ่นอับของเชื้อราที่พบได้ในปลายปี่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
แต่ว่ากลิ่นเหม็นของถ้ำหมีนั้นทำให้เธอได้อะไรมามากดังนั้นถ้ำค้างคาวที่ส่งกลิ่นอับเชื้อราออกมาก็อาจทำให้ตามหาทรายประกายพันปีอย่างที่้าได้ใช่ไหม?