“ผู้าุโเจิ้ง ผลการประเมินของบัณฑิตใหม่ในครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้วขอรับ มีบัณฑิตทั้งหมดสามร้อยหกคนที่ยังไม่กลับมาขอรับ”
ผู้ดูแลการประเมินในครั้งนี้กล่าวรายงายผู้าุโเจิ้งด้วยความเคารพ
บัณฑิตจำนวนสามร้อยหกคนไม่ได้กลับมาภายในเวลาที่กำหนด และคาดว่าส่วนใหญ่คงประสบเหตุในเทือกเขาเทียนอวิ่นไปแล้ว
ผู้าุโเจิ้งพยักหน้า เื่นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อจิตใจของเขามากนัก เพราะถึงอย่างไรทุกครั้งที่มีการประเมินจะต้องมีบัณฑิตาเ็และล้มตายเป็จำนวนไม่น้อยอยู่แล้ว และมันก็ถือเป็เื่ปกติ เพราะความโหดร้ายบนเส้นทางในการฝึกฝนเช่นนี้จะเป็สิ่งที่ช่วยกำจัดพวกไร้ค่าไม่ได้ความให้เหลือไว้เพียงคนที่มีคุณค่ามากพอเท่านั้น
เส้นทางของการฝึกยุทธ์ก็เหมือนกับพีระมิด ยิ่งสูงมากเท่าไร จำนวนก็ยิ่งมีน้อยลง มันเป็เส้นทางแห่งการนองเืที่ต้องเหยียบย่ำกระดูกของผู้อื่นเพื่อไปยังจุดที่สูงขึ้น
‘คนผู้หนึ่งจะประสบความสำเร็จได้ ล้วนต้องเคยผ่านกองกระดูกของผู้คนนับพันนับหมื่น’ ประโยคนี้ไม่ได้ใช้กันแค่ในสนามรบเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้กับเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ได้อีกด้วย
“ข่งย่วน เ้านำกลุ่มผู้ควบคุมกฎออกไปสำรวจพื้นที่รอบนอกของเทือกเขาเทียนอวิ่น หากพบศิษย์ที่รอดชีวิตให้พาตัวกลับมายังสำนักศึกษา”
ผู้าุโเจิ้งหันไปกล่าวกับข่งย่วน สตรีผู้งดงามและห้าวหาญ
“ศิษย์ทราบแล้วเ้าค่ะ!”
ข่งย่วนทำความเคารพอีกฝ่าย จากนั้นนางก็นำผู้ควบคุมกฎขึ้นขี่อินทรีสีครามและบินทะยานมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาเทียนอวิ่นเพื่อค้นหาศิษย์ที่อาจจะยังมีชีวิตทันที
ผู้าุโเจิ้งกวาดตามองบัณฑิตที่เหลืออีกหลายร้อยคนตรงหน้า ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “บัณฑิตที่กลับมาถึงสำนักศึกษาได้ภายในเวลาที่กำหนด และบัณฑิตที่ได้รับตำแหน่งสิบอันดับแรกสามารถไปรับคะแนนการเรียนได้ที่วิหารรับภารกิจ ส่วนสามอันดับแรกมู่เฟิง มู่ขวงและไป๋จื่อเยว่ หลังจากนี้อีกสามวัน ให้พวกเ้าสามคนไปยังหอคัมภีร์เพื่อรับเอาทักษะวิชาระดับนิลกาฬด้วยตัวเอง ถึงเวลานั้นจะมีคนนำทางพวกเ้าไปเอง”
“รับทราบขอรับ!”
