จิ่งฝานไม่รู้ว่านอนอยู่ในห้องใต้ดินนานขนาดไหนแล้ว ถ้าอิงจากความหิวก็น่าจะเกือบวันหนึ่ง ถึงแม้ท้องจะหิว แต่พละกำลังก็กลับมาแล้ว าแล้วนดีขึ้นมาก ยาที่เขาเอามาล้วนเป็ยาชั้นดีจึงหยุดเืสมานแผลได้เร็ว เห็นผลดียิ่งนัก
ถึงแม้ว่าาแจะดีขึ้นและพละกำลังก็กลับมาแล้ว แต่ครั้งนี้จิ่งฝานเริ่มฉลาดขึ้นมาบ้าง ไม่กล้าขยับโดยพลการอีก เขาไม่ได้แก้เชือกออก จึงทำได้เพียงแนบชิดไปกับกำแพงอย่างเรียบร้อยเท่านั้น
เทียนไม่กี่เล่มนั้นมอดไปแล้ว ทั้งห้องจึงมืดสนิทไร้เสียง ข้างหูมีแต่เสียงหนอนแมลงคลานไปมาเบาๆ บนหญ้าแห้ง
ผ่านไปอีกครึ่งวัน ในขณะที่จิ่งฝานคิดว่าวันนี้คงไม่มีผู้ใดมาสนใจเขาแล้วนั่นเอง แผ่นไม้เหนือศีรษะก็ส่งเสียงครืดคราด มีแสงลำหนึ่งลอดเข้ามาจึงทำให้ทั้งห้องสว่างขึ้นมาทันตา
จิ่งฝานเงยหน้ามอง มีคนเดินลงมาหลายคน นอกจากเฒ่าหลิวน่ารังเกียจและลูกกระจ๊อกสองสามคนแล้ว คนที่ถูกเรียกว่าพี่ตงผู้นั้นก็ลงมาด้วย สายตาเกรี้ยวกราดแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่ยากจะปกปิด ส่วนเฒ่าหลิวน่ารังเกียจที่เดินตามหลังอยู่นั้นก็ยิ้มอย่างน่ารังเกียจเช่นกัน
ห้องใต้ดินสว่างขึ้นมาก แต่จิ่งฝานยอมมองไม่เห็นเสียยังดีกว่า ศพของเด็กน้อยตรงหน้ายิ่งปรากฏสู่สายตาเขาอย่างชัดเจน ผอมบางจนทำให้เขาอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ขนาดมองดูแล้วยังต้องกลั้นสะอื้นจนรู้สึกทรมาน
“คุณชายน้อยฟื้นแล้วหรือ อยู่ห้องใต้ดินนี้เป็อย่างไรบ้าง พวกข้าละเลยจนทำให้ท่านได้รับความลำบากแล้วจริงๆ ฮ่าๆๆ!”
เสียงแหบต่ำของพี่ตงทำให้จิ่งฝานดึงสติกลับมาได้ มองดูกลุ่มคนตรงหน้านี้แล้วก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันที
“คุณชายน้อยสีหน้าไม่ดีเลย าแเป็อย่างไรบ้าง? ต้องโทษเหล่าหลิว1 ที่ลงมือหนักเกินไปจนทำให้คุณชายาเ็แล้ว ข้าจ้าวตงต้องขออภัยคุณชายมา ณ ที่นี้ด้วย”
จิ่งฝานเบิกตามองเขาทีหนึ่ง ดวงตาที่เปิดอยู่ครึ่งๆ นั้นดูลึกล้ำอยู่หลายส่วน แตกต่างจากท่าทางของคุณชายผู้อ่อนโยนดีงามที่เจอกันครั้งแรกอยู่มาก คนที่อ่อนโยนนุ่มนวลนั้นแท้จริงแล้วกลับมีบรรยากาศอันร้ายกาจซุกซ่อนอยู่เช่นกัน
พี่ตงแทบอดถอยหลังไปไม่ได้ กลับเห็นว่าจิ่งฝานลืมตาขึ้นอย่างเต็มที่ ในดวงตาที่ยังคงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเฉกเช่นเดิมกลับจ้องเขาอย่างเอาเป็เอาตาย น้ำเสียงแหบแห้งเหมือนจะพยายามข่มกลั้นนั้นพูดออกมาช้าๆ ทีละคำว่า “เด็กคนนี้ตายได้อย่างไร?”
