คนของสำนักกระบี่ิญญารู้สึกมืดทะมึน เห็นได้ชัดว่าจ้านอู๋มิ่งกำลังใช้พรรคพวกเป็กันชน ใช้พวกมันเป็เครื่องมือนั่นเอง แต่พวกเขาตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่แอบพูดจาดีๆ กับจักรพรรดิาสองคนของตระกูลหนานกง ส่วนอีกฝ่ายจะพูดคุยกันเื่ใดนั้น จ้านอู๋มิ่งมิสามารถได้ยิน แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ เขาเมินเฉยต่อจักรพรรดิาทั้งสองของตระกูลหนานกง และยิ้มให้กับคนของสำนักบริบาลเดรัจฉานพลางคิดในใจว่าการเลือกเข้าสำนักบริบาลเดรัจฉานดูแล้วไม่เลวจริงๆ สำนักบริบาลเดรัจฉานลุกขึ้นยืนเพื่อปกป้องเขาหลายครั้งหลายครา ทำให้เขารู้สึกว่าสำนักนี้ควรค่าแก่การไว้วางใจ
สายตาของจักพรรดิาและราชันาของสำนักบริบาลเดรัจฉานที่มองจ้านอู๋มิ่งก็ชื่นชมอย่างยิ่งเช่นกัน ถึงแม้เด็กคนนี้จะทำอะไรตามใจอยู่บ้าง กระทำสิ่งใดอิสรเสรี แต่ว่ายังมิทันได้เข้าเป็ศิษย์ก็ทำให้สำนักบริบาลเดรัจฉานภูมิใจแล้ว มีลูกศิษย์เช่นนี้ ต่อให้สำนักต้องแบกรับภาระปัญหาให้เขาบ้างแล้วจะเป็ไรไป ความขัดแย้งระหว่างสำนักด้วยกัน ถึงไม่มีลูกศิษย์น่าภูมิใจเช่นนี้ แต่ละสำนักก็แข่งขันกันอยู่แล้วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง วันหนึ่งเ้าลอบเล่นงานข้าครั้งหนึ่ง ข้าก็แอบเล่นงานเ้าคราหนึ่ง เื่ราวเช่นนี้ก็มีไม่น้อยอยู่แล้ว เวลานี้นำออกมาต่อสู้กันอย่างเปิดเผยแล้วจะเป็อย่างไร ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานล้วนยอมรับนับถือจ้านอู๋มิ่งแล้ว ผู้อื่นของสำนักกระบี่ิญญาสามารถทำเื่ราวตามอำเภอใจได้ แล้วพวกเราสำนักบริบาลเดรัจฉานไม่สามารถทำได้หรือ?
เห็นจักรพรรดิาสองคนของตระกูลหนานกงะโโลดเต้นอยู่ตรงนั้น ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานก็มีความรู้สึกที่้าลองของอยู่บ้าง เข้าไปแผลงฤทธิ์ใส่ความหุนหันของพวกมันสักรอบ ส่วนจะสู้ได้หรือไม่ได้นั้น มิใช่ยังมีเหล่าบรรดาผู้าุโอยู่หรอกหรือ? ผู้าุโจักรพรรดิาคงไม่มองตาปริบ ปล่อยให้สองจักรพรรดิารังแกพวกเรา เหล่าบรรดาราชันาตัวน้อยๆ หรอกนะ
“ตาเฒ่าคลั่งพบเจอและร่วมทางกับคนบ้าคลั่งน้อยผู้หนึ่ง ต่อแต่นี้ไปใต้หล้าจะเกิดปัญหามากมายขึ้นแล้ว!” ท่ามกลางฝูงชน ชายกลางคนผู้หนึ่งถอนใจเบาๆ ส่ายหน้าแล้วฝืนยิ้มกล่าวขึ้น
“พี่เทียนเหอพูดถูกต้องแล้ว เ้าหนูนี่ไม่ยอมแพ้ต่อฝ่ายตรงข้ามยิ่งกว่าคนคลั่งเฒ่านั้นอีก ล้วนมิใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน นึกถึงตอนที่พวกเราอายุเท่ากับพวกเขา นับว่าแตกต่างกันมากแล้ว” คนที่กล่าววาจาคือหนานหยวนจง บรรพบุรุษเฒ่าของแคว้นหนานเจา ซึ่งอาศัยอยู่ในวังเจี้ยนซิวกงตลอดมา พี่เทียนเหอที่เขาสนทนาด้วยก็คือชายวัยกลางคนที่เล่นหมากรุกกับเขาที่วังเจี้ยนซิวกงในคืนนั้น