บัณฑิตหลายร้อยคนตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง ในขณะเดียวกันก็มีหลายคนยังคงเพ่งมองไปทางพวกมู่เฟิงด้วยสายตาริษยา
หลังจากการประเมินสิ้นสุดลง บัณฑิตใหม่ทั้งหมดก็มุ่งหน้ากลับไปที่สำนักศึกษาเทียนอวิ่น
ในส่วนลึกของเทือกเขาเทียนอวิ่น กลางหุบเขาที่มีบรรยากาศร่มรื่นให้ความรู้สึกสบายใจราวกับแดน์
เยว่ซินเหยาที่สวมใส่เสื้อคลุมกันหิมะกำลังยืนอยู่เหนือผิวน้ำอย่างสง่างาม ในอ้อมกอดของหญิงสาวโอบอุ้มสิ่งมีชีวิตสีขาวปุยราวกับหิมะอย่างทะนุถนอม มันคือจิ้งจอกขาวสามหาง
บุรุษในชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเยว่ซินเหยา จากนั้นเขาก็ทำความเคารพนาง
บุรุษผู้นี้มีใบหน้าหยาบกร้านและใบหูทั้งสองข้างก็มีขนชี้ฟูดูไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป เห็นได้ชัดว่าเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจ!
“คุณหนู เด็กคนนั้นกลับไปยังเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อย่างปลอดภัยแล้วขอรับ”
บุรุษผู้นั้นกล่าวรายงานด้วยความเคารพ
“อืม”
เยว่ซินเหยาลูบขนจิ้งจอกขาวขณะพยักหน้ารับ
“คุณหนู ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดท่านถึงได้สนใจเ้าเด็กมนุษย์ผู้นั้นนัก? เ้าเด็กนั่นไม่ต่างอะไรจากมดปลวกที่มีวรยุทธ์เพียงระดับจื่อฝู่เท่านั้นนะขอรับ”
บุรุษผู้นั้นกล่าวกับเยว่ซินเหยาต่อด้วยความฉงนใจ แต่ท่าทางก็ยังคงเต็มไปด้วยความเคารพ
“ถูกต้อง เผ่ามนุษย์ก็ไม่ต่างจากมดปลวก เขาในตอนนี้ก็เป็เหมือนมดตัวหนึ่งเท่านั้น แต่มีผู้แข็งแกร่งคนใดสามารถผงาดขึ้นมาได้โดยไม่เคยผ่านจุดที่ต่ำต้อยมาก่อนด้วยหรือ?”
เยว่ซินเหยากล่าวเสียงเรียบ
“โอ้ ท่านหมายความว่าเขามีคุณสมบัติมากพอที่จะกลายเป็ผู้แข็งแกร่งอย่างนั้นหรือขอรับ? ข้ามองไม่ออกเลย หากไม่ใช่เพราะว่าท่านช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เกรงว่าเขาคงกลายเป็อาหารของหมาป่าไปแล้ว”
บุรุษผู้นั้นมองไม่ออกเลยว่ามู่เฟิงจะมีคุณสมบัติพิเศษอันใด
“ท่านยังจำการต่อสู้ครั้งใหญ่ในเทือกเขาเทียนอวิ่นเมื่อสิบแปดปีก่อนได้หรือไม่?”
เยว่ซินเหยาเปรยขึ้น
“ท่านหมายถึงการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งจากต่างแดนน่ะหรือขอรับ?”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“อืม เด็กหนุ่มผู้นั้นกับสตรีที่แข็งแกร่งท่านนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน”
“เด็กคนนั้น?”
