“หายใจช้า ๆ ค่อย ๆ เล่ารายละเอียดให้ข้าฟัง” หนิงยวนขมวดคิ้วจ้องเฟิงเหยียนพลางถามเสียงทุ้ม “เื่เป็อย่างไรแน่? เ้าหมายถึงเด็กหญิงตระกูลหลัวที่ช่วยชีวิตคนบนถนนเมื่อครู่ใช่หรือไม่? นางเด็ดดอกไม้ไปเพื่ออะไร?”
หลังเฟิงเหยียนได้รับคำสั่งก็พยักหน้า พยายามหายใจเข้าลึก ๆ ยี่สิบครั้ง
เมื่อเฟิงเหยียนเห็นใบหน้าเหนื่อยหน่ายของหนิงยวนก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยช้า ๆ “เื่มีอยู่ว่า...หลังเฟิงอวี้และข้าตามหาทุกตารางนิ้วบนถนนก็พบดอกไม้สีขาวดอกเล็ก มีกลิ่นหอมกว่ากุหลาบ ดอกไห่ถัง ดอกกุ้ยฮวา ดอกเบญจมาศและดอกเหมย ขณะเข้าใกล้ก็เห็นเด็กหญิงอายุประมาณสิบสองปีนั่งยองเก็บดอกไม้ใส่ถุงอย่างสบายใจ ข้าจำได้ว่านางเป็สาวใช้ที่ะโออกจากรถม้าคันที่สองของตระกูลหลัว พวกข้าพยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้นางเด็ดดอกไม้ที่ท่านอ๋องหนิง้า แต่นางกลับตอบว่าก่อนหน้านี้คุณหนูของนางสั่งให้มาเก็บ หากนับลำดับก่อนหลัง คุณหนูของนางสั่งให้ไปที่นั่นก่อนพวกข้า ดังนั้นดอกไม้สีขาวจึงตกเป็ของคุณหนู ทั้งยังบอกอีกว่าพวกข้าสองคนเป็ชายกำยำ หากแย่งเด็กเก็บดอกไม้ก็คงเป็เื่น่าอายสุดประมาณ”
หลังฟังคำอธิบายของเฟิงเหยียน คิ้วหนิงยวนยังคงขมวดแน่น เมื่อไตร่ตรองเงียบ ๆ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม “พวกเ้าถามนางหรือไม่ว่าเก็บดอกไม้ไปทำอะไร? คุณหนูของนางสั่งว่าอย่างไร?”
“ไม่ขอรับ คุณชายมิได้สั่งให้พวกเราถามขอรับ” เฟิงเหยียนโบกมือพลางเอ่ย “เหตุผลที่เด็กสาวเก็บดอกไม้ก็คงไม่พ้นเื่ทำถุงหอม จริงสิ เหตุใดคุณชายจึงให้พวกเราไปเก็บดอกไม้สีขาวเ่าั้ล่ะขอรับ จะว่าไป...พวกเราไม่เคยวิ่งผ่านถนนเส้นนั้นมาก่อน ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีดอกไม้สีขาวดอกเล็ก?” กล่าวจบก็มองใบหน้าใหม่ของหนิงยวน เขาทราบว่าคุณชายหนิงคือองค์ชายสิบเจ็ดจูฉวน สามปีที่แล้วจูฉวนมีความสัมพันธ์อันดีกับฉางนั่วผู้เป็คุณชายของเขา ทั้งสองเริ่มอยู่ด้วยกันไม่ห่างราวถูกทากาวน้ำ นอกจากตอนเข้าส้วมแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็มักอยู่ด้วยกันเสมอ
กระทั่งเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งปี ในที่สุดฉางนั่วก็เลิกติดตามองค์ชายสิบเจ็ดอย่างใกล้ชิด ตัดสินใจออกจากเรือนด้วยเหตุผลว่า้าทัศนศึกษา เขาพาตนและฉางอวี้ไปด้วยเพียงสองคนเท่านั้น ก่อนตรงมายังเมืองหยางโจว หลังการสืบข่าวลับไม่กี่วัน ฉางนั่วก็ปลอมตัวเป็นายน้อยตระกูลเฟิงนามว่าเฟิงหยางผู้เรียนวรยุทธ์ในูเาอู่ตังเป็เวลาสิบปีและกลับมาหลังศึกษาจบ เขาจับพลัดจับผลูได้อาศัยในตระกูลเฟิง ทั้งยังเปลี่ยนชื่อจาก “ฉางเหยียน ฉางอวี้” เป็ “เฟิงเหยียน เฟิงอวี้” ... ต่อไปหากคุณชายปลอมตัวเป็คุณชายตระกูลจื่อก็คงตั้งชื่อ “จื่อเหยียน จื่ออวี้” เป็แน่... พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองหยางโจวด้วยวิธีนี้นานกว่าหนึ่งปี เฟิงเหยียนคิดถึงหวงหวงลูกเจี๊ยบน้อยที่จวนมาก ไม่รู้ตอนนี้จะสบายดีหรือไม่ กว่าหนึ่งปีแล้วที่ได้พบองค์ชายสิบเจ็ดในยามกลางคืนบ่อย ๆ พวกเขามักซ่อนเร้นกายจากทุกคน ทั้งยังปิดประตูโดยไม่ดับไฟตลอดคืน
ครึ่งปีก่อน องค์ชายสิบเจ็ดได้รับแต่งตั้งเป็อ๋องหนิงโดยฮ่องเต้ มีหน้าที่ดูแลทัพทหารทางตะวันออกเฉียงเหนือของต้าหนิง อ๋องหนิงไปที่นั่นเพื่อเข้ารับตำแหน่งในนาม โดยส่วนใหญ่จะอาศัยในเมืองหลวงและเมืองหยางโจวมากกว่า กล่าวกันว่าอ๋องผู้ได้รับมอบหมายไม่สามารถออกนอกเมืองได้โดยไม่มีราชโองการจากฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้ อ๋องหนิงอาจกลัวผู้อื่นพบร่องรอยจึงมักเปลี่ยนใบหน้าใหม่ทุกครั้งที่นัดพบฉางนั่ว เฟิงเหยียนและเฟิงอวี้จึงคุ้นเคยอ๋องหนิงผ่านเสื้อผ้าที่สวมใส่แทนที่จะเป็ใบหน้า... เฟิงเหยียนคิดว่าอ๋องหนิงนั้นคาดเดาไม่ได้ ไม่รู้ว่าเหตุใดคนเช่นนี้ถึงพัฒนาความสัมพันธ์กับฉางนั่วถึงขั้นปิดประตูอยู่ด้วยกันตลอดคืนโดยไม่ดับไฟ?
สารถีเหริ่นตงเถิงเก็บรถม้าทางประตูข้าง ก่อนสังเกตเห็นว่าแขกที่ป่วยผู้นั้นยังไม่ได้เข้าจวน จึงรีบเรียกหม่าโต้วหลิงผู้ดูแลประตูเพื่อให้เขานำแขกไปยังห้องโถงนอกของเรือนทิงจูก่อน จากนั้นค่อยถามเหล่าไท่ไท่ว่าจะจัดการแขกผู้นี้อย่างไร
หนิงยวนเงยมองดวงอาทิตย์เที่ยงวัน ไม่กังวลเื่ดอกหัวเลี่ยอีก ก่อนเอ่ยสั่งเฟิงเหยียน “เรียกเฟิงอวี้ให้ไปรับ “คุณชายของพวกเ้า” ที่โรงเตี๊ยมไท่ไป๋ แล้วค่อยกลับสำนักใหญ่พรรคเฉา บอกประมุขเฟิงว่าเหล่าไท่จวินตระกูลหลัวรับตัวคุณชายไป อย่าลืมเสริมว่าเหล่าไท่จวินกับป้าของคุณชายขอให้เขาอยู่ที่ตระกูลหลัวสักระยะ” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินเข้าประตูข้างจวนตระกูลหลัว
เฟิงเหยียนมองแผ่นหลังของหนิงยวนพลันนึกถึงเื่ที่มุมถนนจึงรีบะโ “จริงสิ คุณชายหนิง ตอนนั้นสาวใช้ร่างสูงมีถุงเกลือในมือ นางโรยเกลือบนลำต้นและใบของดอกไม้ตามที่ท่านสั่งไว้ก่อนหน้านี้!” ร่างในเสื้อคลุมแดงเข้มชะงักกะทันหันแต่ไม่ได้หันกลับไปถามอันใด ยังคงเดินตามบ่าวรับใช้ตระกูลหลัวต่อไป เฟิงเหยียนลูบจมูกอย่างเบื่อหน่ายก่อนเดินจากไป พลางคิดในใจว่าเขาช่างประหลาดและยากคาดเดาเสียจริง
......
