เมื่อได้ตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงมาไว้ในแล้ว ในหัวของไป๋เยว่ซินก็มีความคิดมากมายหลายอย่าง เื่แรกที่นางคิดก็คือจะต้องนำเงินจำนวนนี้ไปต่อยอดในการลงทุนส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งให้คนที่บ้านเก็บเอาไว้ใช้ยามจำเป็ และสามส่วนที่เหลือนางจะเก็บเอาไว้เป็สินเดิมให้กับไป๋เซียงและอาหลิง แม้อาหลิงจะเป็สาวใช้ แต่ทว่าพวกนางก็รักใคร่ผูกพันกันเหมือนญาติสนิท คนตระกูลไป๋ไม่เคยมองอาหลิงเป็สาวใช้เลยสักวัน
และส่วนสุดท้ายที่เหลือนางอยากเก็บเอาไว้เป็ค่าเล่าเรียนของไป๋ฟานพี่ใหญ่ของนาง
เพราะนางรู้ว่าเขาอยากจะเป็ขุนนาง อยากให้ตนเองเป็ความภาคภูมิใจของคนในครอบครัว
แม้นางจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่อยากจะทัดทานหรือห้ามปรามเขา อย่างไรเสียเขาก็ควรได้เรียนรู้เื่ราวต่างๆด้วยตนเอง ไม่แน่่ว่าเมื่อเขาเข้าใจความเป็ไปที่นครหลวงมากขึ้นแล้ว เขาอาจจะไม่อยากเป็ขุนนางอีกชั่วชีวิต
เงินหนึ่งพันตำลึงนี่สำหรับนางนับว่าไม่มากเท่าไหร่ แต่สำหรับคนตระกูลไป๋แล้วหมายถึงทั้งชีวิตของพวกเขา ถือซะว่านี่เป็ค่าตอบแทนที่พวกเขาทำดีกับนางและสอนให้นางเข้าใจหลายๆเื่ของชีวิตนี้มากยิ่งขึ้น
ไป๋เยว่ซินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะชักชวนพี่สาวและพี่ชายไปเดินซื้อของในตลาด นางซื้อข้าวสารไปสี่จิน ซื้อกระดูกหมู เนื้อหมูไปอีกอย่างละหนึ่งจิน และยังซื้อซาลาเปากลับบ้านไปอีกหลายลูกด้วย ไป๋ฟานที่เห็นน้องสาวซื้อของมากมายถึงเพียงนี้ก็รีบเอ่ยปรามด้วยความเป็ห่วง พลางมองเงินที่ไป๋เยว่ซินจับจ่ายอย่างมือเติบด้วยความเสียดาย
"น้องเล็ก เ้าอย่าซื้ออีกเลย อย่่างไรควรต้องเก็บเงินเอาไว้บ้าง หากว่าเกิดเื่ฉุกละหุกขึ้นมา เ้าจะลำบากเอาได้"
ไป๋เยว่ซินยิ้มให้ไป๋ฟานเล็กน้อย
"ข้ารู้แล้ว พี่ใหญ่เลิกบ่นสักทีเถอะน่า อีกหน่อยพวกเราจะต้องหาเงินได้มากกว่าวันนี้แน่นอน ข้ารับรองว่าถึงจะมีเงินแล้วข้าก็จะไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ไปๆ พี่รอง วันนี้ข้าจะซื้อปิ่นปักผมที่สวยที่สุดให้ท่าน ส่วนท่านพี่ใหญ่ วันนี้ข้าจะซื้อตำราและเครื่องเขียนชุดใหม่ให้ท่านด้วย สำนักศึกษาใกล้เปิดทำการสอนแล้ว ท่านต้องเตรียมตัวให้ดี"
