“พี่ชายกู้อู่ นี่ท่านเพิ่งเลิกเรียนแล้วมาจากกว๋อจื่อเจี้ยนเลยหรือ?”
ในระหว่างที่เขาเข้าเรียน ล้วนต้องสวมชุดเป็ทางการเช่นนี้เลยหรือ? เจินจูประหลาดใจอย่างมาก
“ใช่แล้ว พอเลิกเรียนก็ได้ยินผู้คุ้มกันมารายงาน บอกว่าอวี่เวยมาหาเ้าที่นี่ ก็เลยถือโอกาสแวะมาดูสักหน่อย” มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “น้องสาวเจินจู อยู่เมืองหลวงมาสองสามวันแล้วคุ้นชินบ้างหรือยัง?”
“ล้วนสบายมาก ท่านไม่ต้องเป็ห่วงพวกข้าเลย”
วันมะรืนจะแอบปะปนเข้าไปในคฤหาสน์ร้อยสัตว์ ให้ผิงอันพาเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยไปจำทางสักหน่อย รอตอนกลางคืนค่อยให้พวกมันไปสำรวจบริเวณโดยรอบคฤหาสน์สักรอบ หากสามารถให้พวกมันพบหน้าตาขององค์ไท่จื่อได้ด้วย เช่นนั้นจะยิ่งดีขึ้นไปอีก
จัดการเื่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ให้ชัดเจน ถึงจะตัดสินใจได้ว่าขั้นต่อไปควรทำอย่างไรดี
“พี่ชายกู้อู่ วิชาของกว๋อจื่อเจี้ยนสอนสิ่งใดบ้างหรือ?”
ผิงอันถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ ในฐานะเป็สถานที่เรียนที่ใหญ่สุดในอาณาจักรต้าสยา สำหรับบัณฑิตที่เล่าเรียนและพยายามสอบเคอจวี่ให้ได้ ก็ต้องเต็มไปด้วยความใฝ่ฝันที่อยากจะเข้าไปเรียนในกว๋อจื่อเจี้ยนทั้งนั้น
กู้ฉีหันไปยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “บทเรียนในกว๋อจื่อเจี้ยนส่วนใหญ่ไม่ค่อยแตกต่างกับหลักสูตรของโรงเรียนทั่วไปเท่าไร ล้วนเป็มารยาทขนบธรรมเนียม ดนตรีเต้นรำ การยิงธนู การขี่ม้า การเขียนหนังสือ และคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานทั้งสิ้น ต่อไปเมื่อเ้าโตแล้ว หลังจากสอบผ่านระดับเซียงซื่อก็มาเมืองหลวงเพื่อร่วมการสอบเข้าเรียนของกว๋อจื่อเจี้ยนได้ และหากสอบผ่านก็จะกลายเป็บัณฑิตของกว๋อจื่อเจี้ยน”
ดวงตาผิงอันเป็ประกาย โลกภายนอกที่ไม่รู้จักสำหรับเด็กผู้ชายแล้วนั้น มักเกิดความใฝ่ฝันค้นหาอย่างมาก มาเมืองหลวงได้ไม่กี่วัน เขาก็เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้จากเื่ภายในกำแพงเมืองที่ใหญ่ที่สุด และเจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งอาณาจักรต้าสยานี้ยิ่งนัก
วันข้างหน้าเมื่อเติบโตขึ้นเขาจะท่องไปทั่วแต่ละกำแพงเมืองของต้าสยา ชื่นชมขนบธรรมเนียมและลักษณะพื้นที่อันแตกต่างกันไปของแต่ละท้องถิ่น
“ได้ยินว่านักปราชญ์ตู้พั่วชิงสอนอยู่ที่กว๋อจื่อเจี้ยน ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่?”