พวกจ้าวตงก้มศีรษะลงถึงเพิ่งเห็นเด็กที่อยู่ที่เท้า ดูบอบบางยิ่งและนอนอยู่ตรงนั้นซึ่งสูงกว่าหญ้าแห้งที่ปูอยู่ใต้ตัวเขาขึ้นมาเล็กน้อย ทุกคนจึงพากันถอยหลังอย่างรังเกียจ จ้าวตงพูดด้วยความโกรธว่า “ปกติผู้ใดเป็คนเก็บกวาดที่นี่? ไม่ดูบ้างเลยหรือ? วางคนตายไว้ที่นี่ไม่ขยะแขยงบ้างหรืออย่างไร”
ลูกกระจ๊อกทางด้านหลังจึงรีบตอบว่า “พี่...พี่ตง เป็...เป็พวกเราที่ไม่ได้สังเกต จะเก็บให้สะอาดเดี๋ยวนี้”
จ้าวตงมีสีหน้ารังเกียจ “วันหน้าอย่าให้มีเื่เช่นนี้อีก นอนอยู่เหนือหัวคนตาย ข้ารู้สึกขยะแขยง”
คนด้านหลังรีบตอบรับทันทีว่า 'ขอรับ'
ไม่มีความรู้สึกผิดหรือเสียใจแม้แต่น้อย
จิ่งฝานกลืนก้อนที่จุกอยู่ที่คอลงไปแล้วถามอีกครั้งว่า “เด็กคนนี้ตายได้อย่างไร?”
พูดตามตรง ตัวจ้าวตงเองก็ไม่รู้ เด็กที่พวกเขาเคยเอาไปขายนั้นมีมากมาย บางคนที่ไม่ค่อยแข็งแรงก็ป่วยง่าย บางครั้งเงินที่ใช้ในการรักษาพวกเขานั้นยังมากกว่าเงินที่ได้จากการเอาเด็กไปขายเสียอีก นานวันเข้าก็เริ่มมีบางคนที่ตาย พอตายเยอะเข้า พวกเขาก็เริ่มไม่สนใจแล้ว นอกจากพวกลูกกระจ๊อกที่เพิ่งมาใหม่ซึ่งพากันตกอกใ แต่พวกเขาเห็นจนชินตาแล้ว แค่ชีวิตเดียว สำหรับพวกเขาแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับหมาแมว
“เด็กคนนี้ตายได้อย่างไร?” จิ่งฝานยังไม่ได้รับคำตอบจึงถามเป็ครั้งที่สาม
พวกจ้าวตงเห็นเขาดื้อด้านถึงเพียงนี้ก็หัวเราะออกมาเบาๆ คุณชายน้อยจากตระกูลใหญ่ผู้ไม่เคยเห็นโลกกลับเกลียดคนชั่ว ชอบผดุงคุณธรรมหรอกหรือ?
“ผู้ใดจะไปรู้ว่าตายได้อย่างไร มีความเป็ไปได้แปดส่วนว่าคงจะป่วยตายกระมัง? ต้องโทษข้าที่ปกติไม่ทันได้ใส่ใจ แต่ว่าคุณชายน้อยโปรดวางใจ ตัวข้าจ้าวตงผู้นี้ใส่ใจท่านมาก ไม่ยอมให้ท่านเป็อย่างเขาแน่ และแน่นอนว่า...” พอพูดประโยคนั้นจบ ในสายตาของจ้าวตงก็มีความเหี้ยมโหดเพิ่มเข้ามา “หากเ้าไม่เชื่อฟัง เช่นนั้นข้าก็คงรับประกันไม่ได้ว่าจะให้เ้ามีชีวิตอยู่ดีหรือไม่”
จิ่งฝานยืดตัวนั่งตรง “หนึ่งชีวิตตายด้วยมือพวกเ้าแล้ว พวกเ้ากลับไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาตายได้อย่างไรอย่างนั้นหรือ?”