“หลายปีมานี้ สำนักกระบี่ิญญากระทำเกินเลยไปบ้างแล้วจริงๆ ในราชวงศ์จำนวนมากถูกพวกมันควบคุมอยู่ พวกมันได้ฝ่าฝืนข้อตกลงแต่เดิมของสำนักนิกายหลักเนิ่นนานแล้ว สำนักนิกายไม่อาจแทรกแซงกิจการทางโลกิยะได้อย่างง่ายดาย และบัดนี้ถึงเวลาที่จะต้องมีการตกลงกันใหม่อีกครั้งแล้วจริงๆ” ชายวัยกลางคนสูดหายใจลึกๆ ขมวดคิ้วกล่าวขึ้น
เขาในฐานะผู้าุโของสำนักิญญาเร้นลับ สำนักใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ความเข้าใจเื่ราวของสำนักนิกายทางโลกิยะเหนือกว่าคนธรรมดามากมายนัก ใน่เวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาเฝ้าดูสำนักกระบี่ิญญาขยายอิทธิพลอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้เื่การแทรกซึมแฝงคนเข้าไปในแต่ละราชวงศ์หลักกระทำการอย่างลึกลับยิ่ง แต่ว่าอิทธิพลของสำนักิญญาเร้นลับ ในราชวงศ์หลักก็ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน ย่อมทราบการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของสำนักกระบี่ิญญา แต่ละสำนักนิกายหลักล้วนไม่พอใจสำนักกระบี่ิญญาขึ้นมาแล้ว หลายปีมานี้ สำนักกระบี่ิญญาก้าวหน้าเร็วกว่าสำนักนิกายอื่นๆ มากมายอย่างสุดกู่ และมีแนวโน้มจะไล่ตามทันสำนักิญญาเร้นลับแล้ว
“เฮอะ เทียนเหอ เ้าอยู่ในสำนักยังประเสริฐอยู่ แคว้นหนานเจาของข้าถูกแทรกแซงจนแทบจะหลุดจากการควบคุมของตระกูลหนานแล้ว ในสายตาของผู้อื่นอย่างสำนักกระบี่ิญญา ราชวงศ์เล็กๆ ของข้า ก็แค่ปลาตัวเล็ก กุ้งตัวน้อยเท่านั้นเอง ไม่สามารถก่อเกิดคลื่นลมลูกใหญ่ใดๆ ขึ้นมาได้ ข้าเองก็กำลังลังเลใจอยู่เหมือนกันว่าในอนาคตจะไปอยู่ที่ใดดี” หนานหยวนจงกล่าวอย่างอับจนปัญญา
สีหน้าของเทียนเหอปรากฏความประหลาดใจขึ้นวูบหนึ่ง แล้วกลายเป็ความโกรธเคือง เขาคิดไม่ถึงว่าสหายเก่าก็ต้องทุกข์ใจอย่างลึกซึ้งจากการกระทำของคนกลุ่มนี้ ในฐานะบรรพบุรุษเฒ่าของแคว้นหนานเจา ถึงแม้เขาจะมีความแข็งแกร่งของจักรพรรดิาระดับสูงสุด แต่ในสายตาสำนักกระบี่ิญญา ก็ไม่นับว่าเป็อะไรจริงๆ ถ้ามิใช่เพราะทุกราชวงศ์ล้วนมีตัวประหลาดมหาจักรพรรดิา เกรงว่าสำนักกระบี่ิญญาจะไม่ดำเนินการอย่างลับๆ เช่นนี้แล้ว ถึงแม้สำนักกระบี่ิญญาจะไม่เกรงกลัวมหาจักรพรรดิา แต่กังวลว่าจะเกิดเื่ราวใหญ่โตขึ้นมากระตุ้นให้สำนักนิกายอื่นๆ พากันแตกตื่น
