หร่านซวี่จือเดินออกจากบ้านของเสี่ยวจางและเตรียมตัวไปหาหวังเฉิง เมื่อเดินไปถึงป่าไม้ ก็มีเงาของหลี่เยวี่ยิ่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
หร่านซวี่จือหรี่ตามองไกลไปด้านหน้า รอจนหลี่เยวี่ยิ่มาถึงใกล้ๆ ถึงพบว่าเธอมีสีหน้าร้อนรนและผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง
“พี่เสี่ยวหลิง! ” เธอหยุดลง หายใจหอบก่อนจะเอ่ย “โชคดีที่หาตัวพี่เจอสักที พี่รีบตามฉันกลับไปเร็ว พี่หวังโมโหใหญ่แล้ว”
ตอนที่หร่านซวี่จือไปถึง บ้านพี่หวังนั้นเงียบสงัด
หวังหลงหดไหล่คุกเข่ากับพื้น หวังเฉิงผสานสองมือ ทำหน้าบึ้งตึง พลังที่แผ่ออกมานั้นค่อนข้างตึงเครียด หว่างคิ้วขมวดเป็ปมแน่น อารมณ์คุกรุ่นที่อัดแน่นไว้เต็มไปหมด
น้าเซวียสีหน้าทั้งร้อนใจและเป็กังวล เธอลังเลชั่วครู่แต่ก็ไม่กล้าไปโน้มน้าว
“ตอนที่หลงจื่อกินข้าวไม่ทันระวังเอ่ยถึงคุณหวัง” หลี่เยวี่ยิ่เอ่ยเสียงค่อย “เดิมทีกำลังคุยกันเื่การบ้าน่ปิดเทอม มีการบ้านหนึ่งข้อที่มีหัวข้อคือพ่อของฉัน”
เห็นทีพ่อของหวังเฉิง หรือหวังเจี้ยนนั้นเป็ข้อห้ามสำหรับบ้านนี้จริงๆ แต่หวังหลงยังเล็กมาก ก่อนหน้านี้ก็ทำได้ดีมาโดยตลอด แต่เนื่องจากดีใจชั่วขณะ หนุ่มน้อยจึงไม่ทันสงบปากไว้
“แล้วทำไมจะพูดถึงไม่ได้! พ่อผมก็จากไปหลายปีแล้ว! พวกพี่ไม่ยอมบอกอะไรผมเลย! ผม…” จู่ๆ หวังหลงก็ะโเสียงดัง หวังเฉิงโมโหและตบใบหน้าของหวังหลงเสียงดังฉาดจนหน้าหัน
คนทั้งหมดตรงนั้นถึงกับใ
ทุกคนต่างก็รู้ว่าแม้ดูแล้วหวังเฉิงจะเข้มงวดกับหวังหลง แต่อันที่จริงนั้น เขารักและเอ็นดูน้องชายคนนี้เป็อย่างมาก หวังเฉิงมักจะพาเขาออกไปเที่ยวเล่น แม้หวังหลงจะทำผิดไปบ้าง เต็มที่อย่างมากก็จะโดนต่อว่า แต่ก็ไม่เคยเห็นถูกตีมาก่อน
หวังหลงถูกตบจนตะลึงไป แต่เพียงไม่กี่วินาทีก็ได้สติและโกรธเคืองเป็อย่างมาก “พี่ถือดีอย่างไรถึงตีผม! ผมผิดตรงไหน! ผมก็เป็ลูกของพ่อ ทำไมผมถึงรู้ไม่ได้! ”
หวังเฉิงเดินหน้าขึ้นมาแล้วเงื้อมือขึ้น กำลังจะตบลงไปที่ใบหน้าของหวังหลงอีกครั้ง ครั้งนี้แรงเยอะกว่าครั้งแรก ได้ยินเสียงหวิวของลม หวังหลงไม่ทันตั้งตัว หลับตา ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียง “เพียะ” ดังก้อง
เหนือความคาดหมาย ใบหน้านั้นไม่ได้เ็ปอะไร พอหวังหลงลืมตาขึ้น ก็มองเห็นหร่านซวี่จืออยู่ตรงหน้า เงานั้นบอบบางอย่างเห็นได้ชัด
ร่างกายของหร่านซวี่จือเซไปมา ชัดว่าแรงตบเมื่อครู่นั้นแรงแค่ไหน
หลี่เยวี่ยิ่ใช้มือหนึ่งข้างปิดปากและเบิกตาโต ใบหน้าของหร่านซวี่จือนั้นมีรอยฝ่ามือแดงอย่างชัดเจน อีกทั้งริมฝีปากด้านในก็เป็แผล มีเืไหลซิบออกจากมุมปาก