จ้าวตงเริ่มหมดความอดทนแล้วขมวดคิ้ว “คุณชายห่วงกังวลเื่ของตัวเองดีกว่ากระมัง เ้ายังมีเวลาไปสนใจเื่ของคนตายอีกหรือ”
พูดจบก็หันไปมองพวกลูกกระจ๊อก “พาเขาขึ้นไป”
ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทแล้ว แต่แสงเทียนในห้องกลับสว่างไสวมากจนจิ่งฝานต้องหรี่ตาลง
พวกจ้าวตงไม่ได้อยู่ในห้องนานนักก็พาจิ่งฝานออกนอกประตูไป นอกประตูมีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ ภายใต้ค่ำคืนอันมืดมิดที่แสงจันทร์ถูกบดบังด้วยเมฆครึ้มนั้นจึงทำให้เห็นรูปทรงต่างๆ ไม่ชัดเจน
มีเพียงจิ่งฝาน จ้าวตง และเฒ่าหลิวน่ารังเกียจแค่สามคนเท่านั้นที่ขึ้นไปบนรถม้า เฒ่าหลิวน่ารังเกียจคุมรถม้าอยู่ด้านนอก ส่วนจิ่งฝานกับจ้าวตงนั่งอยู่ด้านใน คนทั้งสองต่างไม่พูดอะไร จ้าวตงรู้สึกว่าความเงียบของคุณชายตรงหน้านี้ช่างน่าขันยิ่งนัก อาจเป็เพราะไม่รู้จึงไม่กลัวก็เป็ได้ คุณชายน้อยที่ถูกเลี้ยงอยู่แต่ในห้องหับไม่เคยเห็นโลกคงไม่รู้หรอกว่าความโหดร้ายอะไรกำลังรอเขาอยู่ แล้วยังจะว่างมาสนใจความเป็ความเป็ความตายของผู้อื่นอีก จ้าวตงหัวเราะอย่างเ็าออกมาทีหนึ่ง
“คุณชายน้อยรู้หรือไม่ว่าพวกเราจะพาเ้าไปส่งที่ใด?”
จิ่งฝานส่ายหัวอย่างเรียบร้อย “ไม่รู้”
จ้าวตงหัวเราะด้วยเสียงแปลกประหลาด “คุณชายหน้าตางดงามท่าทางดูดีเช่นเ้านี่ล้วนเป็ที่้ามาก คนจำนวนนับไม่ถ้วนจะต้องแย่งกันซื้อเ้า แต่ซื้อไปทำอะไรนั้นก็สุดแล้วแต่คนซื้อแล้ว”
จิ่งฝานนิ่งเงียบไม่ตอบคำ
จ้าวตงเองก็ไม่รอให้เขาตอบกลับแล้วหลับตาลง
รถม้าสั่นไหวตลอดทาง เดินทางอยู่นานมากทีเดียว จิ่งฝานััถึงทิศทางที่รถม้าเคลื่อนไป แม้จะเลี้ยวหลายโค้งมาก แต่เขาก็จำได้อย่างชัดเจนทั้งหมด
ด้านนอกรถม้ามีเสียงสุนัขเห่าหอนแทรกเข้ามา แล้วยังมีเสียงนกที่เหมือนจะอยู่ไกลและใกล้ลอดเข้ามาอีกด้วย ภายใต้ค่ำคืนอันเงียบสงัดก็ยิ่งทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว แล้วจู่ๆ รถม้าก็หยุดลง จากนั้นเฒ่าหลิวน่ารังเกียจก็เปิดม่านขึ้น “พี่ตง ถึงแล้ว”
คนทั้งสองลากจิ่งฝานลงมา รถม้ามาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนแห่งหนึ่ง ดูจากภายนอกแล้วก็ธรรมดา ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น คนทั้งสามเดินไปที่หน้าประตู จ้าวตงตบประตูไม้หนาหนักนั่นแรงๆ สามที เนิ่นนานด้านในจึงค่อยมีเสียงตอบรับ แต่ไม่ได้เปิดประตู แล้วก็ไม่ใช่เสียงพูดด้วย แค่ตอบกลับด้วยเสียงตบประตูเหมือนกันสามทีเท่านั้น
จ้าวตงเปิดปากพูด กดเสียงต่ำลงเล็กน้อย “มารบกวนดึกดื่นแล้ว เพราะว่าเดินทางกลางดึกจึงอยากมาขอที่พักแรม”
ด้านในถามว่า “ผู้ใด?”
“คนผ่านทางมาชื่ออาตง”
สักพักประตูก็เปิดจากข้างใน คนที่เปิดเป็คนที่ดูค่อนข้างธรรมดา ไม่โดดเด่น ผมแต่ละเส้นถูกรวบอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยไว้บนศีรษะ เสียบไว้ด้วยปิ่นธรรมดาๆ อันหนึ่ง สวมชุดสีเทาทึบๆ จ้าวตงประจบอย่างมีมารยาทไปสองประโยค คนผู้นี้กลับไม่ตอบกลับแม้แต่คำเดียว แต่สายตากลับเลื่อนไปมาอยู่บนร่างจิ่งฝาน สายตาดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด หนุ่มน้อยที่มีรูปร่างหน้าตาท่าทางโดดเด่นถึงเพียงนี้เกรงว่าคงหาได้ยากยิ่ง
พวกจ้าวตงแค่เห็นสายตาของคนชุดเทาก็รู้แล้วว่าต้องราคาดีแน่จึงหาได้สนใจท่าทางที่ไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายไม่ เพราะตอนนี้ในสมองมีแต่เงินจำนวนมหาศาล
เมื่อผ่านฉากกั้นเข้ามา ห้องที่ปรากฏสู่สายตานั้นเล็กมาก มองทีเดียวก็เห็นได้ทั้งหมด ซ้ายขวามีห้องแยก ตรงกลางเป็ห้องโถง ถัดไปด้านในน่าจะยังมีห้องแยกอีก คนชุดเทาพาพวกเขาเดินตรงไปยังห้องโถง
เรือนนี้เกรงว่าคงจะเป็แค่จุดพักเล็กๆ เท่านั้น
“นี่คือคนที่พวกเ้าพามาหรือ?! ล่อลวงมาจากที่ใดกัน หลายปีมานี้นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นหนุ่มน้อยชั้นดีถึงเพียงนี้!”
