ภายในปราสาทอันเงียบงัน และการจ้องมองอันเงียบงัน ทุกสิ่งล้วนแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว
เมื่อหนิงเทียนมาถึงลานกว้าง เสียงฝีเท้าที่ชัดเจนก็ดึงดูดความสนใจของคนทั้งหกที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ในทันที
“หนิงเทียน เ้ามาแล้ว!”
ที่แท้จื๋อซิวคนเดียวในบรรดาคนทั้งหกก็คือชิวอีเซี่ยนจากโถงร้อยทหารภายใต้สำนักกายา ที่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้
“หนิงเทียน?”
อีกห้าคนมีการแสดงออกที่แตกต่างกัน และคนที่มีสีหน้าน่าเกลียดที่สุดก็คือซูอวิ๋น ที่แท้นางก็มาอยู่ที่นี่
อีกสี่คนที่เหลือเป็ผู้บำเพ็ญหยวนซิวสองคนและซิงซิวสองคน ในหมู่พวกเขามีสตรีสวมผ้าคลุมหน้าที่แม้กระทั่งดวงตาจิติญญาของหนิงเทียนก็ไม่สามารถมองทะลุได้
พวกเขาทั้งสี่มองหนิงเทียนด้วยสีหน้าและสายตาประหลาดใจเล็กน้อย แม้จะเป็ครั้งแรกที่ได้พบกัน แต่ชื่อหนิงเทียนก็แพร่กระจายไปทั่วดินแดนหยวนซิงแล้ว
“การมาของข้ามีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือ?”
หนิงเทียนตอบอย่างสบายๆ แต่มองซูอวิ๋นอย่างเ็า อยากจะรีบรุดไปฆ่านาง แต่เหตุผลกลับบอกให้หนิงเทียนอย่าประมาท
ที่นี่ยังมีหยวนซิวอยู่อีกสองคน และทั้งคู่ล้วนอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนผ่าน ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่เหนือซูอวิ๋น เขาจำเป็ต้องตรวจสอบให้ดีก่อนว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับซูอวิ๋นหรือไม่
สำหรับผู้บำเพ็ญซิงซิวทั้งสองนั้น หากดูเผินๆ หนิงเทียนย่อมไม่มีความแค้นใดๆ กับพวกเขา แต่ในฐานะอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของจื๋อซิว ใครจะแน่ใจได้ว่ายอดฝีมือซิงซิวจะไม่อิจฉาจนอยากขัดขวางการเติบโตของตน?
ชิวอีเซี่ยนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “แน่นอนว่าข้ายินดีต้อนรับเ้า ข้าแค่สงสัยว่าทำไมเ้าถึงมาปรากฏตัวในบริเวณนี้ เมื่อคืนเ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
หนิงเทียนกล่าวว่า “เกี่ยวกับเื่นี้ข้าจะบอกท่านในภายหลัง ทำไมไม่แนะนำคนเหล่านี้สักหน่อยเล่า?”
หนิงเทียนไม่สามารถไว้ใจคนทั้งหกนี้ได้ แต่ภายนอก เขายังคงแสดงความไว้วางใจในชิวอีเซี่ยน ใครบอกให้พวกเขาเป็คนของจื๋อซิวเหมือนกันเล่า?