“กลับไปสำนักครั้งนี้ ข้าจะต้องรายงานตามความเป็จริงต่อท่านเ้าสำนัก ดูแล้วมีบางคนมิชอบอยู่อย่างสงบเสงี่ยม บางทีเด็กผู้นี้สร้างความวุ่นวายครั้งนี้ก็ถือเป็โอกาสอย่างหนึ่ง” สายตาเทียนเหอฉายแววเยียบเย็นอยู่ในนั้น มิมีผู้ใดทราบว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
………………………………………………………………
“จ้านอู๋มิ่ง การต่อสู้รอบนี้เ้าชนะแล้ว รีบปล่อยหนานกงฉู่!” เจิงฉู่ไฉพูดเสียงดัง
“อ้อ การต่อสู้รอบนี้ข้าชนะ หมายความว่ายังมีการต่อสู้อีกหลายยกสินะ?” จ้านอู๋มิ่งถามกลับอย่างเฉยชา
“ข้อตกลงของพวกเราคือระยะเวลาหนึ่งวัน ขอเพียงเ้าไม่พ่ายแพ้ในหนึ่งวันนี้ จากนั้นบุญคุณความแค้นของเ้ากับสำนักกระบี่ิญญาเป็อันเลิกแล้วต่อกัน” เจิงฉู่ไฉพูดขึ้น เมื่อพูดจบก็เกิดเสียงโห่ร้องขึ้นมาทันใด มีคนลอบด่าว่าไร้ยางอาย
“ถ้าเช่นนั้นก็ประเสริฐ!” จ้านอู๋มิ่งยิ้ม...ยิ้มจนดูชั่วร้ายอยู่บ้าง สายตามองย้อนกลับไปที่หนานกงฉู่ พูดเสียงเรียบๆ “คนในตระกูลหนานกงของเ้าสูงส่งมีเกียรติใช่หรือไม่ น่าเสียดายเื่ที่ข้าไว้ชีวิตคนไม่เคยเกินสามครั้งตลอดมา ผู้ท้าชิงสามคนแรกของสำนักกระบี่ิญญา ข้าล้วนไว้ชีวิตพวกมัน หากว่าเ้าคือผู้ท้าสู้คนสุดท้ายแล้ว ก็ไม่ต้องสิ้นชีพเช่นกัน แต่เกรงว่าสำนักกระบี่ิญญาจะรู้สึกว่าข้าใจดีมีเมตตามากเกินไป ไม่ฆ่าคนอย่างเด็ดขาด จึงเตรียมให้บรรดาลูกศิษย์หมุนเวียนผลัดกันขึ้นมาสู้กับข้า ดังนั้นเ้าจึงได้แต่ต้องโชคร้ายแล้ว น่าเสียดายนัก อัจฉริยะของตระกูลหนานกง…”
“เ้ามิอาจฆ่าข้า!” หนานกงฉู่เกรงกลัวขึ้นมาแล้ว ััได้ถึงเจตนาฆ่าของจ้านอู๋มิ่งอย่างลึกซึ้ง
“ใต้หล้ามิมีเื่ราวใดที่ข้ามิกล้ากระทำ ในสายตาของข้า ตระกูลหนานกงยังไม่นับเป็อะไรได้” พูดจบจ้านอู๋มิ่งไม่ให้โอกาสหนานกงฉู่กล่าววาจาอีก ห้านิ้วรวบขึ้นอย่างกะทันหัน ศีรษะหนานกงฉู่ก็เอียงไปอยู่ด้านข้างทันที
จ้านอู๋มิ่งคลายแขนสองข้างออก หายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง เขารู้สึกได้ว่าในชั่วขณะที่หนานกงฉู่เสียชีวิต อารมณ์ขุ่นเคืองส่วนหนึ่งติดอยู่กับจิติญญาตน เขาหลับตาลงและสงบจิตสมาธิ ท่ามกลางความมืดมิด ดูเหมือนเขาจะเห็นหลากสีสันเลือนรางจางหายระหว่างฟ้าดิน มีแสงสีเขียวเป็เส้นสายถี่ยิบหมุนวนอยู่รอบตัวเขา และค่อยๆ ถูกดูดกลืนด้วยพลังแห่งอนัตตาที่มีอยู่ไม่มากในร่างกายพร้อมความแค้นสีเทานั้น แล้วถูกแปรสภาพกลายเป็พลังงานประหลาดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ครู่ต่อมา เขาเข้าใจแล้วว่าความเร็วไร้ผู้ทัดเทียมของหนานกงฉู่มาจากที่ใด นั่นคือสายลม