“ฮ่าๆ นักปราชญ์อายุมากนัก โดยส่วนใหญ่จะไม่เข้ามาสอนแล้ว จะเข้ามาเปิดบรรยายในศาสตร์วิชาค้นคว้าที่ลึกลงไปเป็บางครั้งเท่านั้น”
สองคนพูดคุยในหัวข้อของกว๋อจื่อเจี้ยนอยู่พักหนึ่ง
เจินจูฟังอยู่ด้านข้าง ไม่ได้รู้สึกน่าเบื่อแต่อย่างใด
ส่วนโหยวอวี่เวยแอบมองฝั่งตรงข้ามอย่างหวานชื่นอยู่บ่อยๆ หลังจากนั้นก็นึกเื่ของโหยวเสวี่ยชิงขึ้นได้ จึงรู้สึกกระวนกระวาย สองอารมณ์ขัดแย้งตีกัน นางจึงนั่งไม่สุขอยู่บ้าง
แน่นอนว่ากู้ฉีย่อมมองออก หญิงสาวผู้นี้ต้องมีเื่ด่วนอะไรแน่ ไม่อย่างนั้น นางไม่มีทางกระสับกระส่ายปานนี้หรอก เขาสนทนากับผิงอันอย่างสงบ พลางคิดไว้ว่าอีกสักครู่จะถามนางว่าเกิดเื่อะไรขึ้น
“เอาล่ะผิงอัน ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว มีอะไรก็เก็บไว้ถามครั้งหน้าเถอะ พี่สาวสกุลโหยวออกมาครึ่งค่อนวันเช่นนี้ ที่บ้านนางอาจเป็ห่วงได้ พวกเราส่งนางกลับไปก่อนเถอะ” โหยวอวี่เวยต้องเป็ห่วงเื่ของโหยวเสวี่ยชิงแน่ เจินจูก็อยากรู้เช่นกันว่าคนผู้นี้เป็ใคร
กู้ฉีได้จังหวะจึงเอ่ยอำลาออกมาด้วยเช่นกัน จะได้ไปส่งโหยวอวี่เวยสัก่ระยะทางได้พอดี
รถม้าเริ่มบังคับไปยังทิศทางตะวันตกของเมืองช้าๆ กู้ฉีควบม้าขึ้นมาขนาบข้างกับรถม้า มีผู้คุ้มกันตามอยู่หลังรถม้าติดๆ
โหยวอวี่เวยนั่งอยู่ในรถม้า ข้างในใจหวานชื่นราวกับลิ้มรสน้ำผึ้งลงไปก็ไม่ปาน แอบมองกู้ฉีจากช่องว่างของหน้าต่างรถม้าอย่างแก้มแดงเปล่งปลั่ง
ขณะที่ใกล้จะถึงจวนท่านโหวเหวินชาง กู้ฉีถึงได้ขยับเข้าใกล้หน้าต่างรถม้า
“อวี่เวย”
เสียงใสชัดเจนดังทะลุผ่านช่องหน้าต่างรถ โหยวอวี่เวยรีบเปิดม่านรถออกทันที
“พี่ห้า!”
สองคนมองสบตากันด้วยระยะห่างเพียงหน้าต่างกั้น แก้มแดงของหญิงสาวทำเอากู้ฉีมองจนนิ่งงัน
“แค่ก... เ้ามีเื่อะไรหรือ? เมื่อครู่ทำไมถึงได้ดูกระวนกระวายเช่นนั้น?”
โหยวอวี่เวยใ พร้อมกับลำบากใจอยู่ในที เื่ของลูกผู้พี่คนรองยังไม่แน่ชัดเลย อีกอย่างการที่นางลอบพบองค์ไท่จื่อ นี่ล้วนเป็ข่าวอื้อฉาวของวงศ์ตระกูล หากบอกพี่ห้าไปเขาจะรู้สึกขัดข้องใจไหมนะ?