ภายในห้องข้างของโถงหลังเรือนทิงจู หยางมามาช่วยพยุงเหล่าไท่ไท่นั่งบนตั่งนุ่ม ก่อนถามด้วยความกังวลใจ “เหล่าไท่ไท่เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ? ยังเวียนหัวหรือไม่?”
เหล่าไท่ไท่โบกมือปฏิเสธ ก่อนเอ่ยถามเหอตังกุย “เสี่ยวอี้ วิธีของเซียนผู้เฒ่าจะได้ผลหรือไม่ นายน้อยจูจะกลับมามีชีวิตเหมือนเ้าหรือเปล่า... สองวันนี้พวกเราต้องอยู่ในเรือนทิงจู ไม่สามารถพบปะผู้คนในตระกูลได้ใช่หรือไม่?”
“ท่านยายไม่ต้องกังวลเ้าค่ะ” เหอตังกุยถอดผ้าคลุมหน้าพลางเอ่ยเสียงเบา “ไม่ว่าวิธีการเ่าั้จะสำเร็จหรือไม่ วันนี้ก่อนพระอาทิตย์ตกคงรู้ผลลัพธ์ หากหลานจูโชคดีได้เกิดใหม่อีกครั้ง ในจวนต้องเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เป็แน่ อาจมีการตีฆ้องและจุดประทัด แม้เรือนนี้จะห่างไกล มีลำธาร ทั้งยังมีูเาจำลองมากมายขวางกั้น แต่หากในเรือนจุดประทัด พวกเราย่อมได้ยินเสียง”
หยางมามาเอ่ยแนะนำ “ในเมื่อเซียนผู้เฒ่าทำนายการตายของคุณชายจูและความยากลำบากระหว่างเดินทางกลับได้อย่างแม่นยำ เป็ไปได้ว่ามีพลังลึกลับบางอย่างสามารถช่วยเขาได้ หากพวกเรามัวแต่กังวลคงไม่ช่วยอะไร มิสู้พักผ่อนเงียบ ๆ สักสองวันตามคำสั่งเซียนผู้เฒ่าจะดีกว่า เหล่าไท่ไท่รู้สึกอย่างไรบ้าง? มื้อเที่ยงอยากกินอะไรเ้าคะ? ข้าจะให้ห้องครัวเรือนทิงจูเตรียมให้”
“อืม นี่ก็เที่ยงแล้ว ข้าชักหิวแล้วสิ” เหล่าไท่ไท่หรี่ตาครุ่นคิดก่อนเอ่ย “ข้าอยากกินขนมหูแมวรสเผ็ดที่เห็นบนถนนเมื่อครู่ ไม่ได้กลิ่นหอมของมันหลายปีแล้ว ให้ครัวเล็กที่นี่ทำรสจัดกว่าปกติสักหน่อย เสี่ยวอี้ เ้าอยากกินอะไร เมื่อครู่บอกว่าหิวไม่ใช่หรือ?”
