ทันใดนั้น ร่างสวมหน้ากากสองร่าง ร่างหนึ่งขาว ร่างหนึ่งแดงก็ปรากฏให้เห็น
เห็นร่างสองร่างะโออกมาจากกำแพงเมืองด้วยวิชาตัวเบา ร่างด้านหน้าและหลังไล่ตามกันด้วยความเร็วดุจสายฟ้า พวกเขาวิ่งไล่กันไปทางต้นไม้สูงตระหง่านที่อยู่ไม่ไกล
ร่างสีขาวะโขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ในพริบตา โดยไม่มีอาการหน้าแดงหรือเหนื่อยหอบ
แม้ว่าร่างสีแดงที่พยายามไล่ตามดูเหมือนจะเหนื่อยจนถึงขีดสุด จึงไม่สามารถะโขึ้นไปบนต้นไม้ได้ เขาวางมือเท้าเอว หอบอย่างหนัก
เมื่อเห็นคนทั้งสอง มู่จื่อหลิงก็ชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล แล้วพูดกับหลงเซี่ยวอวี่ว่า “ท่านดูสิ คนบนต้นไม้คือเล่อเทียนไม่ใช่หรือ? และคนที่อยู่ใต้ต้นไม้คือชายตะ...หลี่ซินหย่วน”
แม้ว่าชายทั้งสองจะปกปิดใบหน้า แต่มู่จื่อหลิงก็ยังสามารถจดจำพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
“ฉีหวางเฟยมีความสุขที่ได้พบพวกเขาหรือ?” ใบหน้าของฉีอ๋องมืดครึ้มในทันใด
นางแสดงท่าทางมีความสุขหรือ? นางมีความสุขที่ไหนกัน?
เส้นสีดำสามเส้นปรากฏบนหน้าผากของมู่จื่อหลิง นางพูดไม่ออกทันที
การใส่ใจในรายละเอียดของชายผู้นี้ ช่างมีความพิถีพิถันที่ไม่มีใครเทียบได้จริงๆ
เมื่อเห็นว่าหลงเซี่ยวอวี่ยังคงจ้องมองนางอยู่ เหมือนกำลังรอให้นางตอบ สายตาของเขาทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ นางจึงอธิบายเสียงอ่อนว่า “ข้าเพียงแค่ชอบดูละคร ชอบไปโรงละครก็แค่นั้น!”
นางย้ำซ้ำๆ ว่านางเห็นเื่ของพวกเล่อเทียนเป็ดั่งการแสดงฉากหนึ่งเท่านั้น
เมื่อฟังคำอธิบายที่เอ่ยอย่างเร่งรีบนี้ ฉีอ๋องจึงต้องยอมรับอย่างไม่เต็มใจ
โดยไม่รอให้หลงเซี่ยวอวี่เคลื่อนไหวอีกครั้ง มู่จื่อหลิงรีบผละตัวออกจากเขา ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ตรงเข้าไป ‘ชมละคร’ อย่างจริงจัง
นางหรี่ตาเล็กน้อย มองไปทางต้นไม้ใหญ่ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
หลี่ซินหย่วนซึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ตรงนั้น ดึงผ้าคลุมหน้าลง แสร้งขยับตัวอย่างเขินอาย เจรจาต่อรองอย่างกระหืดกระหอบ “เสี่ยวเทียนเทียน ข้าว่าเราหยุดวิ่งไล่กันดีไหม”
ทันใดนั้นใบหน้าของเล่อเทียนซึ่งสวมชุดสีขาวยืนอยู่บนกิ่งไม้ก็เต็มไปด้วยเส้นสีดำ ก่อนทำเป็เพิกเฉยต่ออีกฝ่าย
คิดว่าเขาอยากหนีหรือ? เ้าชายตุ้งติ้งนั่นช่างประชดประชันยิ่งนัก
เขากล่าวไว้ว่า ไม่ใช่เื่ดีที่จะเข้าไปในวังเพื่อพบกับเ้าภัยพิบัติผู้นี้ หากไม่ใช่เพราะเขาไม่สามารถเอาชนะหลี่ซินหย่วนได้ด้วยตนเอง เขายังจะต้องวิ่งหนีอีกหรือ? บ้าจริง!