หวังเฉิงเองก็ไม่คาดคิดว่าหร่านซวี่จือจะพุ่งตัวเข้ามาจึงอึ้งไป
น้าเซวียส่งเสียง “อา” แล้วรีบตรงไปหน้าหร่านซวี่จือ มองดูรอยฝ่ามือบนใบหน้าของหร่านซวี่จืออย่างเ็ปใจ “พระเ้า เสี่ยวหลิง รีบอ้าปากให้น้าเซวียดูหน่อย”
หร่านซวี่จือส่ายศีรษะ “น้าครับ ผมไม่เป็อะไร”
หวังเฉิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม ท่าทางไม่กระดิกแม้แต่นิดราวกับว่าตัวแข็งทื่อไปก็ไม่ปาน
หร่านซวี่จือเดินไป คว้าแขนของหวังเฉิงแล้วดึงเขาไปข้างนอก
ตอนแรกหวังเฉิงยืนตัวเกร็งแต่หลังจากหร่านซวี่จือสะกิดเขาอยู่หลายที หวังเฉิงก็เดินออกไปอย่างว่าง่าย
ตลอดทางจนมาถึงป่าไม้ หวังเฉิงกับหร่านซวี่จือไม่ได้คุยกันแต่อย่างใด
หร่านซวี่จือไม่ได้สนใจเืตรงข้างมุมปากของตนเอง เขามองดูหวังเฉิงแล้วถอนหายใจ “พี่หวัง อย่าโกรธไปเลย”
หวังเฉิงไม่ได้พูด
หร่านซวี่จือพูดเอง “เื่พ่อของพี่ หลี่เยวี่ยิ่บอกกับผมแล้ว พี่อย่าโทษเธอนะ แม้เธอไม่บอกผม ผมก็จะมาถามพี่อยู่ดี ผมคิดว่า…”
ขณะที่หร่านซวี่จือกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ พื้นตรงหน้าที่เห็นก็ปรากฏจุดสีดำสองจุดเป็วงกลมและนั่นก็คือหยดน้ำตาที่หยดแหมะลงพื้นดินกลายเป็รอยน้ำหยด
ทีแรกหร่านซวี่จือคิดว่าใบหน้าของหวังเฉิงมีเหงื่อ แต่เมื่อหยดมากขึ้น หร่านซวี่จือเงยหน้าขึ้นถึงพบว่าใบหน้าของหวังเฉิงเต็มไปด้วยน้ำตา
หร่านซวี่จืออึ้งเล็กน้อย
หวังเฉิงคือผู้ชายตัวโตที่สูงถึงหนึ่งเมตรเก้าสิบ ตอนที่ร้องไห้กลับเหมือนเด็กน้อย ซึ่งนี่คือสิ่งที่หร่านซวี่จือคิดไม่ถึง ชั่วขณะนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าควรพูดอะไรและก็ยืนอึ้งอยู่กับที่
หวังเฉิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตน คงเพราะรู้สึกว่าน่าอาย เขาจึงหันหน้าไปอีกทาง
“พี่หวัง ผมไม่เป็อะไร” หร่านซวี่จือเอ่ย
หวังเฉิงไม่พูดจา หร่านซวี่จือเอียงศีรษะไปดูเขาจากด้านข้าง มองเห็นตรงมุมปากของหวังเฉิงเองก็ดูเหมือนมีร่องรอยของเื เขาจึงคว้าแขนของหวังเฉิง ส่วนมืออีกข้างก็บีบแก้มของหวังเฉิงไว้
หวังเฉิงไม่ทันตั้งตัว หลังจากอ้าปาก หร่านซวี่จือก็เห็นชัดว่าภายในปากของเขานั้นถูกกัดจนเป็แผล หร่านซวี่จือนั้นเ็ปใจจนพูดไม่ออก แต่ก็รีบเชิดหน้าขึ้น แล้วเขย่งเท้าขยับหน้าเข้าใกล้ แนบหน้าผากเข้ากับหน้าผากของหวังเฉิง พร้อมกับเอ่ยเสียงค่อย “พี่หวัง ผมไม่เป็อะไรจริงๆ พี่ดูสิ ไม่เจ็บแล้ว”
“พี่หวังขอโทษนายด้วย” เสียงของหวังเฉิงแหบพร่า ฝ่ามือกดไว้ที่ท้ายทอยของหร่านซวี่จือแล้วััอย่างอ่อนโยน
