หวังเจี้ยนหัวต้องตาต้องใจรุ่นพี่หญิงในคณะเดียวกันเข้าเสียแล้ว
รุ่นพี่คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอีกด้วย แต่เป็ถึงบุตรสาวของอาจารย์ท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัยอยู่ในครอบครัวปัญญาชนระดับสูง แค่สถานะของครอบครัวก็ทิ้งห่างตระกูลเซี่ยแห่งหมู่บ้านต้าเหอไปหลายขุมแล้วยิ่งไปกว่านั้นคือรุ่นพี่มีรูปลักษณ์ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ นิสัยจริงใจเปิดเผยคนประเภทนี้ชื่นชอบหวังเจี้ยนหัวเข้า ย่อมไม่เก็บงำอุบเงียบไว้กับตนเองอย่างแน่นอนต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าหวังเจี้ยนหัวมีแฟนสาวที่อยู่ในรั้วสถานศึกษาเดียวกันก็ตาม
ตอนนั้นเซี่ยจื่ออวี้กังวลเล็กน้อย ทว่าเธอมีนิสัยสงบเสงี่ยมบังคับตัวเองให้อดทนไม่ซักไซ้หวังเจี้ยนหัว
ข่าวลือไร้ที่มาเผยแพร่ได้สองวัน หวังเจี้ยนหัวก็เริ่มอธิบายด้วยตนเอง “ฉันอธิบายกับรุ่นพี่หลิ่วไปอย่างชัดเจนว่าฉันมีคนรักแล้ว ทำได้เพียงขอบคุณในความรู้สึกดีของรุ่นพี่หลิ่วเท่านั้น”
“รุ่นพี่จะยอมตัดใจง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ?”
สุดท้ายเซี่ยจื่ออวี้ก็อดตัดพ้อจนไม่ได้ หวังเจี้ยนหัวจับมือเธอขึ้นมา เมื่อเห็นแผลผื่นหนาวบนนิ้วมือก็รู้สึกสงสารเธอยิ่งนัก
“ตัดใจหรือไม่นั้นเป็เื่ของเขา ฉันบอกแล้วว่ากำลังจะพาเธอไปพบพ่อกับแม่...จื่ออวี้ ตอนนี้ครอบครัวของฉันตกอยู่ใน่เวลาที่ยากลำบากเหลือเกินฉันเองก็รับประกันไม่ได้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะหลุดพ้นจากสภาพนี้แต่ฉันจะพยายามเพื่อให้เธอมีชีวิตที่ดีแน่นอน”
คำมั่นสัญญานี้คลายกังวลให้แก่เซี่ยจื่ออวี้ไปจนสิ้น
เซี่ยจื่ออวี้รู้ดีที่สุดว่าวังเจี้ยนหัวเป็คนอย่างไรหากเขามีเจตจำนงจะพาเซี่ยจื่ออวี้ไปพบบิดามารดา แสดงว่าการวิวาห์ของทั้งสองได้เป็รูปเป็ร่างแล้ว
ผลลัพธ์เช่นนี้มอบกำลังใจอันยิ่งใหญ่แด่เซี่ยจื่ออวี้ปณิธาณที่เธอยืนหยัดนั้นถูกต้อง ขอเพียงยินดีลงทุนก็ย่อมมีผลตอบแทนเงินทองขี้ประติ๋วจะเป็ปัญหาอะไรซักเสื้อผ้าสองตัวด้วยน้ำเย็นในฤดูหนาวทำให้แข็งตายได้เชียวหรือ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการช่วยห่ออาหารจากโรงอาหารหรือเื่เล็กอย่างประหยัดเงินไว้ซื้อเนื้อหมูน้ำแดงให้หวังเจี้ยนหัวความใส่ใจสั่งสมเข้าด้วยกันทีละเล็กทีละน้อยเปลี่ยนแปลงทัศนคติของหวังเจี้ยนหัวที่มีต่อเธอได้เป็อย่างดี
เซี่ยจื่ออวี้ซักเสื้อผ้าตากแดดเรียบร้อย ตอนนำไปให้หวังเจี้ยนหัวก็เกริ่นถึงความตั้งใจของตน
“เจี้ยนหัว ฉันตั้งใจว่าปิดภาคเรียนจะกลับบ้านสักครั้ง เอาไว้ค่อยไปเยี่ยมคุณลุงคุณป้าที่ไร่นะ”
หวังเจี้ยนหัวพยักหน้า “ควรเป็อย่างนั้นอยู่แล้วเธอออกมาเรียนหนังสือตั้งหลายเดือน ต้องกลับไปเยี่ยมครอบครัวบ้าง เธอคงเหลือเงินไม่มากเท่าไรสินะฉันเก็บเงินอุดหนุนของหลายเดือนมานี้ไว้บ้าง จะได้ซื้อตั๋วรถให้เธอ”
