ลู่เสี่ยวหมี่ทั้งขบขัน ทั้งรู้สึกปลง จากนั้นนางก็มุ่งหน้าไปที่โรงครัวทันทีเพื่อเตรียมอาหารเที่ยง
ก่อนหน้านี้เพราะเฝิงเจี่ยนมารักษาอาการาเ็อยู่นาน นางจึงคุ้นชินกับการเตรียมกับข้าวให้ผู้ป่วย เด็กเลี้ยงม้าคนนั้นจึงได้กินโจ๊กหมูสับ
เหมือนเขาจะได้กลิ่นอาหาร ถึงแม้แผ่นหลังจะยังมีาแอยู่ เด็กเลี้ยงม้าก็ยังคงอ้าปากขึ้นมากลืนมันลงไปอยู่ดี
เสี่ยวหมี่เก็บช้อนและชามข้าว เห็นเด็กเลี้ยงม้าราวกับสัตว์ป่าตัวน้อยที่กำลังตื่นใ เขาพยายามขดตัวแอบอยู่ที่มุมหนึ่ง ท่าทางระแวดระวังเต็มที่ นางจึงอดคิดไปถึงเด็กกำพร้าที่ถูกบิดามารดาทอดทิ้งในชาติก่อนไม่ได้ จึงปวดใจตามเขาไปด้วย นางยื่นมือออกไปแกะเปียบนศีรษะเขาออก และช่วยสางผมให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะรวบผมให้ใหม่อย่างเรียบร้อย
จากนั้นก็ปลอบโยนเบาๆ “อย่ากลัวไปเลย ข้าซื้อตัวเ้ามาแล้ว วันหน้าก็มาทำงานอยู่ในบ้านข้าเถอะ ขอแค่เ้าไม่สร้างปัญหาก็จะไม่มีใครตีเ้า เ้าจะได้กินอิ่มนอนอุ่น อีกไม่นานเ้าก็จะค่อยๆ ดีขึ้น”
คล้ายว่าเด็กคนนี้จะไม่เข้าใจภาษาของคนต้าหยวน สีหน้าเขาดูใเล็กน้อย จ้องหวีในมือของเสี่ยวหมี่อย่างเอาเป็เอาตาย
เสี่ยวหมี่เห็นแล้วก็แปลกใจ ขบคิดเล็กน้อยจากนั้นก็วางหวีไม้เอาไว้ข้างหมอนของเด็กเลี้ยงม้าแล้วจึงยกชามข้าวออกไป
ในห้องเงียบลง เด็กเลี้ยงม้าค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกายที่เครียดเกร็งลง เป็นานกว่าเขาจะค่อยๆ ยื่นมือออกมา จับหวีไม้นั่นใส่เข้าไปในอกเสื้อ...
เรือนพักฝั่งตะวันออกของสกุลลู่แบ่งออกเป็ปีกทิศเหนือและทิศใต้ ปีกทิศใต้มีเฝิงเจี่ยนนายบ่าวพักอาศัยอยู่ ยามนี้ปีกทิศเหนือจึงเป็ห้องพักรักษาตัวของเด็กเลี้ยงม้า เสี่ยวหมี่กลัวว่าเด็กมุทะลุอย่างเกาเหรินจะรังแกเด็กเลี้ยงม้า จึงคิดจะเรียกเขามากำชับสักสองสามประโยค แต่จะตามหาอย่างไรก็หาคนไม่พบ สุดท้ายเป็ผู้เฒ่าหยางที่ยิ้มน้อยๆ เดินเข้ามาหาพลางเฉลยว่า “คุณชายส่งเขาไปทำงานให้น่ะขอรับ”
เสี่ยวหมี่สงสัยว่าเฝิงเจี่ยนมีเื่อะไรให้จัดการกัน แต่ความสงสัยนี้กลับวนเวียนอยู่ในใจไม่ได้พูดออกมา
ตอนนี้เองเฝิงเจี่ยนก็เดินกลับเข้ามาในเรือนโดยที่สองมือเปื้อนโคลน ชัดเจนว่าเพิ่งไปที่สวนมา
เสี่ยวหมี่เดินไปที่ข้างบ่อน้ำ ช่วยตักน้ำให้พลางทักทายว่า “พี่ใหญ่เฝิง รีบมาล้างมือก่อนเ้าค่ะ”
เฝิงเจี่ยนยิ้มน้อยๆ แล้วยื่นมือออกไป เสี่ยวหมี่ช่วยเขาพับแขนเสื้อขึ้น คนทั้งสองเข้ากันได้เป็อย่างดี ดูสนิทสนมกันอย่างเป็ธรรมชาติ ผู้เฒ่าหยางเห็นแล้วยิ้มกว้างตาหยี พลางเงยหน้าขึ้นฟ้าพ่นควันยาสูบออกมา
“เสี่ยวหมี่ ก่อนหน้านี้เ้าบอกว่าภาคเหนือก็ปลูกข้าวได้ สภาพอากาศในยามนี้ยังทันอยู่หรือไม่?”
เฝิงเจี่ยนล้างมืออย่างพิถีพิถันอยู่สองสามรอบ สายตาของเขาดูจริงจังต่างจากยามปกติที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูและเอาอกเอาใจ
เสี่ยวหมี่เทน้ำสกปรกไปทางรางระบายน้ำที่มุมเรือน เดินไปพลางพูดไปพลางว่า “ก็ยังทันอยู่ เพียงแต่การปลูกข้าวจำเป็ต้องทำใกล้แหล่งน้ำ แต่บ้านเรากลับไม่มีทำเลดีๆ เช่นนั้น”
เฝิงเจี่ยนได้ยินแล้วกลับไม่ยอมแพ้ ถามว่า “หากลองปลูกดูสักครึ่งหมู่ แล้วลงแรงกับการชลประทานสักหน่อยเล่า เ้าคิดว่าอย่างไร?”
เสี่ยวหมี่ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็พยักหน้า “ก็ได้ แค่ต้องลำบากสักหน่อยเท่านั้น”
“วันพรุ่งนี้ข้าจะลองปลูกข้าวกับเ้า”
เฝิงเจี่ยนพูดเบาๆ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความแน่วแน่ไม่ยอมให้คัดค้าน เสี่ยวหมี่ยักไหล่ ตอบรับว่า “ข้าจะให้พี่รองเริ่มปรับสภาพดินข้างๆ สวนผักก่อน แต่เกรงว่าในเมืองก็คงไม่มีต้นกล้าขายหรอก”
“เื่เมล็ดข้าวข้าจะหาทางเอง”
“ได้”
ง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยค คนทั้งสองก็ตกลงเื่ที่จะสั่นะเืแผ่นดินต้าหยวนกันเสร็จสิ้นอย่างง่ายดาย
เสี่ยวหมี่ไม่ได้ถามว่าเหตุใดเฝิงเจี่ยนถึงได้ร้อนใจและดื้อดึงเื่การปลูกข้าวมากขนาดนี้ เฝิงเจี่ยนเองก็ไม่พูด แต่นางรู้ว่าคนที่ปกป้องนางก่อนเสมออย่างเขาไม่มีทางทำร้ายนางแน่นอน
แน่นอนถึงแม้จุดจบอาจจะทำให้นางต้องทุกข์ทนและเ็ป สิ่งที่นางสูญเสียก็คงมีเพียงแค่วิธีการปลูกข้าวเท่านั้น แต่สิ่งที่นางจะได้ก็คือการได้เห็นธาตุแท้ของคนผู้หนึ่งอย่างชัดเจน ก็นับว่าได้กำไรแล้วกระมัง?
เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง อากาศอบอุ่นขึ้นจนทำให้โลกเปลี่ยนเป็อีกภาพหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
ต้นหญ้าเติบโตอย่างบ้าคลั่ง นกกาโบยบินอย่างคึกคัก ทั้งกกไข่ออกลูกออกหลานมาโบยบิน
ที่ข้างสวนผักของสกุลลู่ถูกถางเปิดเป็ที่นาขนาดเล็ก ดินบริเวณนั้นถูกพรวนจนร่วนซุย คนในหมู่บ้านรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก ครั้นเห็นเฝิงเจี่ยนพับขากางเกงะโลงไปในนาที่มีน้ำท่วมขัง ก็พากันเบิกตาโตอย่างใ เพียงไม่ถึงครึ่งวันคนทั้งหมู่บ้านก็มาชมดูความแปลกใหม่
มีบางคนสงสัยมากจนอยากจะเอ่ยปากถาม แต่หลังจากได้เห็นฝีมือการจัดการเจาตี้เอ๋อร์ของเฝิงเจี่ยนก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ถึงแม้หลังจากนั้นเขาจะปฏิบัติกับทุกคนอย่างมีมารยาทเช่นเดิม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทุกคนก็ยังแสดงท่าทีเคารพนอบน้อมอยู่มาก พวกเขาจึงไม่กล้าเข้าไปวุ่นวายว่าดินโคลนชุ่มน้ำพวกนี้เอาไว้ทำอะไรกับเฝิงเจี่ยนมากนัก
ส่วนเสี่ยวหมี่กำลังยุ่งอยู่กับการแช่เมล็ดข้าว เพาะให้ใบข้าวเรียวเล็กงอกออกมา จึงยิ่งไม่มีใครหาตัวพบ
กระทั่งผ่านไปครึ่งเดือน เมล็ดข้าวที่มีใบเรียวเล็กงอกขึ้นมาเพียงหนึ่งถึงสองใบก็ถูกเพาะจนโตขึ้นมาราวกับพุ่มหญ้าเล็กๆ แล้วถูกลำเลียงส่งไปยังผืนนาขนาดเล็ก คนในหมู่บ้านถึงได้รู้ว่าพวกเขากำลังจะปลูกข้าว
อันโจวตั้งอยู่ทางภาคเหนือของแคว้นต้าหยวน คนยากจนบางคนทั้งชีวิตนี้อาจไม่มีโอกาสได้เห็นเมล็ดข้าวสักครั้งด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้เห็นวิธีปลูกข้าวเลย
ถึงแม้คนในหมู่บ้านจะชินกับความแปลกใหม่ของเสี่ยวหมี่กันแล้ว แต่นี่มันก็แปลกใหม่เกินไป
เมื่อนายท่านเฝิงได้ยินข่าวก็เดินทางมาดูด้วยตนเอง นายท่านเฝิงนั่งยองๆ ลงข้างที่นา ทางหนึ่งพ่นควันยาสูบ ทางหนึ่งลูบเบาๆ ไปบนต้นกล้าที่เพิ่งถูกปักลงไปในนา
สามชุ่นหนึ่งช่อ ทุกๆ หกชุ่นจะมีคันดินคั่น ต้นกล้าที่ถูกปลูกอย่างเป็ระเบียบราวกับกองทหารราบ กำลังซึมซับและมึนเมาไปกับความสดชื่นแห่งฤดูใบไม้ผลิ เผชิญหน้ากับโลกใหม่อย่างระมัดระวัง พวกมันค่อยๆ กางแขนออก สูดดมอากาศท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น เพื่อซึมซับพลังชีวิตอันเต็มเปี่ยม...
นายท่านเฝิงสีหน้าหนักอึ้ง จากนั้นก็พ่นควันยาสูบยาวๆ ออกมา แล้วจึงกล่าวกับคนในหมู่บ้านอย่างเคร่งขรึม “ฟังข้าให้ดี ก่อนจะถึงฤดูใบไม้ร่วง ห้ามคนนอกเข้ามาในหมู่บ้านแม้แต่คนเดียว โดยเฉพาะผืนนาน้อยๆ แห่งนี้ ไล่เด็กๆ ให้ออกไปห่างๆ บริเวณนี้ หากใครกล้าแตะมันแม้เพียงปลายเล็บก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย ขับไล่ออกจากหมู่บ้าน”
ทุกคนเพียงแค่มารวมตัวกันด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่านายท่านเฝิงจะเคร่งเครียดถึงเพียงนี้ ถึงแม้จะประหลาดใจ แต่ก็พากันตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
“นายท่านเฝิงวางใจเถิด ทุกคนเข้าใจดี”
“ใช่แล้ว ในเมื่อท่านกำชับมา เราย่อมไม่ไปปากสว่างที่ไหนแน่นอน ใครจะรู้ว่าเสี่ยวหมี่จะทำของดีอะไรออกมาอีก หากคนนอกรู้เข้า ไม่แน่อาจจะมาแย่งชิงก็เป็ได้”
เฝิงเจี่ยนย่ำอยู่กับโคลนในนา เนื่องจากโค้งเอวปักกล้าอยู่นาน ครั้นเงยหน้าขึ้นมาดวงหน้าจึงแดงก่ำและมีเหงื่อไหลลงมาตามกรอบหน้า เสื้อผ้าเปียกชุ่ม แลดูน่าอนาถเป็อย่างมาก แต่เขากลับไม่ยอมหยุดงานในมือ สีหน้าถึงกับเต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย
เสี่ยวหมี่ยืนอยู่ที่คันดินด้านข้าง เดิมทีนางคิดจะลงไปช่วย คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันถอดรองเท้า ก็ถูกทุกคนะโหยุดเอาไว้ แม่นางคนหนึ่งจะเปลือยเท้าต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ได้อย่างไร อีกอย่างไร่นายังเป็ดินโคลนสกปรกอีก...
