เป็ไปดังคาด มีผู้คนมากมายจนไม่มีพื้นที่ให้ก้าวเดิน เจียงเฉิงเยว่เหลือบไปเห็นโต๊ะของแขกที่ดื่มชาเสร็จแล้ว เขารีบลากหลี่อวิ๋นหังผ่านฝูงชน กำลังจะเบียดเข้าไปกลับได้ยินนักเล่าเื่ที่ดูเหมือนจะเอ่ยชื่อกับสถานที่อันคุ้นเคย ฉับพลันเขาหยุดชะงัก
นักเล่าเื่ผู้นั้นกล่าว “หาก้าพูดคุยเกี่ยวกับหลิงเยว่เฟิงของสี่ขุนเขาเจ็ดดอย ต้องกล่าวถึงจวนก่วงหลิง และเมื่อพูดถึงจวนก่วงหลิงก็ต้องพูดถึงตระกูลเจียงของจวนก่วงหลิง...ตระกูลเจียงนี้โด่งดังที่สุดคือการสังหารหมู่ทั้งตระกูลใน่ปีแรกของราชวงศ์ก่อน ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ทอดถอนใจว่าความกรุณา ความชอบธรรม และความกตัญญูนั้นยากที่จะทำให้สำเร็จ ถ่มน้ำลายใส่ญาติพี่น้อง เข่นฆ่าบิดาและทำลายล้าง เสียดายชีวิตหนุ่มสาวที่ดิ่งลงสู่ธารใต้พสุธา1 ถอนใจอย่างเวทนายามกล่าวถึงไปชั่วนิจนิรันดร์’ และเหตุผลในเื่นี้ ทุกท่านโปรดฟังข้าอย่างถี่ถ้วน... “
เจียงเฉิงเยว่ร่างแข็งทื่ออยู่ที่เดิม สีหน้าเปลี่ยนเป็ขาวซีดในทันใด หลี่อวิ๋นหังมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความใและเ็ปอย่างแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับว่าตระหนักถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นหันไปมองนักเล่าเื่ที่พูดจนน้ำลายกระเด็น ใช้พัดคลี่และไม้ปลุกสติอยู่ที่ตรงกลาง
เป็เวลานาน เจียงเฉิงเยว่ถึงได้สติกลับคืน ทันใดนั้นเขาจับแขนเสื้อของหลี่อวิ๋นหังแน่น พยายามที่จะฉีกรอยยิ้มซึ่งอาจดูน่าเกลียดยิ่งกว่าการร้องไห้ พูดอย่างสะเปะสะปะ “อาหัง...ข้า...จู่ๆ ไม่ค่อยหิวเท่าไร พวกเราออกไปเดินเล่น...แล้วอีกสักพักค่อยกลับมาดีหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้านิ่ง เจียงเฉิงเยว่จึงดึงแขนเสื้อของหลี่อวิ๋นหังอีกครั้ง หลีกหนีราวกับกำลังเอาชีวิตรอดออกจากโรงน้ำชาแห่งนั้น หลี่อวิ๋นหังไม่ได้ถาม เพียงปล่อยให้เขาลากวิ่งไปไกลจนเกือบจะวิ่งไปจนสุดเมืองเล็กแห่งนี้ เมื่อเห็นประตูเมือง เจียงเฉิงเยว่จึงได้สติกลับคืนมาโดยพลัน
เขาชะลอเท้าพลางหันศีรษะกลับไปยังหลี่อวิ๋นหังที่อยู่ด้านหลัง หลี่อวิ๋นหังเพียงมองกลับมาที่เขาด้วยแววที่ลุกโชน ราวกับว่ามีคำพูดเป็พันหมื่นคำ แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
เจียงเฉิงเยว่หอบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็สงบสติอารมณ์ได้เล็กน้อย เมื่อเห็นว่ามีคนวาดภาพน้ำตาล2 อยู่ไม่ไกล จึงแสร้งทำเป็ยิ้มอย่างเบิกบานแล้วบอก “อาหังเคยกินหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังมองแวบหนึ่งแล้วส่ายศีรษะ
เจียงเฉิงเยว่บอก “เช่นนั้นพวกเราไปซื้อกันเถอะ...มันหวานมาก ขอให้พ่อค้าวาดรูปสวยๆ ให้เ้า อาหังอยากได้รูปอะไร?”