ชิวอีเซี่ยนกล่าวว่า “คนเหล่านี้คือกลุ่มที่พบกันที่นี่เมื่อคืนที่ผ่านมา สาวงามคนนี้คือซูอวิ๋นจากสำนักหานเทียน นั่นคือหยวนหงกังจากกลุ่มเทือกเขาทองคำ อีกคนเป็ผู้ทรงพลังยิ่งกว่าคือลัวจิ้งจากโถงหยวนปฐี สองคนที่เหลือล้วนเป็ผู้บำเพ็ญซิงซิว คนที่สวมผ้าคลุมหน้าคือคนงามแห่งตำหนักดาวเหนือ อีกคนหนึ่งคืออวี่ชิวจากสำนักดาราทมิฬ”
หนิงเทียนมองคนเ่าั้ หยวนหงกัง ลัวจิ้ง และอวี๋ชิวต่างก็อายุน้อยมาก น่าจะอายุประมาณสามสิบปี ทว่าพวกเขาต่างก็เป็ยอดฝีมือในขอบเขตเปลี่ยนผ่าน ซึ่งการจะฝึกฝนจนมาถึงขอบเขตนี้จำเป็ต้องอาศัยการสะสมทรัพยากรและเวลา
ส่วนสตรีสวมผ้าคลุมจากตำหนักดาวเหนือนั้นเขาไม่สามารถบอกอายุที่แน่นอนของนางได้ แต่แววตากลับทำให้คนเยือกเย็นและห่างเหิน นางเหลือบมองหนิงเทียนสองสามครั้งด้วยท่าทางประหลาดใจเล็กน้อยกับรูปร่างหน้าตาของเขา
สีหน้าของซูอวิ๋นมืดมน และนางกำลังคิดว่าควรยืมมีดฆ่าคนอย่างไรจึงจะกำจัดหนิงเทียนได้
หยวนหงกัง ลัวจิ้ง และอวี๋ชิวหันมองหนิงเทียนสองสามครั้งก่อนจะเบือนหน้าออกไป ในใจนึกดูถูกเนื่องจากขอบเขตของหนิงเทียนต่ำเกินไป และเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับคนเหล่านี้เลย
ขณะที่ชิวอีเซี่ยนค่อนข้างกระตือรือร้น ในบรรดาคนทั้งหก เขาเป็คนเดียวที่อยู่ในขอบเขตผนึกดารา ตอนนี้มีหนิงเทียน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเป็มิตรทันที และเขาไม่ต้องถูกคนอื่นมองอย่างดูแคลนแล้ว
ก่อนหน้านี้เนื่องจากชิวอีเซี่ยนมีระดับต่ำที่สุด เขาจึงถูกคนอื่นๆ ดูถูกมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนนี้หนิงเทียนมาแล้ว ฐานะนี้ย่อมตกเป็ของหนิงเทียนโดยปริยาย
“มามามา ข้าขอบอกก่อนว่าปราสาทแห่งนี้ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะรูปปั้นหินลิงั์นี้ เห็นหรือไม่ นั่นคือแผนที่ จากการวิเคราะห์ของเรานั่นคือแผนที่โลก ทั้งยังมีคำอธิบายประกอบอยู่บ้าง และหนึ่งในนั้นคือปราสาทแห่งนี้”
ชิวอีเซี่ยนจับมือหนิงเทียนแล้วชี้ไปที่แผนที่ด้านหลังลิงั์แล้วพูดต่อ
หนิงเทียนเงยหน้าขึ้นและตั้งใจสังเกตอย่างละเอียดยิ่งขึ้น แผนที่ค่อนข้างเรียบง่าย มีการร่างโครงร่างคร่าวๆ นอกจากภูมิประเทศที่เป็ูเาแล้ว ก็มีการกระจายตัวของแม่น้ำ นอกจากนี้ยังมีเครื่องหมายกำกับ ปราสาท เจดีย์โบราณ แผ่นศิลา และซากปรักหักพัง
สิ่งแรกที่หนิงเทียนให้ความสนใจคือแผ่นศิลา เพราะเขาใช้เวลาทั้งคืนซ่อนตัวอยู่ใต้แผ่นศิลา
แผนที่แสดงให้เห็นว่ามีแผ่นศิลาสี่แผ่นในแผ่นดินนี้ ในหมู่เครื่องหมายเ่าั้ แผ่นศิลาที่หนิงเทียนพบเมื่อคืนนี้มีจุดสีแดงและโครงร่างของแผ่นศิลากำกับอยู่
แผ่นศิลาที่เหลืออีกสามแผ่นมีเครื่องหมายสีฟ้า และโครงร่างที่วาดด้วยลายเส้นหยาบๆ สองสามเส้นจางลงอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่สองที่หนิงเทียนให้ความสนใจคือปราสาท ตำแหน่งปัจจุบันของปราสาทมีการระบุไว้อย่างชัดเจนบนแผนที่ และมีการร่างโครงร่างที่เรียบง่ายไว้ด้วยสีฟ้า
ทั่วทั้งแผนที่มีปราสาทสามแห่ง และทั้งหมดทำเครื่องหมายด้วยสีฟ้า
ต่อไปคือซากปรักหักพัง ซึ่งมีอยู่สองแห่งกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ แห่งหนึ่งเป็จุดสีแดงอ่อน อีกแห่งเป็จุดสีฟ้า
สุดท้ายก็เจดีย์โบราณซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาตรงกลางแผนที่ จุดนี้มีสีแดงสดสะดุดตาเป็พิเศษ และมีการวาดเจดีย์แยกออกมาเพื่อเน้นความพิเศษของเจดีย์เอาไว้ด้วย
เมื่อมองดีๆ บนแผนที่นี่มีเครื่องหมายอยู่สิบจุด สีของเจดีย์โบราณนั้นสว่างที่สุด สีเข้มจนดูคล้ายสีเื รองลงมาคือแผ่นศิลาที่หนิงเทียนพบเมื่อคืนนี้ที่เป็สีแดง ถัดไปคือซากปรักหักพังสีแดงอ่อน ในส่วนของจุดที่ทำเครื่องหมายไว้อีกเจ็ดจุดที่เหลือล้วนมีสีฟ้าทั้งหมด
“เมื่อคืนมีการบุกโจมตีเมืองหรือไม่?”