ไม่รอให้พวกเขาสองคนได้เอ่ยทัดทาน ไป๋เยว่ซินก็เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว ไป๋ฟานและไป๋เซียงหันมามองหน้ากันพลางยิ้มอย่างจนใจ ก่อนจะรีบเดินตามน้องสาวของตนไป
หลังจากซื้อของจนพอใจแล้ว สามพี่น้องก็รีบกลับบ้าน เมื่อมาถึงก็พบว่าไป๋จง ไป๋ชวน นางเกาและนางหลี่ อาหลิง กำลังรออยู่ที่ลานบ้าน เมื่อเห็นว่าพวกนางกลับมาแล้วก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ พร้อมกับนำเงินที่ขายผักได้ก่อนหน้านี้มามอบให้นาง นางเกาเอ่ยกับไป๋เยว่ซินด้วยความดีใจจนมือไม้สั่นไปหมด
"เยว่เอ๋อร์ ผักของบ้านเราขายดีมาก ขายดีจนแทบไม่พอขายแล้ว ชาวบ้านบอกว่ารสชาติของผักหวานมาก"
นางหลี่เองก็พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับมองบุตรสาวของตนด้วยสายตาชื่นชม ไป๋เยว่ซินยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้ทุกคนช่วยกันนำของกินไปเก็บไว้ในโรงครัว
ไป๋จงและไป๋ชวนมองของกินและของใช้มากมายที่ไป๋เยว่ซินซื้อกลับมาก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ั้แ่เล็กจนโตเขาไม่เคยมีโอกาศได้ซื้อของมือเติบเช่นนี้เลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอ่ยสอนไป๋เยว่ซินว่าควรใช้จ่ายให้ประหยัด
ไป๋เยว่ซินพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางไม่เคยรู้สึกโกรธหรือโมโหที่พวกเขาเอาแต่สั่งสอน กลับกันนางกลับชอบเสียมากกว่า ทุกคนในบ้านไม่เคยใช้อารมณ์ในการสนทนากัน ทุกคราล้วนใช้เหตุผลและพูดจากันด้วยดีเสมอมา มันทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจเป็อย่างมาก
ไป๋เยว่ซินให้ทุกคนมารวมตัวที่ลานบ้านอีกครั้ง ก่อนจะล้วงหยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาวางตรงหน้าทุกคน คนตระกูลไป๋ถึงกับมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
“เยว่เอ๋อร์ เ้าไปเอาเงินมากมายนี่มาจากที่ใดกัน”
ไป๋ชวนเอ่ยถามหลานสาวด้วยความตื่นตระหนก ไป๋จงเองก็เอ่ยถามบุตรสาวตนด้วยความสงสัย
“นั่นสิ เยว่เอ๋อร์ เ้าไปเอาเงินมากมายเช่นนี้มาจากที่ใดกัน”
นางเกาและนางหลี่ก็จ้องมองไป๋เยว่ซินเช่นเดียวกัน ไป๋เยว่ซินไม่รอให้พวกเขาได้สงสัยนาน จึงเล่าเื่ทั้งหมดให้ฟังอย่างไม่ปกปิด นางเกายกมือขึ้นปิดปากตนพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
