หลังจากคิดจนกระจ่าง เซี่ยโม่ก็เริ่มวางแผน
หากกลับมามีการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง และถ้าเธอสอบติดมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง เธอก็จะพาคุณตาคุณยายย้ายไปอยู่ที่นั่น ซึ่งจำเป็ต้องซื้อบ้าน แต่หากไม่มีเงิน เื่ซื้อบ้านก็จะเป็แค่ความฝัน
ในเมื่อพี่ซ่งมีคนหนุนหลังดี ทั้งเป็คนที่พึ่งพาได้ เช่นนั้นเธอจะไปซื้อขายแลกเปลี่ยนของกับเขาบ่อยๆ
ต่อมาไม่นานรถก็แล่นออกจากตำบล
ถนนในตำบลเรียบและดีกว่าตามหมู่บ้านมาก พอรถแล่นเข้ามาในตัวหมู่บ้าน รถก็สั่นโคลงเคลงอย่างรุนแรง
เซี่ยเฉินเฟิงที่นั่งอยู่บนตักพี่สาวตัวสั่นโงนเงนไปตามแรงกระแทกของตัวรถ
“พี่ครับ ผมรู้สึกไม่ดีเลย ผมอยากจะอ้วก…”
เซี่ยโม่ก็รู้สึกคลื่นไส้เช่นกัน เธอเลยหันไปเอ่ยกับซ่งมู่ไป๋ว่า “พี่ซ่ง ขับช้าหน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากเปลี่ยนที่นั่งกับอาจารย์”
รถแล่นช้าลง เธอกับคุณปู่จ้าวสลับที่นั่งกัน
เธอเปิดหน้าต่างเพื่อให้ลมโกรกเข้ามาในตัวรถ
หลังจากที่เซี่ยเฉินเฟิงได้สูดอากาศบริสุทธิ์ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น
“พี่ครับ ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
“คงเป็เพราะร้อนก็เลยเมารถ งั้นก็เปิดกระจกเอาไว้แบบนี้แหละ”
คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านไม่เคยนั่งรถยนต์ รวมถึงเซี่ยเฉินเฟิงด้วย
นึกไม่ถึงเลยว่า น้องชายเวลานั่งรถเกวียนไม่เคยเมา แต่พอมานั่งรถยนต์กลับเมาเสียได้
หากให้แม่เลี้ยงรู้เื่นี้จะต้องพูดจาถากถางแน่ว่า คนที่ชีวิตเคยเจอแต่ความลำบากก็เป็แบบนี้แหละ พอได้นั่งรถดีๆ ก็เลยรู้สึกไม่สบายตัว
เธอดึงความคิดกลับคืนมา ป่านนี้แม่ดอกบัวขาวคงรู้เื่ที่ตัวเองจะต้องถูกส่งไปทำงานเป็เวลาสามเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็อย่างไรบ้าง
หวางลี่ลี่ในเวลานี้กำลังนั่งอยู่ในคุก รอให้สามีนำเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มาให้
เธอรู้ผลการตัดสินที่ออกมาแล้ว หลานชายถูกตัดสินจำคุกสิบปี ส่วนเธอจะถูกส่งตัวไปทำงานในค่ายแรงงานสำหรับนักโทษเป็เวลาสามเดือน
พรุ่งนี้เธอก็จะต้องถูกส่งตัวไปที่นั่นแล้ว ต้องไปทำงานที่นั่นถึงสามเดือน แบบนี้เท่ากับเอาชีวิตเธอชัดๆ
เธอติดต่อหาคุณรู้จัก พยายามใช้เส้นสายที่มี แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้
เธอมองแสงแดดข้างนอกหน้าต่าง นึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ จู่ๆ ทำไมเด็กโง่อย่างโม่โม่ถึงกลายเป็เด็กฉลาดขึ้นมาได้
เด็กชายที่โง่เขลานั่นก็ถูกตามตัวจนเจอและพากลับมา เธอไม่มีทางยอมเด็ดขาด
เวลานี้เอง สายตาเธอหันไปเห็นเซี่ยฟู่กุ้ยที่กำลังเดินเข้ามา
แววตาเธอเปลี่ยนเป็โเี้ ถ้าเธอไม่มีความสุข สองพี่น้องนั่นก็อย่าหวังว่าจะมีความสุขเลย
หลังจากได้ยินผลการตัดสิน เซี่ยฟู่กุ้ยรีบเอาข้าวของและเสื้อผ้ามาให้ภรรยาทันที
เขาเดินเข้าไปในโรงพักด้วยจิตใจสับสน มองภรรยาที่ถูกจับขังอยู่ในคุก จากผู้หญิงที่เคยมีหน้าตาสะสวย ตอนนี้กลับทรุดโทรมลงจนไม่เหลือเค้าเดิม
เขามองอีกฝ่ายพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ที่ฉันกับหลานชายต้องเป็แบบนี้ก็เพราะลูกสาวของคุณ…” หวางลี่ลี่ะโขึ้นมา
ตำรวจที่อยู่ไม่ไกลตะคอกกลับมาทันทีด้วยความรำคาญ “เอะอะอะไรกัน รบกวนคนอื่นเขา!”