หนิงเทียนมองชิวอีเซี่ยน โดยให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของเขา
ความกลัวยังคงติดค้างอยู่ในใจของชิวอีเซี่ยน ใบหน้าของเขาจึงซีดลง ก่อนจะกล่าวว่า “มันน่ากลัวเกินไป ถ้าข้าไม่พยายามหนีมาที่นี่ ข้าคงถูกกลืนหายไปกับความมืด ในความมืดนั้นมีอสูรประหลาดมากมายซ่อนเร้น ทั้งยังไล่สังหารอย่างบ้าคลั่ง แม้กระทั่งสองในสามของปราสาทก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด มีเพียงรูปปั้นหินนี้เท่านั้นที่เปล่งแสงอันลุกโชนและช่วยปิดกั้นการกวาดล้างของความมืด”
เมื่อมองไปรอบๆ ชิวอีเซี่ยนก็กระซิบว่า “ไม่ใช่แค่ข้า พวกเขาก็หวาดกลัวเช่นกัน”
หนิงเทียนคิดว่าคำพูดของชิวอีเซี่ยนน่าจะเป็ความจริง นี่แสดงให้เห็นว่าทั้งสิบจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ในแผนที่คือจุดที่สามารถต่อกรกับสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดในยามราตรีได้ สิ่งนี้จะช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัย
เพียงแต่เมื่อมองจากบนแผ่นที่ ย่อมเห็นว่าแต่ละจุดที่ทำเครื่องหมายไว้มีระยะห่างที่ค่อนข้างมาก หากหาที่ปักหลักไม่ทันก่อนที่ความมืดจะมาถึง เช่นนั้นย่อมไม่รอด
“ไม่ทราบว่าเมื่อคืนมีคนตายในความมืดหรือไม่?”
หนิงเทียนกำลังทดสอบคนทั้งหก คาดไม่ถึงว่าคนแรกที่เอ่ยปากจะเป็ลัวจิ้งจากโถงหยวนปฐี
“ข้าเห็นจื๋อซิวผู้หนึ่งตายในความมืด”
ใบหน้าของชิวอีเซี่ยนปรากฏร่องรอยแห่งความกังวล เดิมทีจื๋อซิวก็มีคนจำนวนไม่มากอยู่แล้ว มีเพียงสิบสองคนเท่านั้นที่เข้ามาในห้องโถงใหญ่ ตอนนี้เป็ที่รู้กันแล้วว่ามีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งคน
“ในหมู่ผู้บำเพ็ญทั้งสามสายมีคนเข้ามาในห้องโถงหลักทั้งหมดกี่คน?”