“เถ้าแก่หม่า เ้าของภัตตาคารตระกูลหม่านั่น ตกลงร่วมลงทุนกับเ้าหรือ อีกทั้งเ้ายังขายสูตรอาหารให้เขาอีกด้วย”
“เ้าค่ะ”
ทุกคนดีใจมาก นางเกาและนางหลี่ถึงกับกอดกันร้องไห้ ไป๋จงและไป๋ชวนก็น้ำตาซึม ด้านไป๋ฟาน ไป๋เซียงและอาหลิงก็ยังอดน้ำตารื้นไม่ได้
ไป๋เยว่ซินแบ่งเงินที่ได้จากการขายผักออกเป็สัดส่วน และแบ่งให้ทุกคนในจำนวนที่เท่าเทียมกัน ส่วนเงินที่ต้องเอาไว้จับจ่ายในบ้านนางก็ให้นางเกาและนางหลี่เป็คนเก็บเอาไว้
"นับแต่นี้ข้าจะจ่ายเงินให้ทุกคนในทุกครั้งที่พวกเราขายผักได้ เงินส่วนที่ข้าแบ่งให้ถือเป็ค่าตอบแทนที่พวกท่านช่วยกันทำงานอย่างขยันขันแข็ง พวกท่านจะเอาเงินส่วนนี้ไปใช้จับจ่ายซื้อสิ่งใดก็ได้ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยว ส่วนเงินกองกลางที่เหลือเราจะเก็บเอาไว้ที่ป้าสะใภ้และท่านแม่ และข้าจะเป็คนทำบัญชีเอง ทุกส่วนที่ถูกเบิกไปใช้ซื้อของและเงินที่รับเข้ามาในแต่ละวัน จะต้องลงบันทึกในบัญชีทุกครั้ง ที่ข้าต้องทำเช่นนี้เพราะจะได้รู้ว่าบ้านเรามีรายรับและรายจ่ายเท่าใด จะได้จัดการทุกอย่างได้อย่างเป็ระเบียบแบบแผน"
ไป๋จงไป๋ชวน นางเกาและนางหลี่ไม่รู้หนังสือย่อมฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง มีเพียงไป๋ฟานและไป๋เซียงซึ่งรู้หนังสือที่เข้าใจทุกอย่างที่ไป๋เยว่ซินเอ่ย
"น้องเล็ก ข้ากับอาหลิงจะช่วยเ้าทำบัญชีเอง แม้ข้าจะไม่รู้หนังสือเท่าพี่ใหญ่ แต่พี่ใหญ่สอนข้ามาหลายปี ข้าจึงมีความรู้งูๆปลาๆติดตัวมาบ้าง"
ไป๋เซียงเอ่ยด้วยท่าทีกระดากอาย ในหมู่บ้านชนบทนี้ไม่นิยมให้บุตรสาวไปเรียนหนังสือ สตรีที่จะได้เรียนหากไม่ใช่บุตรสาวขุนนางก็เป็พวกบุตรสาวคหบดีฐานะร่ำรวยที่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะจ้างอาจารย์มาสอนที่บ้านได้
ไป๋เยว่ซินเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มรับคำ ก่อนที่นางจะหันไปหาไป๋ฟาน
"พี่ใหญ่ นับแต่นี้งานในสวนในแปลงนา เจ็ดวันท่านไปทำสักสามวันก็พอ แล้วไม่ต้องออกไปขายของอีก"
ไป๋ฟานเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ชายหนุ่มเริ่มลนลานขึ้นมาพลางคิดในใจ
หรือน้องเล็กคิดว่าเขาทำงานในสวนไม่เก่ง ทำอันใดก็ไม่ดีไม่มีความสามารถเท่าอ่านตำราหรือ?
ไม่รอให้พี่ชายร้อนใจนานเกินไป ไป๋เยว่ซินก็รีบเอ่ยต่อทันที