เหอตังกุยโบกมือพลางเอ่ย “จู่ ๆ ข้าก็ไม่หิวเสียอย่างนั้น ตอนนี้ข้าง่วงนอนจึงอยากพักผ่อนในเรือนตงฮวาสักงีบ ท่านยายกินอาหารให้อร่อยนะเ้าคะ ข้าขอตัว” กล่าวจบก็ไม่รอให้เหล่าไท่ไท่เอ่ยตอบ เหอตังกุยลุกขึ้นวิ่งผ่านห้องปีกข้างไปที่ทางเดินพลันเลี้ยวหายจากมุมเรือน
เหล่าไท่ไท่มองหยางมามาด้วยความประหลาดใจ หยางมามาคิดทบทวนครู่หนึ่งก่อนเอ่ยวิเคราะห์“คุณหนูสามเดินลงเขามารอพวกเราั้แ่เช้า นางอาจง่วงเกินกว่าจะลืมตากระมัง” จากนั้นนางก็มุ่งความสนใจที่อาหารของเหล่าไท่ไท่ต่อ “ท่านจะกินของเผ็ดตอนท้องว่างได้อย่างไรเ้าคะ? แม้ขนมหูแมวจะอร่อยแต่ก็เป็เพียงแป้ง ข้าสั่งอาหารจานหลักให้ท่านจะดีกว่า…”
“เหล่าไท่ไท่ ของที่ท่านต้องใช้ในสองวันนี้มาส่งแล้วเ้าค่ะ” สาวใช้เกล้ามวยผมอายุสิบสามสิบสี่ปีวิ่งมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“เมื่อครู่ท่านลุงกุยบอกว่าเหล่าไท่ไท่จะอยู่เรือนทิงจูสองวัน พวกเราจึงยุ่งกับการจัดของกินและของใช้ใส่รถเข็นสองคันครึ่ง ตอนนี้น้องกานเฉ่าและน้องเติงเฉ่ากำลังขนของออกมา จริงสิ... ตอนข้าเดินผ่านห้องโถงนอกเห็นหม่าโต้วหลิงพาคุณชายชุดสีฟ้าเข้ามาด้วย เขาให้ข้าถามท่านว่าจะจัดการคุณชายท่านนั้นอย่างไร”
“ตายจริง ข้าลืมเสียสนิท” เหล่าไท่ไท่ตบเข่าก่อนเอ่ยสั่ง “สื่อหลิว เ้าพาเขาไปพักที่ห้องข้างเรือนฮวาทิงฝั่งตะวันตก ดูแลเขาให้ดี แล้วค่อยนำหมอหม่าและหมออู๋ไปดูอาการ”
......
เมื่อเหอตังกุยวิ่งไปจากระเบียงทางเดิน นางรู้สึกเพียงการไหลเวียนของลมปราณเจินชี่และเืไม่ค่อยราบรื่นนัก อาจกระอักเืเมื่อใดก็ได้ จึงรีบห้อตะบึงไปยังโถงฮวาฝั่งตะวันออก ก่อนซ่อนตัวในห้องข้างเพื่อนั่งสมาธิปรับลมหายใจ ขณะมองหากลอนประตูกลับพบว่าประตูนั้นไม่มีกลอน ด้วยความแปลกใจจึงสำรวจห้องอื่นอีกสองสามห้อง พบว่าไม่ว่าจะเป็สองห้องข้างหลักที่มีทางออกสองทาง กระทั่งห้องดื่มชาและห้องนั่งเล่นล้วนไม่มีกลอนประตูแม้แต่ห้องเดียว
เหล่าไท่เหยียปฏิบัติตนในเรือนทิงจูด้วยความระมัดระวัง ยากจินตนาการได้ว่าช่างฝีมือที่สร้างบ้านไม่ได้ติดกลอนประตู สิ่งเหล่านี้คล้ายเป็ลักษณะเฉพาะของที่อยู่อาศัยของเหล่าไท่เหยีย เช่นเดียวกับที่เหล่าไท่เหยียไม่ชอบใช้ผ้าม่านคลุมเตียงและมุ้งกันยุง
เหอตังกุยไม่สบายใจนัก ด้วยไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาบ่มเพาะนานแล้วจึงไม่แน่ใจว่าจะได้ผลหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความเสี่ยงบางอย่างที่สามารถส่งพลังควบคุมลมหายใจ หากนางถูกรบกวนใน่เวลาสำคัญ เกรงว่าผลลัพธ์จะแย่กว่าการถูกม้าเหยียบเสียอีก การนอนคว่ำ นอนตะแคงและท่ายืนด้วยมือล้วนเป็เื่แปลกในสายตาคนนอก หากมีคนเห็นจากหน้าต่างจะทำอย่างไร? เหล่าไท่ไท่กำลังกินอาหารกลางวัน ไม่สามารถรับประกันได้ว่าหลังนางอิ่มแล้วจะเดินเล่นรอบ ๆ หรือไม่ หากนางเดินเข้ามาในห้องจะทำอย่างไร?