ความลำบากใจของนาง เขาเห็นมันอยู่ในสายตา
“ไม่เป็ไร หากไม่สะดวกกล่าวก็ไม่ต้องกล่าว แต่หากเ้า้าความช่วยเหลือ อย่าลืมบอกข้า”
เขายิ้มอย่างอ่อนโยน ทำให้โหยวอวี่เวยรู้สึกแสบร้อนที่ปลายจมูก เกิดความรู้สึกอยากโผเข้าไปในอ้อมอกของเขาแล้วระบายความในใจออกมาทั้งหมด
แต่สติของนางได้ยับยั้งนางไว้
“พี่ห้า รอให้เื่จัดการชัดเจนแล้วข้าค่อยบอกท่าน ดีหรือไม่?”
นางย่นจมูกกล่าวด้วยความน่าสงสาร
กู้ฉีหลุดยิ้มออกมา
“ดี”
...ยามค่ำคืนที่มืดมิดบรรยากาศอึมครึม หลัวจิ่งกลับมาถึงโรงเตี๊ยม
แสงไฟอันอบอุ่นส่องสว่างทะลุมาจากห้องของเจินจู ภายในใจหลัวจิ่งมีกระแสไออุ่นเกิดขึ้น เขาหวังว่าชั่วชีวิตหลังจากนี้ นางจะจุดตะเกียงในห้องเพื่อรอคอยการกลับมาของเขาทุกวันได้
ประตูห้องมีเสียงเคาะดังขึ้น
“เข้ามาเถอะ”
เจินจูกล่าวอย่างไม่คิดเลยสักนิด นางฟังเสียงฝีเท้าของเขาออกั้แ่ที่เขาย่ำเข้ามาภายในลานแล้ว
หลัวจิ่งเข้ามาในห้อง เห็นนางกึ่งนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ในมือถือชิ้นหนังที่ยังไม่ได้ฟอกเหมือนกำลังทำอะไรอยู่
“นี่จะทำอะไรกัน?”
บนโต๊ะวางกองแผ่นหนังยุ่งเหยิง อีกทั้งบนพื้นยังมีเศษหนังชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ถูกนางตัดประปราย
คิ้วงามน่ามองของเจินจูย่นขึ้นเป็ตัวเลขแปด [1] เมื่อนางทานอาหารเย็นกับผิงอันเสร็จ ก็เริ่มจับแผ่นหนังมาพลิกไปมาอยู่ในห้อง น่าเสียดายงานฝีมือของนางไม่ดี ถุงมือที่เย็บออกมาเลยดูไม่ได้จริงๆ
ตอนนั้นขณะที่นางว่างไม่มีอะไรทำ ได้เหลือบไปเห็นแผ่นหนังหนึ่งกองที่พวกเซียวจวิ้นมอบให้ จู่ๆ ก็อยากเย็บถุงมือหนังออกมาคู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงหาวัสดุหนังที่เหมาะสมออกมาหนึ่งชิ้นและเริ่มลองทำดู
บนโต๊ะวางถุงมือหนึ่งข้างที่เย็บเสร็จแล้ว แต่เจินจูชำเลืองมองมันปราดหนึ่ง และละสายตาออกมาอย่างรังเกียจ เย็บขยะอะไรออกมากันนี่ นิ้วหนึ่งใหญ่นิ้วหนึ่งเล็ก รอยเย็บก็บิดเบี้ยวเอียงไปมา พอมองก็รู้ได้ว่าคนเย็บฝีมือไม่ชำนาญ
นางโยนของที่ยังไม่เสร็จอีกครึ่งหนึ่งในมือทิ้ง ช่างเถอะ ช่างหาความยากลำบากให้ตัวเองเสียจริง ์รู้... ครึ่งค่อนชั่วยามมานี้ นิ้วมือของนางถูกเข็มแทงไปตั้งหลายรูแล้ว
“เป็อะไรไป ถูกเข็มแทงเข้าแล้วใช่หรือไม่? ให้ข้าดูหน่อย”
เขาดึงมือขาวบริสุทธิ์นุ่มนิ่มของนางขึ้น บนท้องนิ้วเห็นรูเข็มสีแดงเล็กมากอยู่หลายรอยจริงด้วย
“อยู่ดีๆ เหตุใดก็อยากเย็บหนังขึ้นมากะทันหันได้ หากมีอะไรที่้าใช้ เ้าไปซื้อเอาก็ได้แล้ว ทำไมต้องทรมานตัวเองด้วย” หลัวจิ่งคลึงท้องนิ้วให้นางด้วยความสงสาร
เขาคุกเข่าลงไปข้างหนึ่งตรงหน้านาง ในลูกตาสีหมึกเข้มปรากฏความเ็ปวาบผ่าน ทำให้เจินจูตะลึงเล็กน้อย
“งานเย็บปักถักร้อยของข้าไม่ดี ไม่กังวลใจเลยหรือ?”