ลัวจิ้งกล่าวว่า “เราได้ถกเื่นี้กันเมื่อคืน มีผู้บำเพ็ญจื๋อซิวสิบสองคน ผู้บำเพ็ญซิงซิวยี่สิบสี่คน และผู้บำเพ็ญหยวนซิวสามสิบหกคน”
ซูอวิ๋นพูดด้วยความโกรธ “ตามสัดส่วนแล้ว คนแรกที่เสียชีวิตย่อมต้องเป็จื๋อซิว”
หยวนหงกังจากกลุ่มเทือกเขาทองคำเห็นด้วย “ศิษย์น้องซูกล่าวไม่ผิด จื๋อซิวจะตายก็ตายไป ไม่มีใครสนใจหรอก”
นี่เป็การพยายามบีบหนิงเทียนโดยเจตนา เป็การดูแคลนจื๋อซิวและจงใจปราบปรามเขา
ทุกคนรู้ดีว่าซิงซิวและหยวนซิวดูถูกจื๋อซิวมาโดยตลอด
หนิงเทียนมองซูอวิ๋นแล้วเยาะเย้ย “ในแดนเปลี่ยวร้างห่างไกล ผู้ที่ได้เปรียบที่สุดคือจื๋อซิว เกรงว่าพวกเ้าคงยังไม่รู้ว่าในแผ่นดินนี้มีเ้าแห่งจิติญญาระดับห้าอยู่ด้วย”
เ้าแห่งจิติญญาเป็ชื่ออันทรงเกียรติสำหรับิญญาอสูรระดับห้า ซึ่งเทียบเท่ากับปรมาจารย์ในขอบเขตเหนือเมฆา
ชิวอีเซี่ยนอุทาน “จริงหรือ? อยู่ที่ไหน?”
“ข้าพบเมื่อวานนี้”
คำพูดของหนิงเทียนกระตุ้นความประหลาดใจของลัวจิ้ง หยวนหงกัง และอวี๋ชิว มีเ้าแห่งจิติญญาระดับห้าในแผ่นดินนี้ สิ่งนี้ถือเป็หายนะสำหรับซิงซิวและหยวนซิว หากพวกเขาไม่ระวังอาจตายด้วยน้ำมือของเ้าแห่งจิติญญาระดับห้าเอาได้
ดวงตาของชิวอีเซี่ยนเป็ประกาย เขาพูดอย่างตื่นเต้น “เมื่อคืนนี้เ้ารอดมาได้เพราะเ้าได้พบกับเ้าแห่งจิติญญาระดับห้าหรือ?”
หนิงเทียนไม่บอกว่าใช่หรือไม่ เขาเพียงทิ้งความสงสัยเล็กน้อยให้คนอื่นได้คาดเดา และนั่นจะมีผลในการยับยั้งบางอย่าง
นอกจากข้อมูลที่หนิงเทียนเห็นก่อนหน้านี้ แผนที่ด้านหลังรูปปั้นลิงั์ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่ง
ตรงมุมขวาล่างของแผนที่เต็มไปด้วยป้ายหินที่มีขนาดเพียงสามชุ่น ทั้งยังมีรอยฝ่ามือสลักอยู่บนแผ่นป้าย ดูเหมือนว่าภายใต้แผ่นป้ายจะมีตาดวงหนึ่งซ่อนอยู่อย่างเลือนราง
“ชิวอีเซี่ยน แผ่นป้ายนั้นคือสิ่งใด?”
“เหอๆ นั่นเป็เหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงจ้องมองมัน มีวังใต้ดินในปราสาทแห่งนี้ กุญแจสำคัญในการเปิดมันคือแผ่นป้ายนี้ ตอนนี้ทุกคน้ามัน แต่มีป้ายเพียงด้านเดียวจึงไม่ใช่เื่ง่ายที่จะแบ่ง”
หนิงเทียนยิ้ม ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะแบ่ง นี่เป็เื่ไร้สาระล้วนๆ
เ้าไม่สามารถนำแผ่นป้ายออกมาก่อน เมื่อเปิดวังใต้ดินได้แล้ว จากนี้ก็ต้องพึ่งความสามารถของตนเองไม่ใช่หรือ?
ลัวจิ้งเห็นรอยยิ้มของหนิงเทียนจึงพูดอย่างใจเย็น “แผ่นป้ายนี้ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะถอดออก ตามบันทึกทางเข้าวังใต้ดิน มีเพียงผู้ที่ได้รับแผ่นป้ายที่สามารถเข้าไปในวังใต้ดินได้ ทว่าเป็การเคลื่อนย้ายออกไป ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ และเพื่อให้ได้มาซึ่งแผ่นป้ายเ้าต้องมีโชคชะตาต่อมันด้วย”
ชิวอีเซี่ยนยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “หากเราคนใดคนหนึ่งถูกลิขิตให้เป็คนในโชคชะตา และสามารถเอาแผ่นป้ายออกมาได้ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่ถูกคนอื่นๆ รวมกลุ่มโจมตี?”