เสี่ยวหมี่ยอมแพ้ แต่ยังคิดอยากจะลองใช้วิธีโยนต้นกล้าดู ทว่าผู้เฒ่าหยางจะอย่างไรก็ไม่ยอม เขายืนยันให้ปักกล้าแต่ละช่ออย่างระมัดระวัง จะอย่างไรก็ไม่ยอมให้เสี่ยวหมี่ทำลายเมล็ดพันธุ์ชั้นดีโดยเด็ดขาด
เสี่ยวหมี่อยากจะบอกว่าในยุคปัจจุบันมีวิธีปลูกข้าวที่เรียกว่านาโยนกล้าอยู่ แต่นางก็เพียงแค่เคยได้ยินมาเท่านั้น หากจะให้โต้เถียงกันขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่สามารถเกลี้ยกล่อมผู้เฒ่าหยางได้แน่ จึงทำได้เพียงยกธงยอมแพ้
ครั้นเห็นว่าพระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นบนฟากฟ้า เสี่ยวหมี่จึงตัดสินใจยืนขึ้นเตรียมกลับไปชงน้ำชามาให้ทุกคน ทว่า เด็กเลี้ยงม้าคนนั้นเวลานี้ได้ถือกาน้ำชามาทางนี้แล้ว
เด็กน้อยคนนี้พักรักษาตัวอยู่ครึ่งเดือน บางทีอาจเพราะมองออกว่าคนสกุลลู่เป็คนดี จึงปลดเกราะป้องกันตนเองลง ยกยาไปให้ก็ดื่มจนหมด ยกข้าวไปให้ก็กินจนเกลี้ยง คนในทุ่งหญ้าเดิมก็เติบโตได้ง่ายแม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทุรกันดารเพียงใด ยามนี้ยิ่งได้รับการดูแลเป็อย่างดี ถึงแม้แผลที่หลังเพิ่งจะตกสะเก็ดแต่ก็สามารถลงจากเตียงได้แล้ว
เสี่ยวหมี่ไปหาเสื้อเก่าๆ ของพี่รองลู่ แล้วรบกวนให้ท่านป้าหลิวแก้ให้ ใช้เป็เสื้อเปลี่ยนให้เขา สอนให้เขาช่วยทำงานบ้าน คล้ายว่าวิถีชีวิตในท้องทุ่งหญ้าจะต่างกับที่ราบ แรกเริ่มเด็กเลี้ยงม้ายังดูโง่งมเงอะงะ แต่เพียงไม่นานก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เสี่ยวหมี่ชมเปาะว่าเขาฉลาด
ม้าทั้งหกตัวของสกุลลู่ได้รับการดูแลอย่างดีจากเขา คอกม้าถูกทำความสะอาดอย่างดี เรียกได้ว่าขยันขันแข็งกว่าพี่รองลู่ที่พึ่งพาไม่ได้และเกาเหรินจะกละมาก
สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือเด็กคนนี้ฟังภาษาต้าหยวนไม่เข้าใจ ทำให้ทุกครั้งเวลาเสี่ยวหมี่สนทนากับเขา นางต้องชี้มือชี้ไม้ประกอบ มองมาจากที่ไกลๆ ก็ราวกับว่าคนทั้งสองกำลังทะเลาะกันก็ไม่ปาน
แต่ดีที่พออยู่ด้วยกันนานเข้า ก็เริ่มเข้ากันได้อย่างเป็ธรรมชาติ
เสี่ยวหมี่รับกาน้ำชามา นางยกนิ้วโป้งให้เด็กเลี้ยงม้า แต่เมื่อเปิดฝากาน้ำออกดูนางก็หัวเราะออกมา
น้ำเต็มกากลับใส่ใบชามาแค่ไม่กี่ใบ...