“นั่นมีอะไรต้องกังวลด้วย เ้าไม่ใช่หญิงปักผ้าเสียหน่อย งานเย็บปักถักร้อยไม่ดีก็ปกติยิ่งนัก เมื่อก่อนท่านแม่ข้าก็งานฝีมือไม่ดีเช่นกัน” เขาเงยหน้าขึ้น หันมาฉีกยิ้มให้นาง รอยยิ้มอ่อนโยนและจริงใจ คิ้วรูปดาบั์ตาคมกริบสว่างไสว สันจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากบางฟันขาว รูปงามไร้ผู้ใดเทียม
รอยยิ้มที่มุมปากเริ่มยกขึ้นช้าๆ นางเม้มปากแ่เบา รอยยิ้มโค้งขึ้นสว่างสดใสน่ามอง
มือใหญ่ที่กุมมือเล็กอยู่กระชับแน่นขึ้นทันที ั์ตาสีดำสนิทของหลัวจิ่งสะท้อนเงารอยยิ้มงดงามของนาง
“เ้าทานอาหารเย็นมาหรือยัง?” เห็นว่าบรรยากาศผิดปกติเล็กน้อย เจินจูจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อไป
“…”
เขานวดมือเล็กนุ่มนิ่มเสมือนไร้กระดูกของนาง จ้องหญิงสาวตรงหน้าอยู่ชั่วครู่แล้วถึงกล่าวออกมาไม่กี่พยางค์
“ทานแล้ว”
เจินจูชักมือออกมาจากมือใหญ่ของเขาอย่างออกแรงและค้อนขวับหนึ่งที “เ้านั่งให้ดี ข้าจะเทน้ำชาให้เ้า เพิ่งชงได้ไม่นานตอนนี้ยังอุ่นอยู่เลย”
ขณะกล่าวเจินจูหยิบกาน้ำชาขึ้นมาเทใส่ถ้วยให้เขาด้วยตัวเอง”
“วันนี้พี่สาวสกุลโหยวมาด้วยล่ะ” นางเปลี่ยนหัวข้อไปที่โหยวอวี่เวยอย่างเรื่อยเปื่อย
“อย่างนั้นหรือ เ้าส่งข่าวไปให้นาง?” หลัวจิ่งยกชาขึ้นดื่มอย่างไม่ได้ให้ความสนใจ
“อื้ม ใช่แล้วล่ะ แล้วก็บังเอิญพอดีเลย มะรืนนี้นางจะไปเป็แขกที่คฤหาสน์ร้อยสัตว์นั่น นางรับปากข้าแล้วว่าจะพาข้าไปด้วย” นางกล่าวด้วยรอยยิ้มจนตาหยี
หลัวจิ่งเงยหน้าขึ้นมองนางในทันที คิ้วขมวดตามความเคยชินฉับพลัน
“เ้าไปไม่ได้!”
น้ำเสียงเฉียบขาดอย่างมาก
“ทำไมจะไม่ได้?”