พลังของสายลมท่ามกลางความมืดมิด จ้านอู๋มิ่งรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของธาตุลม ััถึงพลังแห่งสายลม ขอเพียงใช้เวลาอีกเพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถเข้าใจความลับในความเร็วของหนานกงฉู่ได้อย่างสมบูรณ์
พลันจ้านอู๋มิ่งสามารถเข้าใจทันทีว่าการ่ชิงชะตาชีวิตกับฟ้าดินหมายความเช่นไร ชีวิตประกอบขึ้นด้วยธาตุต่างๆ ระหว่างฟ้าดิน พรหมลิขิตและโชคชะตาของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ที่เรียกกันว่าพลังชีวิต คือการผสมผสานหลอมรวมพลังธาตุที่มีทั้งหมด พลังชีวิตบกพร่องก็คือการผสมผสานพลังธาตุไม่สมบูรณ์ การ่ชิงชะตากับฟ้าคือการใช้จิติญญาััปราณพลังชีวิตของฟ้าดิน เพื่อััให้ถึงพลังของธาตุแห่งฟ้าดินได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น รับเอามาใช้หล่อเลี้ยงพลังชีวิต ทำให้ชีวิตบรรลุความสมดุล มีองค์ประกอบธาตุมากมายระหว่างฟ้าดิน ร่างกายของคนจำนวนมากสามารถััหรือใช้พลังของธาตุเพียงอย่างเดียวเท่านั้นตลอดชั่วชีวิตของพวกเขา แม้ว่าจะบรรลุความสำเร็จขั้นสูงสุดของเหล่าทวยเทพก็สามารถควบคุมอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น บรรลุความสมดุลแค่เพียงเล็กน้อยของชีวิต การบรรลุความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงคือสามารถควบคุมพลังของธาตุทั้งหมดระหว่างฟ้าดิน แล้วควบคุมพลังของฟ้าดิน จึงมีความสามารถของการหลุดพ้น
่ชิงชะตาชีวิต! จ้านอู๋มิ่งผุดความคิดอันบ้าคลั่งขึ้นมาความคิดหนึ่ง ่เวลาขณะที่เขาฆ่าหนานกงฉู่กลับทำให้เขาหยั่งรู้ถึงสิ่งที่ค้างคามาตลอดในห้วงคำนึงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตเสริมชีวิตของคัมภีร์เทพอนัตตา ่ชิงชะตาชีวิตกับฟ้า ก็คือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการควบคุมพลังชีวิตของตัวเอง เพื่อบรรลุความสมบูรณ์แบบ หากภายในพลังชีวิตมีข้อบกพร่องสามารถนำเอามาจากผู้อื่นได้ ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า่ชิงชะตาชีวิตจากผู้อื่น ก็เหมือนกับที่เขาฆ่าหนานกงฉู่สิ้นชีวิต แล้วก็ดูดรับเอาความสามารถในการควบคุมพลังธาตุลมของหนานกงฉู่มานั่นเอง