ทั้งสองกินและเที่ยวเล่นกันเป็เวลานาน ในที่สุดเจียงเฉิงเยว่ก็ลืมความหวาดผวาที่เพิ่งประสบในโรงน้ำชาเมื่อครู่ ค่ำคืนล่วงเลยผ่านไป ทั้งสองหอบของเล่นชิ้นเล็กที่ซื้อมาจนเต็มแขนอย่างไม่เต็มใจที่จะเดินกลับไปนัก
เจียงเฉิงเยว่ถามด้วยรอยยิ้ม “อาหังยัง้าซื้ออะไรอีกหรือไม่? ครั้งต่อไปที่ต้องลงจากเขาฉีหวน ไม่แน่ว่าจะเป็ปีไหน...”
หลี่อวิ๋นหังส่ายศีรษะบอกด้วยเสียงต่ำ “ไม่้าอะไรแล้ว”
“จริงหรือ?” เดิมทีเจียงเฉิงเยว่ถามไปอย่างนั้น พอเห็นว่าหลี่อวิ๋นหังไม่ตอบเป็เวลานานจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาหยุดเดินแล้วหันศีรษะกลับมา
หลี่อวิ๋นหังหยุดฝีเท้านานแล้ว จึงอยู่ห่างจากเขาสองหรือสามก้าว กำลังจ้องมองแผ่นหลังของเขาอย่างเหม่อลอย เมื่อเห็นเขาหยุดเดินแล้วหันศีรษะกลับมาถึงเผยความประหลาดใจบนหน้า ก่อนรีบไล่ตามมา
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกว่าอีกฝ่ายแปลกออกไป หลี่อวิ๋นหังกลับมาจับมือของเขาอย่างแรงจนถึงขั้นเ็ปอยู่เล็กน้อย มือของเด็กหนุ่มอบอุ่น เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้สลัดออก หลี่อวิ๋นหังเริ่มกล่าวอย่างจริงจัง “ข้ามีเสด็จพี่อยู่ด้วยก็เพียงพอแล้ว...สิ่งอื่นข้าล้วนไม่้า”
หัวใจของเจียงเฉิงเยว่หยุดไปชั่วขณะ
เมื่อดวงตาทั้งสองคู่สบกัน ราวกับมีอะไรบางอย่างที่ฝังรากอยู่ในหัวใจ พลันรู้สึกคันยุบยิบจนอยากตาย เหมือนกับว่าเพียงรอให้แตกออกมาจากอกเท่านั้น
“อาหัง...”
“เสด็จพี่...”
ทั้งสองเรียกนามของอีกฝ่ายพร้อมกัน ต่างก็ตะลึงงัน เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้มบอก “เ้าพูดก่อน”
หลี่อวิ๋นหังกำลังจะเปิดปากพูด ทันใดนั้นคนสัญจรสองสามคนบนถนนกลับส่งเสียงอุทาน ขณะเดียวกันมีเสียงเกือกม้าวิ่งจากที่ไกลๆ เข้ามาใกล้อย่างรีบร้อน ในความโกลาหลนั้นเจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังตอบสนองไม่ทันยามที่กลุ่มคนขี่ม้ามาถึงตรงหน้าอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นหลี่อวิ๋นหังออกแรงดึง หมุนตัวมาโอบกอดเขาไว้แนบอก พาหลบไปอย่างรวดเร็ว
ด้านหลังของเจียงเฉิงเยว่เป็ตรอกแคบแห่งหนึ่ง ร่างกายสูญเสียการทรงตัว เขาจึงล้มลงไปด้านหลัง แม้แต่หลี่อวิ๋นหังที่กอดเขาอยู่ยังถูกทำให้เอียงตามไปด้วย ดีที่กำแพงด้านหลังอยู่ติดกับกับซุ้มประตูทางเข้าตรอก หลี่อวิ๋นหังรีบยื่นมือไปค้ำกำแพงที่ซุ้มประตู ถือโอกาสโอบเอวของเขาเมื่อเท้าสะดุดธรณีประตู จึงช่วยเขาให้พ้นจากท่าทางน่าอับอายที่อาจต้องล้มลงกับพื้น