เหตุผลล่ะ? เจินจูเลิกคิ้วเป็เชิงถาม
เหตุผล? สายตาหลัวจิ่งหยุดอยู่ที่ใบหน้างดงามราวดอกบัวเพิ่งโผล่พ้นน้ำ [2] ผู้ที่ไปร่วมงานเลี้ยงไม่ได้มีเพียงหญิงสาวของครอบครัวขุนนางเท่านั้น แต่ยังมีเหล่าคุณชายท่านชายที่มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากมายของแต่ละสกุลอีกด้วย
“อันตรายเกินไป เ้าคอยอยู่เฉยๆ ข้าจะหาร่อยรอยที่พักระหว่างเดินทางขององค์ไท่จื่อออกมาให้ได้เอง”
“…”
เจินจูจ้องเขาเขม็งด้วยดวงตากลมโต “อันตรายตรงไหนกัน? โอกาสดียิ่งนัก ข้าแต่งเป็สาวรับใช้ของนาง ติดตามเข้าไปเดินชมสักรอบ รอให้งานเลี้ยงเลิกก็กลับมาแล้ว”
“เ้ารู้หรือว่าต้องปรนนิบัติต่อคนอย่างไร? ธรรมเนียมปฏิบัติแต่ละอย่างเ้าเข้าใจชัดแจ้งไหม? แล้วยังจะแต่งเป็สาวรับใช้อีก เ้าดูสิว่าเ้าคล้ายท่าทางของสาวรับใช้งั้นหรือ?” หลัวจิ่งก็จ้องกลับไปเช่นกัน
ท่าทางของสาวรับใช้? เจินจูลูบแก้มของตัวเอง พลางหลุดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “เ้าโง่นัก คิดว่าข้าจะไม่แต่งหน้าสักหน่อย แล้วค่อยไปหรือ”
“จะแต่งอย่างไร?” หลัวจิ่งมองนางด้วยความกลัดกลุ้ม
เจินจูยิ้มอย่างซุกซน เข้าใกล้เขาแล้วกล่าวเบาๆ หนึ่งรอบ
“เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ?”
“แน่นอน พรุ่งนี้เ้าดูก็รู้ ฮิๆ”
กลิ่นหอมหวนบางเบาที่มีเฉพาะบนกายของนางได้ส่งกลิ่นออกมาอยู่ใกล้ๆ หลัวจิ่งเอียงหน้าเข้าไป อยากเข้าใกล้นางให้มากอีกหน่อย ทว่านางกลับหดตัวกลับไปนั่งที่เดิม
หลัวจิ่งจำใจ มองไปที่นางอย่างเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง ในวันธรรมดาหญิงสาวผู้นี้ล้วนพูดคุยอะไรกับพวกอาจารย์ฟางกันนะ เหตุใดเื่สามลัทธิเก้าสำนัก [3] ถึงได้รู้ชัดแจ้งเพียงนี้
เจินจูแลบลิ้น และปิดปากหัวเราะเบาๆ
“อ๊ะ ใช่แล้ว ยังมีอีกเื่หนึ่ง”
นางเล่าเื่ของโหยวเสวี่ยชิงให้เขาฟัง เจินจูรู้สึกว่าฐานะของชายที่แผ่กลิ่นอายมืดครึ้มเย็นะเืผู้นั้นน่าสงสัย หากบอกหลัวจิ่งเขาอาจรู้ว่าเป็ผู้ใดก็ได้
“ชายผู้นั้นสูงส่งผอมแห้ง ดวงตาแคบยาว ท่าทีมืดครึ้มและเย็นะเื ใต้ตาซ้ายมีไฝ?” หลัวจิ่งยืดร่างกายตรงทื่อ นี่องค์ไท่จื่อหานเซี่ยนแอบคบชู้กับฮูหยินของลี่ปู้ซื่อหลางที่อยู่ฝ่ายเดียวกันงั้นหรือ เหอะ
เขาไม่รู้สึกประหลาดใจเลย กากเดนมนุษย์เช่นนั้น ในใจไหนเลยจะมีหลักความสัมพันธ์ห้าประการหลักบรรทัดฐานสาม [4] และพื้นฐานของสังคมที่ดีสี่ [5] ได้
“เ้าก็รู้จักเขาหรือ?” เจินจูซักถาม
“เขา... คือองค์ไท่จื่อหานเซี่ยน” เขาตอบอย่างเ็า
องค์ไท่จื่อหานเซี่ยน!
หลังจากเจินจูตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากตีอกชกหัวขึ้น
ปัดโธ่เอ๊ย ผู้ใดจะรู้ว่าพอนางมาถึงเมืองหลวงจะได้เจอองค์ไท่จื่อสารเลวนั่นปุบปับเลย ทำให้พวกหลัวจิ่งไปสืบเสาะหาร่องรอยสถานที่พักระหว่างเดินทางของเขาด้วยความลำบากเสียเปล่านัก วันนั้นเขาปรากฏผ่านสายตาของนางไปแท้ๆ
วันนั้นผู้คุ้มกันที่องค์ไท่จื่อพาไปด้วยมีไม่มาก อีกทั้งสองคนกำลังลักลอบพบกันอีกต่างหาก ความระมัดระวังย่อมไม่สูงแน่ โอกาสที่หาได้ยากและมีค่ายิ่งกลับลอยหายไปดื้อๆ เช่นนี้แล้ว
หากวันนั้นนางพาเสี่ยวเฮยไปด้วย ให้เสี่ยวเฮยะโลงไปจากหลังคาใช้อุ้งเท้าตะปบหนึ่งที เื่ราวก็ไม่ใช่ว่าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ
น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก นางส่ายหน้าคอตก
“เ้าห้ามคิดว่ารู้สถานที่หยุดพักของเขาแล้วจะทำอะไรเขาได้เชียว วันนั้นแม้เ้าจะเห็นผู้คุ้มกันเพียงสองคนเท่านั้น แต่ในความเป็จริงมีองครักษ์ลับที่ล้อมอยู่รอบกายเขาไม่น้อย บุ่มบ่ามเข้าไปจะเป็การทำร้ายตัวเองเสียเปล่า เข้าใจหรือไม่?” หลัวจิ่งเตือนสตินาง เขากลัวว่าจะไม่รู้นภาสูงพสุธาหนา แล้วเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเล่นสนุก
เจินจูเหลือบมองคนตรงหน้าแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าเอาจริงเอาจัง จึงโอนอ่อนไปตามความคิดของเขา และพยักหน้าด้วยความน่าเอ็นดู
“เื่นี้ต่อให้จวนท่านโหวเหวินชางทราบแล้ว ก็ไม่กล้าทำอะไรองค์ไท่จื่อเช่นกัน อีกอย่างเื่อัปยศอดสูในสกุลไม่อาจแพร่งพรายสู่ภายนอก ข่าวอื้อฉาวเช่นนี้คงทำได้เพียงเก็บงำไว้ เพราะหากเื่เปิดเผยออกมา จวนท่านโหวเหวินชางก็จะเสียหน้าไปด้วยเช่นกัน”
“เอ๋ เช่นนั้นต้องจัดการปัญหาอย่างไรกัน?”