ชั่วขณะที่เขาสามารถควบคุมพลังธาตุลมแล้วนั่นเอง ชั้นที่ปิดผนึกไว้ในห้วงคำนึงส่วนหนึ่งก็ถูกเปิดออกทันที ภาพเหตุการณ์ที่โม่เทียนจีอธิบายพรหมลิขิตของตนก็ปรากฏในห้วงคำนึงของจ้านอู๋มิ่ง ภาพต่างๆ ทยอยปรากฏขึ้นตามลำดับ สิ่งนี้ทำให้เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับโชคชะตาและพรหมลิขิตลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ความทรงจำบางส่วนที่คลุมเครือก็ชัดเจนขึ้นมาทันที
พลังของธาตุลมขจัดความสับสนของเขาเกี่ยวกับพลังชีวิต ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าท่ามกลางความมืด เขากับสำนักบริบาลเดรัจฉานมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกกันไม่ออก ที่แห่งนั้นจะเป็สถานที่ที่เขาผงาดขึ้นมา
เขาเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นในการกำหนดทิศทางการบ่มเพาะพลังชีวิต จากนี้เป็ต้นไป เขาสามารถดูดซับพลังธาตุลมระหว่างฟ้าดิน เพื่อนำมาใช้ได้ตลอดเวลา และค่อยๆ บ่มเพาะพลังชีวิตของธาตุลมให้สมบูรณ์ ระหว่างฟ้าดินไม่ได้มีเพียงองค์ประกอบของธาตุต่างๆ เพียงเท่านั้น รูปร่างของจิติญญาและสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งมวลของฟ้าดินก็มีพลังแห่งธาตุของฟ้าดินที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งเช่นกัน จ้านอู๋มิ่ง้าแหงนมองขึ้นฟ้า กู่ก้องคำรามยาวนาน ปริศนาที่คอยหลอกหลอนเขาตลอดมาถูกไขกระจ่างอย่างกะทันหัน เขารู้สึกว่าขอบเขตสภาพจิตของตนสามารถทะลวงผ่านระดับปรมาจารย์นักยุทธ์ได้อย่างสมบูรณ์ บรรลุขั้นราชันา แต่ว่าเขาไม่ได้เตรียมการมาเช่นนี้ เพราะอาณาจักรฟ้าเร้นลับเสวียนเทียนอีกไม่นานก็จะเปิดออกแล้ว ระดับชั้นราชันาขึ้นไปมิอาจเข้าไปได้ เขาไม่อยากพลาดโอกาสเช่นนี้
ความคิดห้วงคำนึงของจ้านอู๋มิ่งผ่านไปเหมือนสายฟ้าแลบ จ้านอู๋มิ่งกลับทำให้คนทั่วทั้งเยี่ยนซานตั้งตะลึงงัน เพราะเขาถึงกับฆ่าหนานกงฉู่ไปแล้ว ภายใต้คำพูดขอร้องให้ปล่อยคนของสำนักกระบี่ิญญาและภายใต้สายตาของสองจักรพรรดิาแห่งตระกูลหนานกง จ้านอู๋มิ่งสังหารหนานกงฉู่อย่างไม่ลังเล เหมือนเช่นบีบลูกไก่ตายตัวหนึ่ง ง่ายดายและเฉยชาอย่างยิ่ง ที่ทำให้ผู้คนแปลกใจยิ่งนักก็คือหลังจากจ้านอู๋มิ่งฆ่าหนานกงฉู่แล้ว รอยฟกช้ำสีเขียวม่วงบนร่างกายทั่วทั้งตัวกลับหายดีอย่างรวดเร็ว รอยแผลบนหน้าอกก็สมานหายดีอย่างเร็วยิ่ง
หนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่ตะลึงงัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์ที่สำนักกระบี่ิญญาขอร้องให้ปล่อยคน จ้านอู๋มิ่งยังบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ ลงมือฆ่าอย่างโหดร้ายต่อหน้าต่อตา จ้านอู๋มิ่งจบชีวิตของอัจฉริยะรุ่นใหม่จากตระกูลหนานกงลงเช่นนี้ อัจฉริยะที่เคยติดอันดับหนึ่งในรายชื่อคัดเลือกใหญ่บนป้ายทอง