ด้วยความโกรธเคืองในใจ เจียงเฉิงเยว่จึงก้าวเข้าไปในธรณีประตูแล้วยืดตัวตรง ้าจะดุด่าชายหนุ่มที่ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ด้วยท่าทางหยิ่งยะโสมาจากไหนไม่รู้ อยู่ในเมืองเล็กๆ เช่นนี้ยังจะโอ้อวดอำนาจอะไรอีก...ขณะเดียวในใจกลับครุ่นคิดดุด่าอีกครา ก่อนจะรู้สึกเหมือนว่ามีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง และสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่สุดในตอนนี้ควรจะเป็หลี่อวิ๋นหัง...ที่โอบเอวของเขาไว้เป็เวลานานโดยไม่ปล่อยมือ เผยท่าทางกำกวมเป็อย่างยิ่ง ฉับพลันกลับโอบรอบเอวเขาแแ่ขึ้น
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปชั่วครู่ แม้ว่าตอนกลางคืนจะมีคนสัญจรริมถนนน้อย และสถานที่นี้ตั้งอยู่ที่เปลี่ยว ยากที่จะถูกผู้คนพบเห็น...ถึงอย่างไรก็เป็บนถนนใหญ่ เขาจึงยื่นมือไปผลักอีกฝ่าย บอกด้วยความลำบากใจ “อาหัง...ปล่อยข้าเถอะ”
ทว่าหลี่อวิ๋นหังไม่ฟัง กลับยิ่งก้าวมาข้างหน้า บังคับให้เจียงเฉิงเยว่ต้องนำเท้าอีกข้างถอยเข้าไปในซุ้มประตู ถูกอีกฝ่ายใช้ร่างกายกั้นไว้ ทั้งยังเข้าไปยังด้านในที่มืดมิดยิ่งกว่าเดิม
หน้าอกของร่างตรงหน้าที่แนบชิดกับตนเอง มีเสียงหัวใจเต้นโครมครามดังแว่วมาแ่เบากับอุณหภูมิที่แผดเผา “อาหัง...”
หลี่อวิ๋นหังตอบกลับเขาด้วยลมหายใจร้อนที่เข้ามาประชิดอย่างกะทันหัน ก่อนจะรู้สึกถึงัันุ่มนวลที่ริมฝีปาก...ทั้งร่างของเจียงเฉิงเยว่สามารถใช้คำว่าแข็งทื่อราวกับไก่ไม้3 มาอธิบายได้! การมองเห็นที่ถูกจำกัดในความมืดทำให้ประสาทััทั้งห้าที่เหลือมีความแข็งแกร่งและเฉียบคมยิ่งขึ้น ความร้อนที่ส่งผ่านจากริมฝีปากนั้นราวกับว่าเป็ภาพมายาที่จะกลืนกินทั้งร่างด้วยเปลวเพลิง เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงจนเบิกตากว้าง อีกทั้งลืมที่จะตอบสนองอย่างสมบูรณ์
หลี่อวิ๋นหังเพียงใช้ริมฝีปากของตนเองแตะที่ริมฝีปากของเสด็จพี่แ่เบาแล้วผละออก หลังสิ้นสุดการจุมพิตอันไร้เดียงสาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว เสียงลมหายใจในความมืดนั้นกลับลึกล้ำกว่าปกติ โทนเสียงต่ำและทุ้ม เสียงแหบแผดเผาที่ไม่คุ้นเคยซึ่งลังเลอยู่เป็เวลานานถึงเอ่ยออกมา “ข้ามีความสุขมาก...”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งค้างเป็เวลานานถึงรู้สึกตัวแล้วตอบรับไปราวกับคนโง่ “หืม?”