หวางลี่ลี่พุ่งเข้าไปหาผู้เป็สามีพร้อมกับกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหู
“แบบนี้จะดีเหรอ…”
หวางลี่ลี่มองข่มขู่คนตรงหน้าด้วยแววตาโกรธแค้น “หากคุณไม่เชื่อฟังฉัน ฉันจะสวมหมวกเขียว[1]ให้คุณ!”
หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาถูกผู้คนเอาไปซุบซิบนินทาจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว กว่าเวลาแต่ละวันจะผ่านไปเขารู้สึกเหมือนนานเป็ปี หากถูกสวมหมวกเขียวอีก เขาคงไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไป
ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็ตระหนก พูดอย่างขลาดกลัวว่า “ได้ ผมยอมแล้ว”
หวางลี่ลี่ยิ้มอย่างได้ใจ “ต้องแบบนี้สิ”
ตำรวจเห็นว่าครบเวลาแล้วจึงไล่เซี่ยฟู่กุ้ยให้กลับไป
ในเวลาเดียวกัน รถกระบะขนาดใหญ่ก็แล่นเข้าไปในหมู่บ้านเซิ่งลี่
เซี่ยโม่นั่งอยู่ในรถ ไม่รู้อาการโรคหัวใจของคุณยายดีขึ้นหรือยัง คุณตากับคุณยายน่าจะยังไม่ทราบว่าน้องชายออกจากโรงพยาบาลวันนี้
เธอมองแสงอาทิตย์ด้านนอก ป่านนี้คุณตาคุณยายน่าจะกลับมาบ้านแล้ว
ครั้นเด็กที่กำลังเล่นกันอยู่เห็นรถกระบะแล่นเข้ามาในหมู่บ้าน สายตาต่างจับจ้องไปที่รถเป็ตาเดียว ก่อนจะวิ่งตามไป พร้อมกับร้องะโอย่างสนุกสนาน
พอเด็กทุกคนเห็นว่ารถไปหยุดหน้าบ้านอู๋ต่างตาโตด้วยความตะลึงคาดไม่ถึง
ในหมู่บ้าน ใครต่างก็รู้ว่าสองสามีภรรยาบ้านอู๋ไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียง อยู่ในจำพวกไม่โดดเด่นสะดุดตา
หากั้แ่หลานสาวหลานชายย้ายมาอยู่ด้วย ก็มักมีเื่เกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน จนเป็ที่รู้จักและจดจำของคนทั้งหมู่บ้าน
เซี่ยโม่เปิดประตูรถ ก่อนจะอุ้มน้องชายลงมา
ทันทีที่วางเซี่ยเฉินเฟิงลงบนพื้น เด็กชายก็พุ่งเข้าไปในบ้านประหนึ่งจรวด พร้อมกับะโหาคุณตาคุณยายสุดเสียง “คุณตาคุณยาย ผมกลับมาแล้วครับ”
พอได้ยินเสียงหลานชาย คุณตารีบเดินออกมาดู ก่อนจะเห็นหลานชายวิ่งพุ่งเข้ามา
คุณตาอุ้มหลานชายขึ้นมาด้วยความรักใคร่พลางกล่าวเตือน “เฉินเฟิง ช้าๆ ก็ได้…”
เซี่ยเฉินเฟิงเอ่ยถามอย่างเป็ห่วง “คุณยายเป็ยังไงบ้างครับ”
“เฉินเฟิง แค่ได้ยินเสียงหลานยายก็หายดีแล้ว” คุณยายเดินออกมาจากในบ้านพอดี
พอได้เห็นคุณยายเซี่ยเฉินเฟิงรีบพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คุณยายครับ พี่ซื้อของมาเต็มไปหมดเลย…”
พูดยังไม่ทันจบดี เซี่ยโม่ก็เดินถือของมากมายเข้ามา
เด็กชายตัวน้อยกล่าวอย่างโอ้อวด “คุณยาย ดูสิครับ คุณลุงตำรวจเก่งมากเลย เอาของที่ถูกขโมยไปกลับคืนมาได้หมดเลย”
ใจที่เคยเคร่งเครียดของคุณตาคุณยายผ่อนคลายลงมาก ดีใจจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเอ่ย ได้แต่พูดคำว่าดีซ้ำไปซ้ำมา
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เซี่ยโม่เอาเนื้อมาทำอาหารสี่ห้าอย่าง ก่อนจะนำมาวางบนโต๊ะ นอกจากนี้แล้วบนโต๊ะยังมีซาลาเปาไส้เนื้อที่อาจารย์ซื้อมาและหมูตุ๋นที่ซ่งมู่ไป๋เอามาฝาก ทุกคนนั่งล้อมวงรับประทานอาหารด้วยกัน