"ท่านไม่ต้องร้อนลน อีกไม่นานที่สำนักศึกษาจะเปิดการเรียนการสอนแล้ว ท่านต้องไปเรียนและเตรียมสอบขุนนางระดับอำเภอ นับแต่นี้ก็ทำงานให้น้อยลง อ่านหนังสือให้มาก ข้าอยากให้ท่านทุ่มเทกับการอ่านตำรามากกว่า ส่วนเื่อื่นพวกเราจะทำกันเอง ท่านไม่ต้องคิดมาก ท่านเป็บุตรชายคนเดียวของตระกูลไป๋ เป็ความหวังของพวกเรา ขอเพียงท่านมีเวลาทบทวนตำรา การสอบของท่านจะต้องราบรื่นแน่นอน"
ไป๋ฟานเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาทันที ดวงตาของชายหนุ่มแดงก่ำ เขาซาบซึ้งใจมาก ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ตลาดเขาไม่กล้าเลือกตำราที่แพงที่สุด แต่น้องเล็กกลับไม่คิดมาก นางซื้อตำราราคาแพงให้เขาหลายเล่ม อีกทั้งเครื่องเขียนชั้นดีนางก็ซื้อให้เขาอย่างไม่ตระหนี่
เขาจะไม่มีทางทำให้ความตั้งใจของน้องเล็กและทุกคนในครอบครัวต้องสูญเปล่าเด็ดขาด
"ได้ พี่ใหญ่เชื่อฟังเ้า"
ไป๋เยว่ซินที่เห็นว่าทุกคนในบ้านเข้าใจในสิ่งที่นางพูดก็พอใจยิ่ง เมื่อคิดถึงเื่หนึ่งขึ้นมา หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ยกับทุกคน
"ข้ายังมีอีกเื่ที่ต้องบอกกับพวกท่าน แต่พวกท่านต้องสัญญาว่าจะเก็บเื่ที่ข้าเล่าเป็ความลับ"
คนตระกูลไป๋หันมามองหน้ากัน ก่อนจะจ้องไป๋เยว่ซินอย่างร้อนใจ ไป๋เยว่ซินตัดสินใจเล่าเื่ตำราพิเศษและเ้าแมวอาซานให้คนที่บ้านฟังทั้งหมด อีกทั้งยังบอกว่าทุกอย่างที่นางมีในตอนนี้ทั้งสูตรอาหารและเครื่องปรุงพิเศษล้วนได้มาจากตำราพิเศษเล่มนั้นทั้งสิ้น
เมื่อฟังที่นางเล่าจนจบ ทุกคนก็ถึงกับใยิ่ง นอกจากใเื่ตำราพิเศษเล่มนั้นแล้ว ยังยังใที่เ้าแมวอาซานพูดได้อีกด้วย ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าพวกเขาจะตั้งสติได้
"เยว่เอ๋อร์ หรือว่านั่นจะเป็ตำราผีสิง"
นางหลี่เอ่ยถามบุตรสาวพลางยกมือขึ้นตบหน้าอกตนป้อยๆ ไป๋เยว่ซินเมื่อได้ยินก็หัวเราะออกมาพลางส่ายหน้า
"ไม่ใช่เ้าค่ะ พวกท่านไม่ต้องกังวล อาซานเป็แมวที่น่ารักมาก ขอเพียงพวกท่านใช้ชีวิตให้ปกติ ทำตามที่ข้าบอก และอย่าแพร่งพรายเื่นี้เด็ดขาด เพียงเท่านี้เ้าแมวอาซานก็จะไม่ะโงับคอพวกท่านแล้ว"
“หา! มันงับคอคนด้วยหรือ?”
ไป๋ชวนท่านลุงใหญ่ถึงกับหน้าซีด พลอยทำทุกคนลนลานไปด้วย ไป๋เยว่ซินยิ่งได้ใจ นางพยักหน้าพลางทำท่าทีจริงจัง
“เ้าค่ะ มันงับคอคนเป็ หง่าวววว!”
“ตาเถร ต้องปิดปากให้สนิทแล้ว!”