เทียบกับคนชุดเทาแล้ว ชัดเจนว่าคนผู้นี้แสดงออกทางอารมณ์มากกว่า พอเห็นจิ่งฝานก็ลุกยืนขึ้นทั้งร่าง ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกาย
จ้าวตงรีบยิ้มแล้วตอบ “เป็โชคน่ะขอรับ ไม่รู้ว่าเป็คุณชายน้อยจากตระกูลใด ไม่เคยเห็นโลกภายนอก บอกว่าเป็วิชาแพทย์ อยากรักษาโรคให้พวกข้าถึงได้ติดกับอย่างง่ายดาย นายท่านเมิ่งชอบก็ดีแล้วขอรับ”
นายท่านเมิ่งผู้นี้มีรอยยิ้มเ้าเล่ห์ ยกมือขึ้นชี้จ้าวตงแล้วหัวเราะฮิๆ ออกมาสองที “จ้าวตง พวกเ้านี่ช่างชั่วช้าจริงๆ ถึงขนาดหลอกลวงหนุ่มน้อยผู้บริสุทธิ์จิตใจดีได้”
จ้าวตงคิดในใจว่าคนชั่วช้าจริงๆ น่าจะเป็เขามากกว่า แค่ดูหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี น่าเสียดายที่คำพูดนี้ทำได้แค่กลืนลงท้องไป สีหน้ายังคงยิ้มแย้มตอบรับ
พวกเขาพูดคุยกันเื่ราคาของจิ่งฝานราวกับกำลังซื้อขายสินค้าก็ไม่ปาน ไม่มีท่าทางรู้สึกผิดหรือเสียใจแม้แต่น้อย โอหังบังอาจอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการเจรจาต่อรองมืดนี้ จิ่งฝานไม่เคยพบเคยเจอเลยจริงๆ เขามองคนพวกนั้นต่อรองราคากันอย่างเงียบๆ
และความสงบนิ่งเช่นนี้ก็ไปดึงดูดสายตาของคนชุดเทาเข้า “เ้าดูใจเย็นเสียจริง ยังหวังให้คนจากตระกูลมาช่วยเ้าอีกหรือ? เมื่อมาถึงมือข้าแล้ว ต่อให้เป็ตระกูลที่ใหญ่สักเพียงไรก็ไม่มีทางหาเ้าเจอแน่”
นี่นับเป็ประโยคที่ยาวที่สุดที่คนผู้นี้เคยพูดมาั้แ่แรกพบจนถึงตอนนี้เลยทีเดียว
แต่ว่าจิ่งฝานได้ยินแล้วก็แค่ส่ายหน้า เขายังคงอยู่ในสภาพมอมแมม แต่ความมอมแมมนี้พอมาอยู่บนร่างเขาแล้วก็ยังดูน่ามองอย่างน่าประหลาด “ไม่จำเป็ต้องรอให้คนในตระกูลข้ามาช่วยหรอก”
น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลอ่อนโยน
ทุกคนพากันเงียบลง คนที่ถูกจ้าวตงเรียกว่านายท่านเมิ่งส่งเสียงดัง ‘อ้อ’ ออกมาทีหนึ่งด้วยความใคร่รู้ “ทำไม? หนุ่มน้อยลักษณะท่าทางโดดเด่นถึงเพียงนี้ ข้าเดาว่าตำแหน่งในตระกูลเ้าคงไม่ต่ำต้อยใช่หรือไม่? หากเ้าหายไป บิดามารดาเ้าก็ต้องตามหาเ้าแน่ใช่หรือไม่?”
จิ่งฝานพยักหน้า ส่งเสียงดังอืมออกมาทีหนึ่ง “หากข้าหายไป พวกเขาต้องตามหาข้าแน่”
“เช่นนั้น...”