แต่หลี่ซินหย่วนยังคงอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ยอมหยุดยั้ง ในสมองเต็มไปด้วยความคิด กวักมือเรียกเล่อเทียนที่อยู่บนต้นไม้เบาๆ
“เ้าคิดดูสิว่าวิ่งมาเหนื่อยขนาดนี้เหนื่อยหรือไม่ โอ้์ ข้าเหนื่อยแล้ว”
“เสี่ยวเทียนเทียนลงมาเร็ว ระวังอย่าร่วงมานะ”
“หากเ้าร่วงลงมา ข้าคงรู้สึกเ็ปแทนเ้า...เสี่ยวเทียนเทียน...”
......
ทันใดนั้นเล่อเทียนก็รู้สึกว่าเืลมของตนกำลังพวยพุ่งขึ้นมา เขาดึงผ้าปิดหน้าออกอย่างรุนแรง ยามได้ยินเสียงนุ่มนวลเหล่านี้ ราวกับจะทำให้เขาะเิ
เ้าตัวแสบผู้นี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก! ให้ตายเถอะ!
เขาถูกไล่ตามโดยชายตุ้งติ้งบ้าๆ บอๆ ผู้นี้มาตลอดทาง ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าเมืองเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ภัยพิบัติ แค่คิดก็ต้องทอดถอนใจ จำต้องรอมู่จื่อหลิงมาตรวจสอบร่วมกัน
จู่ๆ เขาก็ถูกจับได้อีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว ยังดีที่เขามีทักษะวิชาตัวเบาค่อนข้างดี ไม่ว่าอย่างไรชายตุ้งติ้งผู้นี้ก็ไม่อาจตามทันได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกสะกดรอยตามจนตายไปแล้วจริงๆ
เล่อเทียนมองหลี่ซินหย่วนที่ยังทำหน้าตาไร้เดียงสาอยู่ใต้ต้นไม้ เขาใช้ประกายอ่อนโยนในดวงตาโจมตีขึ้นมาไม่หยุด จนเล่อเทียนรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ เสียจริง
ต้องรู้ว่าเขารู้จักชายตุ้งติ้งผู้นี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เจริญหูเจริญตา จนรู้สึกอยากจะทุบตีให้หนัก ทุบให้แบนจนจำบิดามารดาไม่ได้ไปเสียเลย
แม้จะอยู่ห่างไกลจนได้ยินไม่ชัดเจน แต่มู่จื่อหลิงก็สามารถได้ยินเสียงของหลี่ซินหย่วนได้ การเคลื่อนไหวร่างกายที่สง่างามของเขา รวมทั้งใบหน้าแต่งแต้มสีสันที่ส่งมาให้เล่อเทียน สิ่งเหล่านี้ทำให้สามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้
จุ๊จุ๊ นี่มัน...มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นกอดอก ทำท่าทางราวกับได้ค้นพบดินแดนใหม่ที่น่าสนใจเป็อย่างมาก นางจึงมองดูมันด้วยความยินดี
ยามที่เล่อเทียนหันไปมาด้วยความรู้สึกใกล้คลั่ง ทันใดนั้น จากหางตาเขาหันไปเห็นพวกมู่จื่อหลิง
เพียงแวบเดียว เล่อเทียนทำท่าราวกับเห็นผู้กอบกู้ที่รอคอยมานาน ดวงตาหงส์ฉายแววสดใส แลดูใสกระจ่าง อบอวลไปด้วยแสงแห่งความสุขที่แฝงแววขอความช่วยเหลือ
ในเวลาเดียวกันเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นของตนเอาไว้ได้เลย ในที่สุดก็มาถึงเสียที! ในที่สุดเขาก็สามารถหลุดพ้นจากการพัวพันของ ‘ห้วงแห่งความทุกข์’ ของชายตุ้งติ้งผู้นี้ได้
เพียงไม่นาน เล่อเทียนก็เพิกเฉยต่อหลี่ซินหย่วนซึ่งยังคงพูดสิ่งที่น่ารังเกียจอยู่ด้านล่าง แตะปลายนิ้ว ะโขึ้นไปในอากาศ ลอยเข้าหาพวกมู่จื่อหลิงด้วยวิชาตัวเบา
“เด็กดี เสี่ยวเทียนเทียน อย่าหนีนะ!”