นางเการีบสั่งให้ทุกคนปิดปากให้สนิท ไป๋เยว่ซินมองคนในครอบครัวก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย ท่าทีผ่อนคลายของนางทำให้ทุกคนคลายความกลัวลงไปได้มาก และพากันหัวเราะอย่างมีความสุข
เมื่อเื่ราวทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ทุกคนจึงกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเช่นเดิม แต่ทว่ายังมีคนบางจำพวกที่อยากรู้ว่าบ้านตระกูลไป๋ทำเช่นไรจึงสามารถปลูกผักให้รสชาติดีปานนี้ออกมาได้ และยังอยากได้สูตรปุ๋ยที่ตกทอดมาจากท่านผู้เฒ่าไป๋ผู้ล่วงลับอีกด้วย แต่ทว่าพยามยามถามเท่าใดกลับไม่ได้คำตอบ จึงคิดวางแผนว่าจะต้องหาทางทำอันใดสักอย่าง ให้ค้นพบความลับนี้ของคนตระกูลไป๋ให้จงได้
เช้าวันต่อมาไป๋เยว่ซินพาไป๋เซียงมาที่ภัตตาคารตระกูลหม่าแต่เช้า นางนำวัตถุดิบต่างๆใส่รถเกวียนลาก ส่วนเครื่องปรุงที่เป็สูตรลับนั้นนางเอาใส่กล่องไม้ขนาดใหญ่และปิดฝาเอาไว้อย่างมิดชิด ตลอดทางชาวบ้านต่างมองพวกนางสองคนพี่น้องด้วยความสงสัย
เมื่อเถ้าแก่หม่าเห็นว่าพวกนางมาถึงแล้ว ก็รีบให้คนช่วยกันยกวัตถุดิบและเครื่องปรุงเข้าไปในโรงครัวทันที ไป๋เยว่ซินคลุกอยู่ที่ภัตตาคารตระกูลหม่าครึ่งค่อนวันเพื่อสอนแม่ครัวให้ปรุงอาหารตามสูตรอย่างอย่างที่นางสอน แม่ครัวค่อนข้างตื่นเต้นไม่น้อย อีกทั้งยังตั้งใจเรียนกับนางอย่างตั้งใจ ผ่านไปครึ่งวันก็เข้าใจทุกอย่างมากขึ้น
“แม่ครัวหลิง ท่านจะต้องใช้ไฟอ่อนๆในอาหารบางเมนู และใช้ส่วนผสมในปริมาณที่ข้าสอน ห้ามขาดห้ามเกิน ไม่อย่างนั้นอาจจะได้รสชาติที่ผิดแปลกไป”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ให้ผิดพลาดแน่นอน”
แม่ครัวหลิงยิ้มตาหยี ไป๋เยว่ซินยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนใบหน้าตน พลางมองดูไป๋เซียงที่กำลังช่วยเก็บกวาดภายในโรงครัวคราหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีอันใดให้ต้องทำแล้ว นางจึงเดินออกมาหาเถ้าแก่หม่าซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะบัญชี เถ้าแก่หม่ายิ้มให้นางอย่างเป็มิตรพลางกวักมือเรียก
"นังหนูไป๋ รีบมานั่งเร็ว มาดื่มชาก่อน"
ไป๋เยว่ซินพยักหน้าพร้อมกับทิ้งกายนั่งลงตรงข้ามกับเถ้าแก่หม่าก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม เวลาเพียงไม่นานนางและเถ้าแก่หม่าก็สนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเดิม นางชอบที่เขาเป็คนดีซื่อสัตย์ เขาก็ชอบที่นางเป็คนขยันคิดอ่านได้อย่างรอบรู้
"เถ้าแก่หม่า ท่านจะเปิดขายอาหารสูตรใหม่เมื่อใดเ้าคะ?"