ไม่รอให้คนแซ่เมิ่งผู้นั้นพูดจบ จิ่งฝานก็พูดว่า “แต่ข้าไม่ยอมหายไปแน่”
คนชุดเทายกมุมปากขึ้น “อย่างที่จ้าวตงพูดไม่มีผิด คุณชายเช่นพวกเ้าไม่เคยเห็นโลกจริงๆ เ้าคิดว่าเ้าจะหนีออกไปได้อย่างนั้นหรือ?”
จิ่งฝานพยักหน้าอย่างจริงจังเต็มร้อย
ทุกคนสะอึกไป แต่แค่ครู่เดียวก็พากันหัวเราะออกมา โดยเฉพาะนายท่านเมิ่งนั้นหัวเราะอย่างโอหังยิ่ง แล้วพูดติดต่อกันว่า ‘ดีมาก’ หลายคำ “เด็กไร้เดียงสาเช่นนี้ ข้าชอบจริงๆ ดีมาก”
หัวเราะเสร็จ คนผู้นี้ก็เปลี่ยนสีหน้าทันที สีหน้าเ้าเล่ห์นั้นดูดำมืดชั่วร้ายขึ้นหลายส่วน เมื่ออยู่ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองมืดๆ ก็ยิ่งดูน่ากลัวราวกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่นี้ไม่เคยมีอยู่จริง เฒ่าหลิวน่ารังเกียจกับจ้าวตงถูกทำให้ตกตะลึงจนตัวสั่น
คนแซ่เมิ่งยกยิ้มที่มุมปากแล้วจ้องจิ่งฝาน “เด็กโง่ อย่าฝันเฟื่องไปหน่อยเลย เมื่อมาถึงมือข้าแล้วก็ไม่เคยมีผู้ใดได้กลับออกไป”
เมื่อเห็นจิ่งฝานไม่ตอบ คนแซ่เมิ่งก็อ่อนโยนขึ้นมาทันใดแล้วพูดเสียงอ่อนว่า “แต่เ้าวางใจได้ อย่างเ้านี่ต่อไปก็คงอยู่ได้อย่างสุขสบาย ไม่แย่กว่าที่เ้าเคยอยู่มาอย่างแน่นอน”
“พวกเ้าขายเด็กไปกี่คนแล้ว?”
เมื่อถูกจิ่งฝานถาม คนแซ่เมิ่งก็อึ้งไปแล้วนึกย้อนอยู่เป็นาน “มากมายยิ่ง ผู้ใดจะไปจำได้กัน?”
“พวกเ้าพาพวกเขาไปขายที่ใด? แล้วยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
“เด็กน้อย เื่พวกนี้คงบอกเ้าไม่ได้” คนแซ่เมิ่งหัวเราะ “แต่ละคนล้วนมีที่ไปแตกต่างกัน แต่รูปลักษณ์อย่างเ้านี่...แน่นอนว่าน่าจะมีอายุยืนยาวอยู่สักหน่อย คนที่เชื่อฟังย่อมมีอายุยืน ก็ต้องดูความสำราญของคนซื้อแล้ว ฮ่าๆๆๆ!”
จิ่งฝานพยักหน้าแล้วเคลื่อนกำลังภายใน ทันใดนั้นเชือกหลายชั้นที่พันอยู่รอบตัวก็ร่วงลงบนพื้นในทันที ทุกคนจึงพากันตกตะลึงไปเล็กน้อย
คนแซ่เมิ่งหัวเราะเสียงเย็น มองจ้าวตงอย่างเ็า “เหล่าจ้าว เ้าหาได้ทำงานละเอียดไม่ วันหน้าหากยังเป็เช่นนี้อีก ข้าคงไม่กล้าร่วมมือกับเ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นหากทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ข้าคงต้องมาคอยตามล้างตามเช็ดให้เ้ากระมัง”
จ้าวตงรีบขอโทษติดต่อกัน “ไม่ได้ดูให้ละเอียดมาตลอดทาง ไม่คิดว่าเ้าเด็กนี่จะคลายเชือกได้ ครั้งหน้า...ครั้งหน้าจะต้องดูอย่างละเอียดแน่นอนขอรับ”
คนแซ่เมิ่งเหล่มองเขาทีหนึ่ง จากนั้นหันเหสายตาไปที่จิ่งฝานอีกครั้ง มุมปากมีรอยยิ้มดูถูก
เหล่าหลิว1 (老刘)เหล่าในภาษาจีนจริงๆ แล้วแปลว่าแก่ แต่ในที่นี้ใช้เป็คำเรียกเพื่อนหรือคนสนิท