เงินทองของเซี่ยจื่ออวี้สงเคราะห์ให้เขาหมด หวังเจี้ยนหัวรู้อยู่แก่ใจ
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเขามีเซี่ยจื่ออวี้เป็ผู้รับผิดชอบ จึงทำให้สามารถเก็บสะสมเงินอุดหนุนซึ่งมหาวิทยาลัยมอบให้เขาได้การนำเงินส่วนนี้ไปใช้กับเซี่ยจื่ออวี้จึงเป็สิ่งสมควร
เซี่ยจื่ออวี้ไม่ได้ปฏิเสธ ดวงหน้าเธอแสดงความลำบากใจอยู่บ้างพอหวังเจี้ยนหัวซักถามเธอจึงตอบอย่างตะกุกตะกัก
“ที่บ้านส่งจดหมายให้ฉัน เล่าว่าหลังจากพวกเราสองคนมาที่นี่เสี่ยวหลานก็ก่อเื่ในบ้านเสียใหญ่โต... ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นลุงรองและอาสะใภ้รองถึงได้หย่ากัน อาสะใภ้รองพาเสี่ยวหลานกลับบ้านแม่ฉันกังวลว่าเสี่ยวหลานยังคงไม่ปล่อยวาง”
นี่คือครั้งแรกที่เซี่ยจื่ออวี้พูดถึง ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ อย่างผ่าเผย
เมื่อได้ยินชื่อนี้กะทันหัน หวังเจี้ยนหัวรู้สึกฟุ้งซ่านเล็กน้อยในหัวได้ปรากฏใบหน้าพริ้มเพรายั่วเย้าขึ้นอีกครั้ง
เซี่ยเสี่ยวหลานมีรูปลักษณ์สวยสดงดงามความงามที่หวังเจี้ยนหัวเกิดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยพบเจอราวกับส่องแสงสว่างแก่ชีวิตชนบทอันแสนมืดมัวทำให้หวังเจี้ยนหัวมีความหวังใน่เวลาตกต่ำที่สุดของชีวิต—ทว่าเป็ความจริงที่ ‘ความสวย’ ไม่มีประโยชน์อะไร มันแก้ไขปัญหาปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตไม่ได้และไม่มีทางนำความช่วยเหลืออื่นมาให้เขาด้วย
เสน่หาหรือไม่เสน่หา ไม่สำคัญเท่าการดำรงชีวิตอยู่
เซี่ยเสี่ยวหลานจิตใจอารีไม่สู้จื่ออวี้การคบหากับจื่ออวี้ขจัดความพะวงของเขาจนหมดสิ้น
บุรุษ้าเพียงยอดภรรยาสักคน โดยเฉพาะสตรียอดเยี่ยมเท่าเทียมกันที่ยินดีจะเป็ยอดภรรยาของเขาความอิ่มเอมใจนั้นช่างเกินบรรยาย หวังเจี้ยนหัวข่มอาการใจสั่นจากความกระวนกระวายไว้
“ฉันพูดกับเขาชัดเจนแล้ว ไม่ปล่อยวางก็ช่วยไม่ได้ เธอหัวรั้นเสียจริงๆ”
ครั้งนั้นที่เขาเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานกับนักเลงยื้อยุดฉุดกระชากกันก็โกรธเคืองไม่น้อยเลยกล่าววาจาไม่น่าฟังออกไป ต่อมาพอจิตใจสงบลงและลองไตร่ตรองดูอีกทีเซี่ยเสี่ยวหลานคงไม่ถึงขั้นถูกใจคนอย่างจางเสเพล...แต่วาจาระคายหูได้โพล่งออกไปแล้ว หวังเจี้ยนหัวจึงคิดว่าเมื่อผิดพลาดแล้วก็ควรปล่อยมันไปเสียตัดขาดความคะนึงหาต่อเซี่ยเสี่ยวหลานไปอย่างสิ้นเชิง
เซี่ยเสี่ยวหลานชอบเขาเป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ เมื่อเขาตัดสินใจคบกับจื่ออวี้เขาจึงเป็ได้เพียง ‘พี่เขย’ ของเธอเท่านั้น
พอได้ยินว่าบิดามารดาของเซี่ยเสี่ยวหลานหย่าร้างแยกทางกันหวังเจี้ยนหัวไม่สบายใจทีเดียว ทว่าไม่อาจแสดงออกต่อหน้าเซี่ยจื่ออวี้ได้
“เื่พวกนี้เธอจัดการเถอะ ฉันไม่ควรก้าวก่ายธุระในครอบครัวของเธอแต่ฉันกลับอวี้หนานเป็เพื่อนเธอได้นะ จากนั้นพวกเราค่อยไปไร่ด้วยกัน”
เซี่ยจื่ออวี้หลุบตาลง ที่แท้ยังลืมเลือนไม่หมดสิ้น?