ไป๋เยว่ซินจิบชาไปคำหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามเถ้าแก่หม่า เถ้าแก่หม่าละสายตาจากสมุดบัญชีตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยกับไป๋เยว่ซิน
"พรุ่งนี้ นังหนูไป๋เ้ามีข้อเสนอดีดีอันใดแนะนำข้าบ้างหรือไม่"
ไป๋เยว่ซินมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยตอบ
"มีเ้าค่ะ ข้าคิดว่าวันแรกที่เปิดขาย เราควรขายในราคาที่ยอมเยาว์เสียก่อน อาหารจานหลักก็ขายในราคาที่เหมาะสมที่ท่านเคยขาย แต่สลัดผัก พวกเราจะมอบให้ลูกค้าลองชิมโดยไม่คิดเงิน โดยมีเงิื่อนไขว่า ในเจ็ดวันแรกที่เมนูใหม่วางขาย หากลูกค้าคนใดสั่งอาหารสามอย่างขึ้นไปไม่ว่าจะกลับบ้านหรือนั่งทานที่ร้านก็จะได้สลัดผักจานนี้ไปลองชิม พร้อมกับชาลิ้นจี่สูตรพิเศษ หากพวกเขาชอบสามารถสั่งซื้อได้เพิ่ม หลังจากผ่านเจ็ดวันไปแล้ว พวกเราก็ขายในราคาปกติของภัตตาคารตามเดิม"
เถ้าแก่หม่ามีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง
"วิธีนี้ไม่เลว เช่นนั้นก็เอาตามที่เ้าว่า"
ไป๋เยว่ซินยิ้มให้เถ้าแก่หม่า ก่อนจะขอตัวกลับบ้านไปพร้อมกับไป๋เซียง
เช้าวันต่อมา ภัตตาคารตระกูลหม่าก็มีเสียงประทัดดังกึกก้อง มีเสี่ยวเอ้อร์ที่ออกมายืนตีฆ้องร้องป่าวประกาศว่าวันนี้ภัตตาคารตระกูลหม่ามีเมนูใหม่แสนเลิศรสให้ทุกท่านได้เข้ามาลองลิ้มชิมรส และในเจ็ดวันนี้หากลูกค้าท่านไหนสั่งอาหารสามอย่างขึ้นไป ไม่่ว่าจะสั่งกลับบ้านหรือนั่งกินที่ภััตตาคารตระกูลหม่า ก็จะได้สลัดผักเป็ของแถมให้ชิมโดยไม่คิดเงินสักอีแปะเดียว เหล่าคนมีเงินในอำเภอเซียงถงรวมไปถึงคนต่างถิ่นที่แวะเวียนเข้ามา เมื่อได้ยินชื่อเมนูประหลาดนี้ก็อยากเข้ามาลิ้มลอง ยามนี้ภัตตาคารตระกูลหม่าจึงมีลูกค้านั่งเต็มร้าน ทำให้บรรยากาศคึกคักเหลือเกิน
วันแรกได้กำไรไม่น้อย อีกทั้งยอดขายยังเป็ที่น่าพอใจมาก วัตถุดิบในภัตตาคารหมดเกลี้ยงทุกอย่าง เถ้าแก่หม่ายิ้มร่า อีกทั้งยังอารมณ์ดีมาก หลังจากที่ช่วยกันปิดร้านแล้ว เถ้าแก่หม่าก็มอบเงินส่วนที่เหลือให้กับไป๋เยว่ซิน
"นังหนูไป๋ นี่คือตั๋วเงินอีกหนึ่งพันตำลึงส่วนที่เหลือ ส่วนกำไรและส่วนแบ่ง ไว้รอสรุปบัญชีของเดือนนี้แล้ว จะรีบมอบให้เ้าอย่างแน่นอน"
ไป๋เยว่ซินเอ่ยขอบคุณพร้อมกับรับเงินนั้นมาเก็บเอาไว้ ไป๋เซียงที่เห็นเงินจำนวนไม่น้อยก็น้ำตาแทบจะไหล วันนี้ไม่เสียแรงเหนื่อยเปล่าแล้วจริงๆ
เมื่อช่วยเถ้าแก่หม่าจัดการเื่ที่ภัตตาคารเรียบร้อยแล้ว ไป๋เยว่ซินและไป๋เซียงก็ช่วยกันเก็บของใส่เกวียนลากกลับบ้าน ระหว่างทางนางแวะซื้อขนมหวานร้านตระกูลจางกลับมาที่บ้านหลายอย่าง ทำเอาคนในบ้านตื่นเต้นและดีใจเป็อย่างยิ่ง ถึงกับร้องอุทานออกมาว่าไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้กินขนมหวานร้านตระกูลจางกับเขาด้วย
เย็นวันนั้นทุกคนกินข้าวกันพร้อมหน้าอย่างอบอุ่น บรรยากาศของชีวิตในชนบทยามเย็น คล้ายจะหลอมรวมกลายเป็ส่วนหนึ่งของชีวิตไป๋เยว่ซินไปเสียแล้ว