หลี่อวิ๋นหังกอดเขาแน่นยิ่งขึ้นโดยมือข้างหนึ่งโอบรอบเอวของเขาจนแทบจะหัก ส่วนมืออีกข้างโอบไหล่ของเขาไว้แน่น หน้าอกของทั้งสองแนบชิดกัน หัวใจทั้งสองดวงเต้นอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ได้นัดหมาย หลี่อวิ๋นหังวางคางไว้บนไหล่ของเขา ลมหายใจเบาๆ ลูบไล้ที่ข้างหู ส่งผลให้เจียงเฉิงเยว่สั่นสะท้านไม่หยุด
หลี่อวิ๋นหังเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ข้ามีความสุขมาก...ที่เสด็จพี่เต็มใจจะกลับไปเขาฉีหวนกับข้า”
โอ้...แต่วิธีการแสดงออกว่ามีความสุขของเ้ามัน...แปลกไปหน่อยกระมัง! เด็กหนุ่ม! สุดท้ายแล้วเ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองเพิ่งทำอะไรลงไป? ในใจของฉิงชางจวินวัยเกือบสองร้อยปีกำลังร้องคำราม
สหายตัวน้อย เ้ากำลังยั่วยวน นี่คือการยั่วยวนนะรู้หรือไม่! ไม่ต้องกล่าวว่าคนตรงหน้าผู้นี้ เดิมทีก็มีความคิดไม่บริสุทธิ์กับเ้า แม้ว่าเ้าจะไม่ได้มีเจตนาในเชิงนั้น แต่ถูกเ้ากระทำเช่นนี้ถึงสองครั้ง ไม่แน่ว่าจะยืนหยัดต่อไปได้...ไม่ได้การเสียแล้ว! ฉิงชางจวินคิดเงียบๆ ภายในใจขมขื่น แม้ว่าตนเองจะมีชื่อเสียงไม่ดี ทว่าต่อให้เขาโเี้ยิ่งกว่าสัตว์อย่างไร เขาก็ไม่สามารถลงมือกับเด็กได้! ไม่ต้องกล่าวถึงว่าตอนนี้อีกฝ่ายอาจยังไม่เข้าใจ หากในอนาคตเข้าใจแล้วคงจะเสียใจ...เขาจะไม่พังทลาย เจียงเฉิงเยว่รู้สึกว่าเวลานั้น หากดาวหลวนแดงเคลื่อนย้าย4 หรือต้นไม้เหล็กออกดอก5 ตนเองต้องพังทลายจนกระอักเืเป็แน่...หลังจากนั้นไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรได้อีกบ้าง
หัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งของเจียงเฉิงเยว่สงบลงเล็กน้อย จากนั้นแสร้งยิ้มตามปกติและพูด “ฮ่าๆๆ ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร”
หลี่อวิ๋นหังโอบเขาแล้วพูดต่อ “ข้าเคยรับปากกับเสด็จพี่แล้ว ไม่ว่าเสด็จพี่จะเลือกอย่างไร ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
หลี่อวิ๋นหัง “แต่ข้าไม่ชอบกลิ่นเครื่องสำอางของผู้อื่นที่ติดบนตัวของเสด็จพี่เป็อย่างยิ่ง...หากเสด็จพี่เลือกที่จะอยู่ในโซ่วหลิงต่อ เช่นนั้นแม้ว่าจะไม่ชอบ...ก็ไม่อาจพูดออกมาได้ตลอดไป”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนเข้าใจความหมาย เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่เ้าไปตามหาข้าวันนั้น เห็นข้ายืนอยู่กับแม่นางผู้นั้นหรอกหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังไม่ตอบกลับ เวลาผ่านไปจึงส่งเสียงไม่พอใจออกมาเบาๆ
เจียงเฉิงเยว่ปล่อยอีกฝ่ายแล้วถือโอกาสบิดหน้านั้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เ้าคนขี้หึง”
หลี่อวิ๋นหังส่งเสียง “อืม” ด้วยความเคร่งขรึมอย่างคาดไม่ถึง ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
ภายในใจของเจียงเฉิงเยว่เต็มไปด้วยความหวาน แต่สิ่งที่ควรสั่งสอนก็ยังต้องสั่งสอน ไม่ว่าคนผู้นี้ในปัจจุบันจะมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเป็เ้าของตนเองเช่นนี้ โดยเกิดจากความรู้สึกประเภทนั้นที่เขาก็้า หรือเป็เพียงการพึ่งพาต่อพี่ชายอย่างบริสุทธิ์ใจ ทว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้อยู่ในวัยผู้ใหญ่ หากยังทำพฤติกรรมที่เกินขอบเขตอย่างตามใจเช่นนี้ด้วยล้วนเป็สิ่งที่เจียงเฉิงเยว่ไม่้า เพราะเขาไม่แน่ใจจริงๆ ว่าตนเองจะสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “อาหัง...มีความสุขก็ส่วนมีความสุข ต่อไปเ้าไม่อาจทำตามใจเช่นนี้กับเสด็จพี่ได้อีก”
หลี่อวิ๋นหังตะลึงงัน หลังจากนั้นลดเสียงที่มีความโมโหอยู่หลายส่วน “เพราะเหตุใด?”