หร่านซวี่จือใช้น้ำในลำธารมาล้างเืบนใบหน้า หวังเฉิงใช้น้ำบ้วนปาก แล้วพาหร่านซวี่จือไปเอายาที่สถานีอนามัยของหมู่บ้าน จากนั้นก็จับหร่านซวี่จือแนบไว้ในอ้อมกอด แล้วค่อยๆ ทายาที่ปากของเขาอย่างระมัดระวัง
ขณะที่ทายาลงบนปากแผลนั้นรู้สึกเจ็บมาก หร่านซวี่จืออดกลั้นไม่อยู่จึงขมวดคิ้วและร่างกายก็สั่นเล็กน้อย หวังเฉิงใช้มือโอบหลังของเขาไว้แล้วปลอบเสียงค่อย “เจ็บไหม? ถ้าเจ็บก็ตีพี่หวังได้เลย”
หร่านซวี่จือหลับตาแล้วซบหน้าอกเขา ไม่อยากพูดจา
หวังเฉิงกอดเขาไว้และจดจ้องเสาไม้ที่อยู่ไม่ไกลอย่างเหม่อลอย
หร่านซวี่จือคือดวงใจอันเป็ที่รักที่เขาอยากปกป้องสุดหัวใจ คนอื่นจะแตะต้องไม่ได้แม้เพียงเส้นขน แต่เมื่อครู่ตนเองกลับตีเขา หวังเฉิงจึงรู้สึกว่ารับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ชั่วขณะนั้นเขาแทบอยากจะหั่นมือของตนเองทิ้งเสียให้ได้
“พี่หวัง” รอจนอาการเจ็บที่ปากนั้นทุเลาลง หร่านซวี่จือก็จัดการอารมณ์แล้วถามเขาใหม่ “หวังหลงยังเด็กมาก จะสงสัยบ้างก็เป็เื่ปกติ”
มือของหวังเฉิงที่โอบหร่านซวี่จือไว้รัดแน่นขึ้น ผ่านไปชั่วครู่จึงเอ่ย “ฉันรู้”
“วันนี้ในสิบปีก่อน พ่อของฉันฆ่าตัวตายในคุก” หวังเฉิงเอ่ยพึมพำ
“พ่อฉันเป็คนดีมีเมตตา ปีนั้นธุรกิจของบริษัทนั้นเติบโตอย่างมาก โรงงานทำกำไรได้ พ่อของฉันยังอยากจะสร้างถนนให้หมู่บ้านอีกด้วย” หวังเฉิงเอ่ย “เขายังช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาของคนมากมายที่้าเรียน และเขาก็เป็คนที่ซื่อสัตย์อย่างมาก ไม่กล้าทำเื่ไม่ดีมาก่อน เก็บเงินได้ระหว่างทางก็ยังไม่กล้าเก็บไว้เองด้วยซ้ำ”
“ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะขายยาเสพติด”
หร่านซวี่จือตอบรับ “อืม ผมก็ไม่เชื่อ”
หวังเฉิงซุกศีรษะเข้าในซอกไหล่ของหร่านซวี่จือ “กระต่ายน้อย ทำไมกัน…”
คำพูดนั้นหวังเฉิงไม่ได้พูดจนจบ หร่านซวี่จือเองก็ไม่ได้ถาม
สำหรับหวังเฉิงแล้ว หรือบางที สำหรับคนหนุ่มทุกคน พ่อของตนเองนับว่าเป็ชายที่กล้าหาญที่สุด เยี่ยมยอดที่สุด และไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้
พ่อที่เป็ดั่งวีรบุรุษในสายตาของตนเอง เพียงชั่วข้ามคืนก็กลายเป็นักโทษค้ายาเสพติด ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับได้
หวังหลงยังเด็กมาก ยังมีอนาคตที่เจิดจ้า แม้ว่าไม่สามารถหลอกลวงเขาได้ แต่ก็จะให้เขารู้รับรู้ไม่ได้ว่าพ่อของตนนั้นทำความผิดร้ายแรงมหันต์เพียงใด
พ่อผู้ซึ่งเป็ความเชื่อของเด็กทุกคน หวังเฉิงเคยผ่านประสบการณ์ความสิ้นหวังมา ดังนั้นจึงหวังว่าหวังหลงจะสามารถเติบโตอย่างมีความสุขโดยไร้เงาของผู้เป็พ่อได้และเติบใหญ่กลายเป็ชายหนุ่มที่เข้มแข็งและมีวุฒิภาวะมากพอ