ใบชาในทุ่งหญ้าจะต้องล้ำค่าเพียงใดกัน ทำให้ถึงแม้นางจะบอกไปหลายครั้ง เด็กเลี้ยงม้าก็ยังไม่ยอมใส่ใบชาเพิ่มลงในน้ำเสียที
น่าเสียดาย คำชมที่นางเอ่ยออกไปไม่อาจเอากลับคืนมาได้ นางทำได้แค่เคาะหน้าผากเด็กน้อยที่ยิ้มโง่งมไปเบาๆ
เด็กเลี้ยงม้ายิ้มยิงฟัน ท่าทางดูจะโอ้อวดอยู่ในที
เกาเหรินไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน เขาตีหลังศีรษะของเด็กเลี้ยงม้าอย่างแรง จากนั้นะโว่า “เ้าเด็กเลี้ยงม้า วิ่งหนีมาแกล้งทำตัวโง่งมอยู่ที่นี่อีกแล้วหรือ หึ หากเ้ากล้าแย่งขนมข้าอีก ข้าจะซัดเ้าให้ร่วง”
เด็กเลี้ยงม้าถูกตีจนเจ็บ จึงเตรียมจะวิ่งไล่เกาเหรินทันที เกาเหรินมีวรยุทธ์จึงหยอกล้อเขาราวกับแมวหยอกหนู วิ่งๆ หยุดๆ ให้เขาไล่ตาม แต่จะอย่างไรเด็กเลี้ยงมาก็ไล่ตามไม่ทัน เขาถึงขั้นหักต้นไม้ต้นเล็กข้างตัวแล้วโยนตอไม้ไปทางเกาเหริน
ชาวบ้านที่เห็นต่างพากันตกตะลึง “เด็กเลี้ยงม้าคนนี้พละกำลังมหาศาลจริงๆ”
“นั่นสิ คนในทุ่งหญ้ากินอาหารคนละแบบกับเรา ได้ยินว่าของที่พวกเขาบริโภคล้วนส่งเสริมเพิ่มกำลังวังชา”
เสี่ยวหมี่เองก็มองอย่างอึ้งๆ เป็นานกว่าจะคิดได้ว่าต้องเข้าไปห้ามคนทั้งสอง
เกาเหรินอยู่ที่บ้านสกุลลู่มานาน นิสัยจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอยู่บ้างไม่ดุร้ายเท่าเมื่อก่อน ไม่เช่นนั้นฝ่ามือเมื่อครู่คงจะเอาชีวิตเด็กเลี้ยงม้าไปแล้ว จะปล่อยให้เขามีโอกาสหักต้นไม้มาโจมตีตนเองได้อย่างไร
“เกาเหริน ซูอี เลิกเล่นได้แล้ว มานี่หน่อย”
ซูอีเป็ชื่อที่เสี่ยวหมี่ตั้งให้เด็กเลี้ยงม้าคนนั้น เนื่องจากไม่เข้าใจภาษาของกันและกัน นางจึงไม่รู้ว่าเด็กเลี้ยงม้าคนนี้มีชื่อจริงว่าอะไร จึงเลือกเอาวันที่เขาเข้ามาอยู่ในบ้านสกุลลู่วันแรกให้เป็ชื่อของเขา หรือก็คือวันที่หนึ่ง (ซูอี) ฟังดูไพเราะดี ทั้งยังจำง่ายด้วย
แรกเริ่มเด็กเลี้ยงม้าไม่เข้าใจ แต่เมื่อถูกเสี่ยวหมี่เรียกบ่อยเข้า เขาก็รู้แล้วว่าซูอีคือชื่อของเขา
ยามนี้ได้ยินเสี่ยวหมี่เรียก เขาก็รีบวิ่งมาหาทันที
เกาเหรินเบะปาก เดินตามไปอย่างเกียจคร้านเช่นกัน
เสี่ยวหมี่เริ่มเอ่ยวาจาหลอกล่อ “เกาเหริน เมื่อซูอีเข้ามาอยู่ที่บ้านเราแล้ว เขาก็นับว่าเป็สมาชิกคนหนึ่งของบ้านเรา วันหน้าเขาต้องช่วยดูแลม้าหลายตัวในบ้าน ต้องขึ้นเขาลงแม่น้ำอย่างยากลำบาก หากไปเจอสัตว์ร้ายเข้าจะทำอย่างไร? ถ้าอย่างไรว่างๆ เ้าก็สอนวรยุทธ์ให้เขาบ้างสิ จากนั้น...อืม ข้าจะทำอาหารให้เ้ากินทุกวันวันละมื้อ แล้วแต่เ้าจะเลือกเลยว่าอยากกินอะไร ดีหรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้