“จ้านอู๋มิ่ง ข้าจะต้องทำลายล้างเก้าชั่วโคตรของเ้า!” หนานกงพั่วไฮว่คำรามอย่างโกรธแค้น
“ขออภัยอย่างยิ่ง ข้าตื่นเต้นเกินไป ดังนั้นจึงไม่ได้ควบคุมพลังของมือให้ดี บีบหนักเกินไปหน่อยแล้ว” จ้านอู๋มิ่งกล่าวคำพูดออกมาประโยคหนึ่ง ทำให้คนอื่นพูดไม่ออก กลุ่มผู้ชมทั้งหมดมองเขาอย่างโง่งมไปแล้ว สายตาเคารพนับถือดั่งเทพเ้า นี่มันเกินมนุษย์ไปแล้วจริงๆ กล่าวคำพูดที่เทพก็ยังคาดมิถึงออกมา
สายตาของเจิงฉู่ไฉเต็มไปด้วยสำนึกฆ่าฟัน จ้านอู๋มิ่งตลอดจนตระกูลจ้าน ตลอดจนเมืองมู่เหย่ทั้งเมือง ล้วนไม่มีความจำเป็ดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว หลายร้อยปีมาแล้วที่ตนไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน ทั้งหมดเป็เพราะชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ ั้แ่แรกก็ถูกอีกฝ่ายจูงจมูกตลอดเวลา ชื่อเสียงและหน้าตาของสำนักกระบี่ิญญาทั้งหมดถูกเด็กคนนี้เหยียบย่ำป่นปี้ อีกฝ่ายเป็เพียงปรมาจารย์นักยุทธ์เล็กๆ ผู้หนึ่ง แม้ว่าจะมีการขัดขวางของสำนักบริบาลเดรัจฉาน มันก็จะไม่ปล่อยให้จ้านอู๋มิ่งมีชีวิตรอดออกไปจากเยี่ยนซานตั้ง แต่ว่าคนของสำนักกระบี่ิญญาอาจไม่จำเป็ต้องลงมือ บางทีหนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่จะเป็คนลงมือฆ่าเด็กคนนี้เอง ขอเพียงเขาสามารถขัดขวางยอดฝีมือจักรพรรดิาของสำนักบริบาลเดรัจฉานเอาไว้ ยังจะมีผู้ใดออกหน้าช่วยจ้านอู๋มิ่งอีกเล่า?
“เป็เ้ารนหาที่ตายเอง!” เจิงฉู่ไฉพูดอย่างเย็นเยียบคำหนึ่ง เขาไม่มีเวลาคิดว่าจะกลับไปอธิบายให้สำนักฟังอย่างไร มิรู้ว่าจะอธิบายให้ตระกูลหนานกงฟังอย่างไรแล้ว
จ้านอู๋มิ่งยิ้มอย่างดูแคลนและพูดว่า “ในเมื่อข้ากล้าสังหารมัน ข้าก็ไม่คิดเกรงกลัวเ้า ข้ากล้ารับคำท้าของเ้า ไม่เคยคิดเตรียมจะประนีประนอมกับพวกเ้าแล้ว ทั้งสำนักกระบี่ิญญา ทั้งตระกูลหนานกงก็เพียงเท่านี้เอง!” พูดจบจ้านอู๋มิ่งก็ถอดแหวนจักรวาลหลายวงออกจากมือของหนานกงฉู่เป็การฆ่าเวลาใน่ที่ยังว่างอยู่ ใส่ไว้ในมือของตนเองอย่างอวดเบ่ง
“เ้าคนพาล เ้าตายเสียเถอะ!” ตอนนี้หนานกงเจี้ยนเซ่อบันดาลโทสะแล้วจริงๆ ท่ามกลางเหล่าวีรบุรุษที่ปากอ้าตาค้าง มองดูการกระทำของจ้านอู๋มิ่งที่หยิบเอาแหวนจักรวาลมาสวมใส่อย่างเบิกบานใจ หนานกงเจี้ยนเซ่อรู้สึกดั่งว่าศีรษะของตนถูกค้อนหนักๆ ตีกระหน่ำคราหนึ่ง ความคับแค้นอัปยศนั้นทำให้โมโหเจียนคลั่งสุดขีดแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้