หลังจากกินข้าวเสร็จ ซ่งมู่ไป๋เดินไปที่รถ พอไปถึงตัวรถกลับเห็นว่าที่ท้ายกระบะมีเด็กในหมู่บ้านปีนขึ้นไปเล่นอยู่เต็มไปหมด
พอเด็กในหมู่บ้านเห็นว่าเ้าของรถกลับมา ต่างพากันปีนลงจากท้ายรถแล้ววิ่งหนีกระเจิดกระเจิงจากไป
ซ่งมู่ไป๋ยิ้มอย่างจนปัญญา “เด็กพวกนี้นี่แปลกจริงๆ”
“เมื่อกี้ฉันมัวแต่กินข้าวเลยไม่ได้ออกมาดู…” เซี่ยโม่เอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็ไรหรอก ก็แค่เด็กปีนขึ้นมาเล่นเท่านั้น”
ซ่งมู่ไป๋ยิ้มอย่างใจกว้าง แล้วขึ้นไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับ ก่อนจะจากไปไม่วายกำชับกับเด็กสาว “หลังจากนี้ถ้ามีเื่อะไรก็โทรหาฉันได้ตลอดเลยนะ”
เซี่ยโม่หันไปมองรอบๆ พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ จึงเอ่ยถามชายหนุ่มด้วยเสียงไม่ดังนัก “พี่พอหาคูปองสำหรับซื้อรถจักรยานได้ไหมคะ ฉันอยากซื้อรถจักรยานสักคัน”
ซ่งมู่ไป๋นึกขึ้นได้ว่า อีกไม่กี่วันเด็กสาวก็จะเปิดเทอมแล้ว ทั้งยังเคยบอกเขาอีกว่า้าสอบข้ามชั้น หากสอบข้ามชั้นได้ก็จะต้องไปเรียนในตำบล ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านราวครึ่งกิโลเมตร ถ้ามีจักรยานก็จะเดินทางได้สะดวก
“ฉันจะลองหาวิธีดู น่าจะหาได้อยู่”
“ฉันไม่รีบค่ะ หากมีความคืบหน้าก็บอกฉันนะคะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะสอบข้ามชั้นขึ้นไปเรียนชั้นมัธยมปลายได้หรือเปล่า ถ้าอาศัยแค่การสอบอย่างเดียวฉันไม่กลัว”
“ฉันมีคนรู้จักอยู่ในโรงเรียนมัธยมปลาย ถ้าโรงเรียนไม่ให้เธอสอบก็มาหาฉันได้”
เซี่ยโม่นึกยินดีอยู่ในใจ พี่ซ่งนี่สุดยอดไปเลย มีคนรู้จักไปทั่ว
เธอกลับมามีความหวังอีกครั้ง “พี่ซ่ง ถ้าฉันเอาไม่อยู่ เดี๋ยวฉันโทรหาพี่นะคะ”
“ได้”
หลังจากซ่งมู่ไป๋กลับไป คุณปู่จ้าวได้จัดยาสมุนไพรให้แก่เซี่ยเฉินเฟิง “ดื่มวันละสองครั้ง หากดื่มตามนี้ก็ไม่เป็อะไรแล้ว”
“อาจารย์คะ จู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าบ้านอาจารย์ยังไม่มีพวกเครื่องครัว งั้นอาจารย์ก็มากินข้าวที่นี่ก่อนแล้วค่อยไปที่โรงตรวจ แบบนี้ดีไหมคะ”
“ฝีมือทำกับข้าวของเธอไม่เลวเลย งั้นฉันคงต้องขอรบกวนฝากท้องกับเธอด้วย”
สองสามีภรรยานึกถึงข้าวของมากมายที่เหล่าจ้าวเคยให้มาก่อนหน้านี้ เอ่ยขึ้นมาว่า “พี่จ้าว คุณอย่าได้เห็นพวกเราเป็คนนอก คุณเป็อาจารย์ของโม่โม่ก็ถือว่าเป็คนครอบครัวเดียวกัน ต่อไปอย่าพูดจาเหมือนเราเป็คนนอกแบบนี้อีกนะ”
เหล่าจ้าวฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน สองสามีภรรยามีน้ำใจ ส่วนโม่โม่ก็เอาใจใส่ ได้เจอทั้งสามคนตอนอายุปูนนี้ถือว่าเป็โชคดีของเขาจริงๆ
—------------------------
[1] สวมหมวกเขียว หมายถึง สวมเขา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้