“เสี่ยวเทียนเทียน...รอข้าด้วย”
เมื่อเห็นเล่อเทียนะโจากไปอีกครั้ง หลี่ซินหย่วนก็ส่งเสียงตุ้งติ้งโวยวายอย่างฉุนเฉียว กระทืบเท้าด้วยท่าทางน่าเหนียมอาย
ยามหันไปมองทิศทางที่เล่อเทียนกำลังพุ่งไป เขาก็ไม่รีบร้อนอีกต่อไป เพียงก้าวตามทีละก้าวอย่างช้าๆ
ในทางกลับกันเล่อเทียนกลับรู้สึกราวกับว่ามีสุนัขไล่ตามเขามา เขาจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น ใช้เวลาเพียงแวบเดียวเขาก็เข้าถึงตัวพวกมู่จื่อหลิง
ไม่รู้ว่าเล่อเทียนไร้สติไปแล้วหรือยังมีสติอยู่กันแน่
กล่าวได้ว่า ทันทีที่เขาร่อนลงพื้น เขาก็พุ่งตรงเข้าหามู่จื่อหลิงอย่างรวดเร็ว กำลังจะเปิดปากขอความช่วยเหลือและบ่นกับนางเล็กๆ น้อยๆ
แต่ใครจะรู้ ก่อนที่เล่อเทียนจะเข้าใกล้มู่จื่อหลิง ทันใดนั้นหลงเซี่ยวอวี่ก็เหยียดแขนเรียวยาวออกมาดึงมู่จื่อหลิงกลับเข้าไปในอ้อมแขนทันที
ก่อนที่เล่อเทียนจะหยุดอย่างกะทันหัน เขาเห็นลมจากฝ่ามือเฉียบคมพุ่งเข้าหาเขา...
ลมกระโชกที่เกิดโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทั้งรุนแรงและดุดัน ยิ่งเล่อเทียนไม่คาดคิดยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ด้วยแม้ว่าเขาจะคาดไว้ล่วงหน้า แต่เขาก็ไม่สามารถหลบมันได้!
ดังนั้นเล่อเทียนผู้น่าสงสารจึงรู้สึกได้เพียงลมที่พัดเข้ามากระทบตนเพียงแวบเดียวเท่านั้น
มีเสียงดัง ‘ฟู่’ อยู่ในหู!
จากนั้น เล่อเทียนที่ไม่ทันตั้งตัวเพื่อรับมือสิ่งที่เกิดขึ้น สมองหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ฝีเท้าของเขาเซไปเซมา ทันใดนั้นเขาก็ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้
หลังจากตามทัน หลี่ซินหย่วนก็รีบวิ่งเข้าหาอย่างเร่งรีบ พุ่งเข้ากอดเล่อเทียนไว้ในอ้อมแขนเพื่อไม่ให้เขาล้มลงกับพื้น
แม้ว่าเล่อเทียนจะไม่ล้มลงไป แต่ก็ยังทำให้ผมสีดำที่หวีอย่างดีของเขายุ่งเหยิงไม่ต่างจากเล้าไก่รกๆ ในทันที ทำให้เขาอับอายมาก
ความเร็วในการโจมตีของหลงเซี่ยวอวี่รวดเร็วเพียงชั่วพริบตา เร็วจนผู้อื่นไม่สามารถตอบโต้ได้ทัน มู่จื่อหลิงถูกโอบไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแ่า
มู่จื่อหลิงเฝ้าดูด้วยความประหลาดใจหลังจากเล่อเทียนผู้น่าสงสารถูก ‘ลม’ พัดพาไป ตกอยู่ในอ้อมแขนของหลี่ซินหย่วนที่เดินตามหลังมาโดยไม่ผิดพลาด
สองคนนั้น ผู้ชาย...กะ กอดกัน?
หึ...มู่จื่อหลิงกัดฟัน ร่างกายสั่นเทา รู้สึกเสียวซ่านในหัวใจทันที
ทนมองภาพนั้นไม่ไหว!
กล่าวได้ว่าเล่อเทียนไม่ต่างไปจากพระที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้นวัด [1] ไม่สิ เป็ฝ่ายเริ่มพาตนเองเข้าไป ‘อิงแอบแนบชิดซบอยู่ในอ้อมอก’ ~~~
เพียงไม่นาน มุมปากของมู่จื่อหลิงก็กระตุกอย่างรุนแรง นางอดไม่ได้ที่จะเบือนหน้าออกไป กุมท้อง กดใบหน้าเข้ากับแขนของหลงเซี่ยวอวี่แน่น หัวเราะเบาๆ
ข้าไม่รู้ว่ายามนี้เล่อเทียนรู้สึกอย่างไรที่ถูกชายตุ้งติ้งโอบกอด?