เมื่อเหอตังกุยเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงะโจากห้องโถงนอก “กานเฉ่า เหล่าไท่ไท่จะใช้จานเล็กสำหรับมื้ออาหาร นำขนาดกลางกลับไปวางแล้วค่อยมาทำความสะอาดตอนบ่าย!”
“ส่งเสื้อผ้าที่ซักแล้วไปยังเรือนฮวาฝั่งตะวันออก กล่องเครื่องประดับใส่ลำดับสุดท้าย อย่าทำพังล่ะ!”
“ป้าหลี่ ถังอุจจาระต้องส่งเข้าประตูข้าง! ประตูข้าง! ข้าบอกว่าประตูข้าง! นั่นมันประตูหลัก!” เหอตังกุยกุมขมับด้วยความรำคาญ นางคิดว่าเรือนของเหล่าไท่เหยียเป็สถานที่พักผ่อนที่ดีที่สุดเพราะไม่มีใครอาศัย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเหล่าไท่ไท่จะนำพาความวุ่นวายไปทุกที่ หากรู้เช่นนี้คงบอกว่าเซียนผู้เฒ่า้าให้นางอยู่ที่นี่คนเดียวเป็เวลาหลายวันแทน
สถานที่เงียบสงบ... สถานที่เงียบสงบ ตอนนี้นาง้าสถานที่เงียบสงบสักที่… ป่าไผ่ขมหรือ?
ใช่แล้ว...ชาติก่อนขณะนางอาศัยในจวนตระกูลหลัวเคยได้ยินว่าป่าไผ่ขมหลังเรือนทิงจูมักมีผีอาละวาดจึงไม่มีใครกล้าไปที่นั่น
เหอตังกุยตัดสินใจไปหามุมสงบเพื่อปรับลมหายใจในป่าไผ่ขมจนถึงค่ำ เมื่อฟ้ามืดก็แอบเข้าห้องเหล่าไท่เหยียเพื่อดูว่ามีเข็มสำหรับฝังเข็มหรือไม่ ไม่เช่นนั้นคงทำได้เพียงหาเข็มปักผ้าบางเฉียบสักสองเล่มจากตะกร้าสานของมามาสักคน นางเชื่อว่าการฝังเข็มอวิ๋นชี่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์เลวร้ายของลมปราณเจินชี่ได้
นางจึงทำหมอนคล้ายรูปร่างคนก่อนปกปิดมันอย่างระมัดระวัง ก่อนปิดประตูแ่าแล้ววิ่งตรงไปยังระเบียงหลังเรือนทิงจู
เมื่อเหอตังกุยมาถึงป่าไผ่ขมที่นางไม่เคยมาในชาติที่แล้ว ก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจ ความมืดและม่านหมอกขณะนี้ราวจะบอกว่า “ห้ามสิ่งมีชีวิตย่างกราย” ช่างเป็สถานที่ที่เหมาะแก่การปรับลมหายใจและพักผ่อนยิ่งนัก ทว่ากลับแฝงด้วยความน่ากลัวและมีกลิ่นอายิญญาลอยล่อง ไม่เพียงมนุษย์ที่ไม่เต็มใจเข้าใกล้ ในบรรดานกทั้งหลายก็มีเพียงอีกาเท่านั้นที่ยอมบินเข้าใกล้...
“กา ๆ ๆ ...”
อีกาตัวใหญ่พุ่งออกจากกอไผ่ทะยานสู่ท้องฟ้า ก่อนโฉบลงบนร่างสีแดงเข้มที่หยุดนิ่งตรงทางเข้าป่าไผ่ขม หลังมันก้มศีรษะจิกเบา ๆ ร่างนั้นก็ยกแขนพลางร้องครวญครางด้วยความเ็ป ไม่นานอีกาก็กระพือปีกบินเข้าดงไผ่ทางทิศตะวันออก
ในป่าไผ่ขม…มีมนุษย์ด้วยหรือ? เหอตังกุยเปลี่ยนสีหน้าทันที นางขมวดคิ้วมองชายหนุ่มเสื้อคลุมสีแดงเข้ม ชุดด้านในสีฟ้าต้องสายลมปลิวไสวจนเกิดเสียง นั่นผู้ป่วยของเฟิงหยางไม่ใช่หรือ? เขามาทำอะไรที่นี่?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้