เธอทุ่มเทมากมายถึงขนาดนี้ ยังไม่สามารถคว้าหัวใจของชายตรงหน้าได้อีกหรือเซี่ยเสี่ยวหลานนอกจากมีหน้าตาที่สะสวยแล้ว ก็เป็หญิงหัวทึบไร้ประโยชน์ แต่ที่ไหนได้ผู้ชายส่วนมากบนโลกนี้ดันมองแค่ภายนอก
ในสมองของเซี่ยจื่ออวี้มีความคิดมากมายผุดออกมา ทว่าพอเอ่ยปากกลับเจือไปด้วยความสำนึกผิด “เื่ของเราสองคน สุดท้ายแล้ว... ไม่ถูกต้องต่อเสี่ยวหลานฉันหวั่นใจเพราะเธอมีความคิดสุดโต่ง จะเดินทางผิดพลาดได้”
“จื่ออวี้ นั่นคือความผิดของฉัน เธอมีความผิดอะไรกัน?”
หวังเจี้ยนหัวกอบกุมมือที่เป็ผื่นหนาวข้างนั้นไว้แน่น “แม้กระทั่งตอนนี้ ฉันก็ไม่คิดว่านั่นเป็ความผิดพลาดจังหวะในการเริ่มต้นโชคชะตาของพวกเราอาจไม่ค่อยเหมาะสมแต่เธอห้ามพูดว่ามันคือความผิดพลาด!”
ดวงหน้าเซี่ยจื่ออวี้ขึ้นสีแดงจางๆ
‘โชคชะตา’ ที่หวังเจี้ยนหัวกล่าวทำให้เธอนึกถึงเื่ราวในคืนนั้น
นักเรียนเตรียมสอบสองคนที่เมื่อก่อนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันน้อยครั้งผลัดกันตรวจคำตอบหลังการสอบย่อย ยิ่งตรวจไปตรวจมาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองสอบได้ไม่เลวการยืมเอกสารทบทวนบทเรียนคือพรหมลิขิตของทั้งสองคน ความ้าสมัครเรียนมหาวิทยาลัยในปักกิ่งคืออุดมการณ์ร่วมกันของทั้งสองคนแสงจันทร์นวลผ่องและไป๋กัน [1] หนึ่งขวดคือสื่อรักของทั้งสองคน...หวังเจี้ยนหัวพูดถูกนี่คือลิขิตรักที่์กำหนดแล้ว
หวังเจี้ยนหัวต้องเป็ของเธอเท่านั้น!
----------------------------------------
เสื้อนอกชาย 20 ตัวยังไม่เพียงพอให้องค์การรถไฟได้จับจ่ายจนหนำใจ
ยุคนี้ผู้คนไม่กลัวการแต่งตัวชนกันเสียด้วยเสื้อผ้าที่ออกแบบสวยงามคือความทันสมัย ใครสวมใส่ได้ก็แสดงถึงความสามารถของตน
หลี่เฟิ่งเหมยฉายเดี่ยวตั้งแผงมาสองวันแล้ว ธุรกิจมีการพัฒนาหลงเหลือสินค้าเพียงไม่กี่ชิ้น เซี่ยเสี่ยวหลานจึงวานให้หลี่เฟิ่งเหมยนำออกไปขายทั้งหมดส่วนตัวเธอก็ได้พกเงินก้าวขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปหยางเฉิง
เธอจดว่าจะซื้อโคมระย้าแก้วกลับไปครั้งนี้เซี่ยเสี่ยวหลานนำเงินติดตัวมาไม่น้อย
ทุกวันนี้ยังไม่มีการทำธุรกรรมสำหรับฝากเงินต่างถิ่น เงินสดก้อนโตหากไม่ ‘โอนผ่านโทรเลข’ ก็ต้องเอาติดตัวไปไหนมาไหนด้วย
ครั้งแรกที่เซี่ยเสี่ยวหลานไปหยางเฉิง เธอพกเงินติดตัวยังไม่ถึงหนึ่งพันหยวนแต่ตอนนี้กลับขึ้นหลักหมื่นแล้ว... ธนบัตรมูลค่าสูงสุดคือ 10 หยวน หนึ่งหมื่นหยวนก็มีปริมาณธนบัตรเท่ากับหนึ่งแสนหยวนของอนาคต โชคดีที่ในฤดูหนาวต้องแต่งกายแ่าจึงสามารถเก็บเงินไว้ใต้เสื้อผ้าได้ ถ้าเป็ฤดูร้อนจะพกอย่างไรล่ะนี่?