อีกฝ่ายมีท่าทีใขึ้นมาเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงการต่อสู้ในเทือกเขาเทียนอวิ่นเมื่อสิบแปดปีก่อน จากนั้นเขาก็เงียบเสียงลงโดยไม่กล่าวอะไรออกมาอีก
เขาตระหนักถึงเผ่าพันธุ์ของสตรีผู้นั้นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะตัวตนของกองกำลังที่ตามล่านางในตอนนั้น ซึ่งพวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็บุคคลที่เขาไม่สามารถล่วงเกินได้
หากเด็กนั่นเกี่ยวพันกับสตรีผู้นั้นจริง เกรงว่าพื้นเพของเขาเองก็คงไม่ธรรมดาเช่นกัน
“ท่านต้องรู้จักมองการณ์ไกล สถานการณ์ระหว่างเผ่าปีศาจของเรากับเผ่ามนุษย์บนแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบันนับวันก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เป็ตัวละครที่ท่านไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่บางทีในอนาคตสิ่งนี้อาจจะสามารถคุกคามชีวิตของท่านหรือกลายเป็ฟางช่วยชีวิตของท่านได้
“ท่านยังจำผู้สูงสุดท่านนั้นได้หรือไม่ การที่เผ่าปีศาจสามารถผงาดขึ้นมาได้เช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะการแต่งงานระหว่างองค์หญิงแห่งเผ่าักับจ้าวแห่ง์ท่านนั้นหรอกหรือ ใครจะไปรู้ว่าเด็กมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจะเติบใหญ่ขึ้นเป็จ้าวแห่ง์กันเล่า”
่เวลาที่เยว่ซินเหยากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ในแววตาคู่สวยของนางก็มีร่องรอยของความใฝ่ฝันและความชื่นชมซ่อนอยู่ในนั้น
เื่ราวของเขาได้ขจรขจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง และทั่วทุกภพภูมิ
หนึ่งคน หนึ่งกระบี่ หนึ่งวังจักรพรรดิ อานุภาพพลังที่สามารถสะกดข่มใต้หล้าไปตลอดกาล!
“บุรุษผู้นั้น...”
หลังได้ยินคำกล่าวนี้ อีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกรงขามคนผู้นั้นขึ้นมาในใจ ก่อนจะกลายเป็ความใฝ่ฝันและความเคารพที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
“คุณหนู ท่านคงไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะสามารถกลายเป็ดั่งจ้าวแห่ง์ได้หรอกนะขอรับ”
บุรุษผู้นั้นกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อ
“หึๆ…”
เยว่ซินเหยาหัวเราะออกมาโดยไม่ได้กล่าวตอบอะไร
กลายเป็อย่างจ้าวแห่ง์อย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่านางคงไม่คิดว่าเขาจะสามารถก้าวไปถึงระดับนั้นได้ จากยุคสมัยที่ผันผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ห้วงเวลาที่วนเวียนมาหลายพันล้านปี อาณาจักรและดินแดนนับแสนใต้ผืนฟ้าจะมีสักกี่คนที่สามารถเทียบกับเขาได้?
“ในชีวิตนี้ของข้า ข้าจะได้พบกับชายหนุ่มที่เหมือนท่านในวัยเยาว์ได้หรือไม่นะ ท่านลั่ว...”
เยว่ซินเหยาพึมพำกับตัวเอง
“จริงสิ คุณหนู พวกเราออกมานานมากแล้ว ท่านมีแผนจะกลับไปเมื่อใดหรือขอรับ หากว่านานเกินไป เกรงว่าท่านหัวหน้าเผ่าจะตำหนิเอาได้นะขอรับ”
บุรุษผู้นั้นรีบวนกลับเข้าเื่สำคัญ
“จะรีบร้อนไปทำไม ข้ายังไม่อยากกลับไปตอนนี้ กลับไปท่านพ่อก็บ่นข้าเื่การแต่งงานทุกวัน ข้ารำคาญ”
เยว่ซินเหยาทำหน้ามุ่ยในทันที