มู่จื่อหลิงกัดมุมปากของตนไว้แน่น กลั้นยิ้ม หันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง...
เล่อเทียนผู้ซึ่งได้รับการปกป้องจากหลี่ซินหย่วนและตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่อย่างไม่ต้องสงสัย ในใจทั้งรู้สึกสับสนและขอบคุณ
ไม่จำเป็ต้องคิดเกี่ยวกับเื่นี้ เขารู้ว่าใครเป็ผู้สร้างลมขึ้นมาจากฝ่ามือเช่นนี้ ด้วยเขาคุ้นเคยกับสิ่งนี้เป็อย่างดี
ในยามนี้เล่อเทียนรู้สึกอับอายแทบตาย
ให้ตายเถอะ! เหตุใดเขาถึงวิ่งเข้าหามู่จื่อหลิงในยามนี้กันนะ?
สิ่งนี้ที่ดูเหมือนจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ถึงมันเป็อย่างดี เหตุใดเขาถึงทำมันอย่างโง่เขลาได้? สิ่งนี้ไม่ต่างจากเด็กที่ไม่ปฏิบัติตามกฎจนถูกเฆี่ยนตีให้ได้เจ็บๆ คันๆ หรอกหรือ?
แต่อาการเ็ปที่คาดไว้ไม่มีเลยหรือ?
นี่มันแปลก...เล่อเทียนเริ่มสงสัยอีกครั้ง ทุกครั้งที่เขาถูกฝ่ามือนี้ หากไม่ล้มหน้าทิ่มราวกับหมากินขี้ [2] ก็กลิ้งไปไม่หยุด เหตุใดครั้งนี้เขาถึงไม่ล้มลงเล่า?
เป็เพราะสมาธิของเขาดีขึ้นหรือหลงเซี่ยวอวี่มีความเมตตา?
ฉีอ๋องผู้โหดร้ายและไม่แยแสจะมีเมตตาได้หรือ? เว้นแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก เล่อเทียนปฏิเสธการคาดเดาของตนในทันที
หากไม่เป็ไปตามอย่างหลัง แสดงว่าสมาธิของเขาดีขึ้นแล้ว
ยามนึกถึงเื่นี้ เล่อเทียนรู้สึกมีความสุขมาก
โชคดีจริง! โชคดีที่สมาธิของเขาดีขึ้นอย่างมาก เขาไม่ล้มหน้าทิ่มราวกับหมากินขี้อย่างน่าอับอาย ไม่เช่นนั้นภาพที่สมบูรณ์แบบคงพังทลายลงแล้ว
แต่กลับไม่รู้ว่า...
หลี่ซินหย่วนโน้มตัวเข้าไปใกล้กับหูเล่อเทียน พ่นลมออกจากปากสีแดงแสนเย้ายวน “เสี่ยวเทียนเทียน วิ่งหนีเพื่ออะไร นี่ไม่ใช่การอิงแอบแนบชิดซบอยู่ในอ้อมอกหรือ ข้าชอบพฤติกรรมปฏิเสธแต่กลับต้อนรับของเ้ามากจริงๆ”
เล่อเทียนซึ่งแต่เดิมจมอยู่กับความสุขและความเศร้าที่ขึ้นๆ ลงๆ เมื่อได้ยินเสียงนั้น เพียงครู่เดียวก็รู้สึกชาไปทั้งตัว ขนแขนลุกพอง ผมตั้งตรงจนสุด
ซบอยู่ในอ้อมอก พฤติกรรมปฏิเสธแต่กลับต้อนรับ...นี่มันอะไรกัน?
เล่อเทียนเกร็งร่างขึ้นมาทันที เพราะเขารู้สึกว่าหูของเขาเย็นตลอดเวลา ในยามนี้ราวกับมีไอน้ำรดหูไม่หยุด นี่เป็ลมหายใจที่น่าสะพรึงกลัวที่สามารถทำให้เขาขนลุกได้ทันที
เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ทันใดนั้นก็เกิดลางสังหรณ์ที่เลวร้ายมาก
เล่อเทียนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
อีกครู่ต่อมา...
เล่อเทียนค่อยๆ หันศีรษะที่หนักอึ้งไปมอง สิ่งที่เห็นคือใบหน้ายั่วยวนของชายตุ้งติ้งอยู่ใกล้แค่เอื้อม
หน้านี้ ใบหน้านี้?