“นั่นสินะ”
ในที่สุดหนิงเทียนก็เข้าใจ ทุกคนไม่สามารถไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ เนื่องจากคนทั้งเจ็ดในปัจจุบันล้วนมาจากสำนักที่แตกต่างกัน แม้ว่าขอบเขตของพวกเขาจะมีทั้งสูงและต่ำ แต่ก็ยังต้องกังวลเช่นกันว่าคนอื่นจะรวมพลังเพื่อจัดการตนเอง
เื่นี้ทำให้เกิดทางตัน อีกทั้งทุกคนต่างอยากรู้ว่าภายในวังใต้ดินมีโอกาสอะไรซ่อนอยู่
หนิงเทียนกำลังคิดอะไรบางอย่าง หากเขาสามารถส่งคนอื่นๆ ออกไปได้ เขาจะไม่มีโอกาสฆ่าซูอวิ๋นหรือ?
ภายใต้สถานการณ์ในยามนี้ หากหนิงเทียนโจมตีซูอวิ๋น มีโอกาสมากที่เขาจะถูกหยวนหงกังสกัดกั้น อีกทั้งซูอวิ๋นจะเชิญหยวนหงกังให้เข้าร่วมในการโจมตีกับนางเสียอีก
“แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือผู้ถูกกำหนดชะตาไว้? พวกเ้าไม่อาจติดอยู่ในทางตันเช่นนี้ต่อไปได้นานนักหรอก”
หนิงเทียนแสดงท่าทีเต็มไปด้วยความสนใจซึ่งกระตุ้นให้ลัวจิ้ง อวี่ชิว และหยวนหงกังยิ่งดูแคลน เ้าอยู่ในขอบเขตเพียงเท่านี้ ทว่ากลับอยากรวมกลุ่ม ช่างประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไปจริงๆ
ชิวอีเซี่ยนถูมือแล้วพูดว่า “หรือว่าเ้าจะลองก่อน?”
หนิงเทียนเตะเท้าพุ่งขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะะโว่า “หากข้าคือผู้ถูกลิขิตและสามารถถอดแผ่นป้ายออกมาได้ พวกเ้าทุกคนจะไม่มาแย่งไปหรอกหรือ?”
ในเวลานี้อยู่ดีๆ สตรีสวมผ้าคลุมหน้าจากตำหนักดาวเหนือก็พูดขึ้น
“เมื่อถอดแผ่นป้ายออกแล้ว นกั์ตัวนั้นจะเข้ามา”
เหตุไฉนมันจึงเข้ามา ไม่ว่าเป็คนโง่คนไหนก็คิดได้
หนิงเทียนมองต้นไม้ั์ที่อยู่ไกลๆ มันสูงประมาณพันจั้ง มีความยิ่งใหญ่อลังการอย่างน่าประหลาด นั่นอาจเป็ิญญาอสูรระดับห้าใช่หรือไม่?
นกั์สยายปีกออกไปหลายร้อยจั้ง แล้วบินโฉบอยู่เหนือต้นไม้ั์ แม้จะมองจากระยะไกล ก็ยังััได้ถึงพลังทำลายิญญาที่มีอยู่ในดวงตาสีฟ้าเข้มของมัน
นกั์ตัวนี้แข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็เป็อสูรระดับสี่ และมันอาจเป็อสูรระดับห้าก็เป็ได้ ถ้ามันเข้ามา ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ย่อมต้องหลบหนี
“แผ่นป้ายกำลังเรืองแสง”
ขณะที่หนิงเทียนกำลังมองนกั์จากระยะไกล ซูอวิ๋นก็กรีดร้องขึ้น
รัศมีแสงกำลังเบ่งบานบนแผนที่ โดยส่วนใหญ่มุ่งไปที่แผ่นป้าย พร้อมกับซากปรักหักพังที่มีเครื่องหมายสีแดงอ่อนก็เริ่มเรืองแสงขึ้นในเวลาเดียวกัน
เกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงมีจุดสองจุดเรืองแสงพร้อมกัน หรือว่าปราสาทแห่งนี้และซากปรักหักพังนั้นจะได้พบกับคนที่ถูกลิขิตไว้แล้ว?