“นี่ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนที่จวนท่านโหวเหวินชางแล้ว แต่ส่วนมากไม่มีทางเปิดเผยแน่ อย่างไรเสียนางก็แซ่โหยวเช่นกัน”
จวนท่านโหวเหวินชางเป็ห่วงหน้าตาของวงศ์ตระกูลอย่างยิ่ง เื่ลอบคบชู้แอบนัดพบกันคาดว่าคงจบลงอย่างค้างคาไม่มีบทสรุป อย่างมากที่สุดคงเรียกโหยวเสวี่ยชิงมาตำหนิและกล่าวเตือนอยู่พักหนึ่ง ส่วนองค์ไท่จื่อคงไม่มีหนทางทำอย่างไรได้ เว้นแต่พวกเขาจะโยนศักดิ์ศรีทิ้งไม่้าหน้าตา แล้วไปกราบทูลกับฮ่องเต้เสียเอง
ล้วนกล่าวกันว่าหากสตรียุคโบราณเป็ชู้ ต้องถูกจุ่มกรงหมู [6] ดูแล้วก็ไม่ได้เป็เช่นนั้นไปเสียหมด ยังต้องดูว่าชู้ที่สตรีผู้นั้นลักลอบคบด้วยคือผู้ใด บุรุษที่มีอำนาจสูงมีตำแหน่งสำคัญ ต่อให้ถูกจับได้ว่าเป็ชู้ ผู้ใดจะกล้าจับผู้หญิงของเขาจุ่มกรงหมูกัน
เชิงอรรถ
[1] ตัวเลขแปด คือ เลขแปดในภาษาจีนคือ 八 ซึ่งคล้ายกับรอยย่นที่หัวคิ้วตอนขมวด
[2] ดอกบัวเพิ่งโผล่พ้นน้ำ หมายถึง คำอุปมาถึงหญิงสาวที่สวยงามตามธรรมชาติ ทั้งยังอุปมาว่าบทกวีใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนและไม่ธรรมดาอีกด้วย
[3] สามลัทธิเก้าสำนัก หมายถึง ลัทธิหรือกลุ่มคนที่มีความรู้ทางด้านวิชาการหรืองานศิลปะ โดยสามลัทธิ ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาขงจื้อ ศาสนาเต๋า ส่วนเก้าสำนัก หมายถึง ลัทธิหรือสำนักความรู้เฉพาะทาง แบ่งเป็สามระดับ แต่ละระดับจำแนกเป็เก้าอาชีพ ได้แก่ 1. ระดับบน (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเซียน ฮ่องเต้ ขุนนาง นักต้มสุรา โรงจำนำ พ่อค้า เ้าของที่ดิน ชาวนา) 2. ระดับกลาง (บัณฑิต แพทย์ หมอดูฮวงจุ้ย หมอพยากรณ์โชคชะตา จิตรกร หมอดูลักษณะนรลักษณ์ ปัญญาชน หลวงจีนศาสนาพุทธ นักพรตเต๋า) 3. ระดับล่าง (หมอผี นางคณิกา ม้าทรง เวรยามตีฆ้องแจ้งเวลา ช่างตัดผม นักดนตรี นักแสดงปาหี่ กระยาจก คนขายน้ำตาลเป่า) ที่มาจาก Facebook: เข้าใจไชน่า 理解中国
[4] ความสัมพันธ์ห้าประการและหลักบรรทัดฐานสาม คือ หลักจริยธรรมที่ใช้ควบคุมสังคมจีนโบราณในยุคศักดินา โดยทั้งสองอย่างมีหลักจริยธรรม มีแิและความสัมพันธ์กันไม่อาจแยกกันได้ หลักสัมพันธ์ห้าประการประกอบไปด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตร ฮ่องเต้กับขุนนาง สามีกับภรรยา พี่กับน้อง และเพื่อนกับเพื่อน คู่ความสัมพันธ์ทุกรูปแบบเป็กรอบกำหนดความสัมพันธ์ครอบคลุมทั่วทั้งสังคม ส่วนหลักบรรทัดฐานสาม ประกอบไปด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตร ฮ่องเต้กับขุนนาง และสามีกับภรรยา เป็รากแก้วค้ำจุนสังคมไว้อีกหนึ่งชั้น
[5] พื้นฐานของสังคมที่ดีสี่ คือ ความถูกต้อง ความยุติธรรม ศีลธรรมและเกียรติยศ
[6] แช่กรงหมู คือ การลงโทษหญิงหรือชายที่ผิดประเวณีลักลอบคบชู้กัน โดยผู้ถูกลงโทษจะถูกมัดมือมัดเท้ายัดเข้าไปขังในกรงหมู และโยนทิ้งลงไปแช่ในแม่น้ำทำให้เสียชีวิต สุดท้ายศพจะถูกดึงขึ้นมาและนำไปทำพิธีฝัง