“โอ้์!!!” เล่อเทียนะโออกมาอย่างแรง ร้องะโเสียงดังโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์
เขากระแทกศอกไปด้านหลังอย่างแรง ผลักหลี่ซินหย่วนออกไป ก่อนกางขาวิ่งหนีไป
ด้วยท่าทางราวกับหลีกหนีโรคภัย เขาวิ่งหนีจากจุดที่หลี่ซินหย่วนยืนอยู่ หนีห่างออกไป
“โอ๊ย” หลี่ซินหย่วนถูกผลักโดยไม่คาดคิดจนร่างโงนเงน กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ กุมหน้าท้องที่รู้สึกเ็ปเอาไว้ เดินไปหาเล่อเทียนอย่างช้าๆ “เสี่ยวเทียนเทียน ข้า...”
“หุบปาก! เ้าอย่าพูด! อย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวเทียนเทียนอีก มันน่ารังเกียจ” เล่อเทียนตบหน้าอกของตนด้วยท่าทางหวาดกลัว เขารู้สึกแย่ไปทุกส่วน
“เช่นนั้นให้เรียกว่าอะไร? เสี่ยวเถียนเถียน [3] หรือ?” หลี่ซินหย่วนกะพริบตาอย่างไร้เดียงสาและถามอย่างสับสน
อึก...เล่อเทียนแทบกระอักเื เสี่ยวเถียนเถียนบ้าอะไรกัน! เขาเกือบจะตายด้วยความทุกข์ทรมาน เข้าใจไหม?
เสี่ยวเถียนเถียน?
มู่จื่อหลิงกุมท้องที่กำลังสั่นไหวของนาง เพราะมันแทบทำให้นางหายใจไม่ออก
หลี่ซินหย่วนผู้นี้เป็ชายออกสาวสารเลวจริงๆ ยังจะเสแสร้งอยู่อีกหรือ? ทั้งที่ส่งเสียงดังพอๆ กับเ้าหลงเซี่ยวเจ๋อแท้ๆ
เมื่อเห็นว่าเล่อเทียนไม่ตอบสนอง หลี่ซินหย่วนจึงลูบคางด้วยท่วงท่าเชื้อเชิญ กล่าวกับตนเองว่า “เสี่ยวเถียนเถียน? คนอื่นต่างก็คิดว่าชื่อนี้ดี ฟังดูสนิทกันมากขึ้น”
บ้าอะไรเนี่ย...เล่อเทียนเกือบจะเงยหน้าขึ้นแล้วร้องว่าโอ้์อีกครั้ง เขาเคยยั่วยุใครไว้หรือ? ถึงได้ส่งเทพแห่งโรคร้ายมาทรมานเขาเช่นนี้? ช่างทรมานจิตใจจริงๆ
แต่ก่อนที่เล่อเทียนจะคร่ำครวญจบ
เมื่อเห็นว่าหลี่ซินหย่วนกำลังก้าวเข้ามาหาเขาอีก เล่อเทียนจึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง
นิ้วเรียวชี้ไปที่เขาอย่างสั่นเทา ดวงตาลุกโชนด้วยความโกรธ ร้องะโเสียงดัง “หลี่ซินหย่วน ข้าขอเตือนเ้า เ้าอย่าเข้ามา อย่าเข้ามาใกล้ข้าอีก อยู่ห่างข้า เ้ากล้า...”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] พระที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้นวัด (跑得了和尚跑不了庙) เป็วลี มีความหมายว่า หลบซ่อนได้ชั่วขณะ แต่เป็เพราะปัญหา หรือมีภาระพัวพัน สุดท้ายแล้วไม่สามารถหนีพ้น
[2] ล้มหน้าทิ่มราวกับหมากินขี้ (摔个狗吃屎) เป็วลี มีไว้เพื่ออธิบายสภาพหลังหกล้ม เป็การหกล้มที่น่าสังเวชน่าอนาถอย่างมาก
[3] เสี่ยวเถียนเถียน (小甜甜) เป็คำที่ออกเสียงคล้ายกับ เสี่ยวเทียนเทียน (小天天) ที่มีจากชื่อของเล่อเทียน มีความหมายว่าสาวน้อยหรือที่รัก เป็คำใช้เรียกผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาน่ารักและมีนิสัยดี