เมื่อได้ยินดังนั้น อีกฝ่ายก็กล่าวออกมาอย่างขมขื่นว่า “แต่คุณหนูไม่สามารถรั้งอยู่ในสถานที่เล็กๆ แบบนี้ไปได้ตลอดนะขอรับ”
“ท่านลุงสยง หากท่านยังพูดอีก ข้าจะโมโหแล้วนะ”
เยว่ซินเหยายื่นปากเล็กๆ ของนางออกมาอย่างไม่ชอบใจ
“ข้าไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว ท่านอยากจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ตามใจท่านเลยขอรับ”
หมังสยงยิ้มออกมาอย่างขมขื่นใจ และไม่พูดสิ่งใดให้เยว่ซินเหยาต้องโมโหอีก
ภายในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นมีการประกาศผลการประเมินของบัณฑิตใหม่ เื่ที่คะแนนการประเมินของมู่เฟิงกลายเป็สถิติสูงสุดในรอบสิบปีได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับเหล่าบัณฑิตทั้งหลายเป็อย่างมาก
นอกจากนี้ ห้าอันดับแรกยังตกเป็ของบัณฑิตตระกูลมู่ทั้งหมด เื่นี้สร้างความฮือฮาให้กับเหล่าบัณฑิตได้เป็อย่างมาก เพราะเป็เื่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับั้แ่สำนักศึกษาเทียนอวิ่นก่อตั้งขึ้น
และเื่นี้ก็ทำให้เหล่าศิษย์ตระกูลมู่โห่ร้องด้วยความดีใจ ภายในเขตเรือนพักของบัณฑิตใหม่ เวลานี้มู่เฟิงและศิษย์ตระกูลมู่จำนวนหลายสิบคน รวมไปถึงเหล่าบัณฑิตเก่ารุ่นก่อนของตระกูลมู่กำลังมารวมตัวกัน
ศิษย์ทุกคนของตระกูลมู่ต่างก็มารวมตัวกันเพื่อแสดงความยินดีให้กับมู่เฟิงที่ชนะอันดับหนึ่งในการประเมิน
มู่เฟิงและมู่หลิงเอ๋อร์กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานภายในห้องโถง มู่เฟิงมองไปทางกลุ่มศิษย์ตระกูลมู่ที่มาร่วมแสดงความยินดีกับเขา ทว่าภายในใจของเขามีเพียงความรู้สึกเรียบเฉยไม่ได้พึงพอใจหรือลำพองใจเลยแม้แต่น้อย
ในบรรดาคนเหล่านี้ หลังจากทราบข่าวว่าเส้นลมปราณของเขาถูกทำลาย ทัศนคติของหลายคนที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไป ความเคารพที่เคยมีพลันมลายหายไป นอกจากนี้ยังมีบางคนที่รู้สึกดีใจในคราวเคราะห์ของเขาด้วยซ้ำ
ตอนที่เขาเพิ่งเข้ามายังสำนักศึกษา ศิษย์ตระกูลมู่เหล่านี้ก็เหมือนจะไม่ได้ให้ความเคารพอะไรแก่เขา
แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเขากลับมาแข็งแกร่งจนสามารถคว้าอันดับหนึ่งของการประเมินมาได้แล้ว พวกเขาก็เหมือนจะเพิ่งตระหนักได้ว่านายน้อยยอดอัจฉริยะผู้นั้นกลับมาแล้วจริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงมาหาเด็กหนุ่มด้วยความเคารพ ทั้งความเฉยชาและความอบอุ่นจากคนเหล่านี้ มู่เฟิงล้วนเคยััมาหมดแล้ว
“เสี่ยวเฟิง ครั้งนี้เ้าสร้างชื่อให้กับตระกูลมู่ในสำนักศึกษาได้มากทีเดียว เมื่อท่านพ่อทราบเื่ท่านจะต้องมีความสุขมากเป็แน่”
มู่หลิงเอ๋อร์หัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
“ถูกต้อง สถานการณ์ของตระกูลมู่ในสำนักศึกษานั้นไม่ค่อยดีนัก ในเมื่อตอนนี้นายน้อยสามารถคว้าอันดับหนึ่งในการประเมินมาได้ ข้าคิดว่าหลายคนคงจะมองตระกูลมู่ของพวกเราด้วยความชื่นชมอีกครั้งเป็แน่”
บรรดาศิษย์เก่าตระกูลมู่ต่างก็ยิ้มแย้มด้วยความเคารพ พร้อมเปลี่ยนคำเรียกขานเขาว่านายน้อย
แต่ในบรรดาพวกเขายังมีคนผู้หนึ่งที่มีสีหน้าซับซ้อน...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้