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่านี่คือปัญหาอย่างหนึ่ง
ตัวเธอเองดึงดูดความสนใจของผู้คนมากพออยู่แล้ว จากบ้านมายังที่ห่างไกลยิ่งไม่กล้าทำตัวโดดเด่นทุกรอบที่เดินทางคนเดียวจึงสวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ เนื่องจากเกรงกลัวพวกค้ามนุษย์จะมาเล็งตักตวงผลประโยชน์จากทั้งเงินทองและความงามเธอคลำๆ เครื่องช็อตไฟฟ้าที่โจวเฉิงมอบให้ ของสิ่งนี้นำความรู้สึกปลอดภัยมาสู่เธอ
บนรถไฟไม่อาจหลับสนิทได้เช่นกัน พอเซี่ยเสี่ยวหลานออกจากสถานีด้วยความมึนงงก็มีคนเข้ามาล้อมเธอในทันที ถามไถ่ว่า้านั่งรถหรือไม่
สถานีรถไฟหยางเฉิงในปี 83 มีรถสามล้อถีบและรถจักรยานยนต์แล้วอยู่ที่นี่เธอััได้ถึงความเปลี่ยนแปลงจากการปฏิรูปเศรษฐกิจชัดเจนกว่าคนทั้งเมืองราวกับล้วนมีสำนึกแห่งการหาเงิน—เซี่ยเสี่ยวหลานขมวดคิ้วเธอปฏิเสธชัดว่าไม่้าเรียกรถ ทว่าคนจำนวนมากมายล้อมกายเธอพลางแย่งกันพูดเสียฟังไม่ได้ศัพท์เธอกำเครื่องช็อตไฟฟ้าในมือไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว
“เสี่ยวหลาน!”
ไป๋เจินจูกระชากชายคนหนึ่งออก ดึงเซี่ยเสี่ยวหลานเข้ามาอยู่ข้างกายตนเอง
เซี่ยเสี่ยวหลานตกตะลึง “พี่ไป๋ พี่กลับมาแล้ว?”
ก่อนขึ้นรถไฟ เธอลองส่งโทรเลขให้ไป๋เจินจูหนึ่งฉบับ คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกลับมาจากเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงแล้วจริงๆแถมวันนี้ยังมารับที่สถานีอีกด้วย สำเนียงถิ่นหยางเฉิงของไป๋เจินจูทำให้คนพวกนั้นหวาดหวั่นครั่นคร้ามมีคนแอบก่นด่าเบาๆ บ้างก็ด่าไป๋เจินจูว่าอย่ายุ่งเื่คนอื่นให้มันมากนัก
ไป๋เจินจูไม่พูดพร่ำทำเพลง ตบรางวัลให้อีกฝ่ายด้วยการจับทุ่ม
ชายคนนั้นล้มลงกับพื้น ร้องโอดโอยอยู่นานสองนานยังลุกขึ้นมาไม่ได้พรรคพวกกลุ่มเดียวกับเขาจึงโวยวายว่าไป๋เจินจูทำร้ายคนจนาเ็ ต้องชดใช้ด้วยเงิน
ไป๋เจินจูเบะปาก “ชดใช้ฝาโลงให้เอาไหมเล่า?”
เซี่ยเสี่ยวหลานถึงกับคิดว่าปากคอเราะร้ายเสียจริง แต่ถ้าไป๋เจินจูไม่แข็งแกร่งคนพวกนี้ต้องรังแกพวกเธอซึ่งเป็สตรีแน่เซี่ยเสี่ยวหลานทึ่งในฝีมือของไป๋เจินจูยิ่งนักศิลปะการต่อสู้ที่สืบทอดจากครอบครัวนั้นสุดยอดจริงๆ ท่าจับไหล่ทุ่มเมื่อครู่นั้นสวยงามเกินไปแล้ว
เธอกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับเื่วันนี้ฝูงชนที่มุงดูความคึกคักถูกแหวกออก ในที่สุดก็มีคนเข้ามาผดุงความยุติธรรม
“เฉาลิ่วจื่อ พวกนายรีดไถคนอีกแล้วหรือ?”
เชิงอรรถ
[1]白干 ไป๋กัน คือ เหล้าขาว