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “ตอนนี้เ้ายังเด็กเกินไป”
หลี่อวิ๋นหัง “...”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวต่อ “รอวันเวลาผ่านไปสักหน่อย...รอให้เ้าเป็ผู้ใหญ่ก่อนเถิด”
หลี่อวิ๋นหังตอบกลับ “มีอะไรแตกต่างมากนักหรือ? ทำไมท่านถึงทำเหมือนข้ายังเป็เด็กอยู่เสมอ?!”
เจียงเฉิงเยว่พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “อาหัง...อย่าเพิ่งทะเลาะกับข้าในตอนนี้ ค่อยพูดเื่นี้เมื่อเ้าโตขึ้น”
หลี่อวิ๋นหังเอ่ยอย่างเ็า “จะในอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต ข้าชัดเจนมากว่าตนเองกำลังทำอะไร และชัดเจนมากว่าตนเอง้าอะไร”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง จากนั้นคว้ามือของอีกฝ่ายพร้อมพูดอย่างหนักแน่น “ข้ารู้...อีกเพียงไม่กี่เดือนข้างหน้าก็พอ รอให้เ้าอายุครบสิบห้าปี ค่อยพูดกันเวลานั้น ยังมี...เมื่อถึงตอนนั้น...ข้ามีบางเื่ต้องบอกเ้า” เขาไม่ได้คิดที่จะแสร้งเป็หลี่อวิ๋นเฉินไปตลอดชีวิต เขาไม่้าใช้ตัวตนของหลี่อวิ๋นเฉินเพื่ออยู่เคียงข้าง...หากเขายืนยันว่าความรู้สึกที่มีต่อหลี่อวิ๋นหังของตนเองเกินขอบเขตไปแล้ว ย่อมหวังให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนตกหลุมรัก
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “เมื่อถึงเวลานั้นเ้าค่อยตัดสินใจอีกครั้ง...ได้หรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหัง “...”
เจียงเฉิงเยว่ส่งเสียงนุ่มนวลอีกครั้ง ถึงขั้นอ้อนวอนอยู่เล็กน้อย “ดีหรือไม่?”
หลังจากนั้นหลี่อวิ๋นหังถอนหายใจ พยักหน้าอย่างเงียบงัน
.............................
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงโรงเตี๊ยม พระจันทร์ขึ้นกลางฟ้าแล้ว กินจนอิ่ม ดื่มจนพอ เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานเต็มที่ เจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังแยกกันบริเวณใต้อาคาร จากนั้นปีนกำแพงเข้าไปในห้องของตนเองด้วยรอยยิ้ม หลังจากเจียงเฉิงเยว่เปิดหน้าต่างแล้วเข้าไปยังกำชับ “รีบเข้านอนเถอะ ยังต้องตื่นเช้าเพื่อกลับเขาฉีหวน่เช้าของวันพรุ่งนี้”
หลี่อวิ๋นหังตอบกลับ “อืม”
เมื่อเจียงเฉิงเยว่เห็นอีกฝ่ายเข้าห้องไปแล้ว จึงะโเข้าไปในห้องของตนเองเบาๆ ภายในห้องมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์ส่องผ่านช่องหน้าต่าง ทั่วทั้งโรงเตี๊ยมเงียบสงบ มีเพียงเสียงเคลื่อนไหวแ่เบาเล็กน้อยที่ดังมาจากทางด้านหลี่อวิ๋นหัง
เจียงเฉิงเยว่พิงกำแพงอยู่เป็เวลานาน ในที่สุดก็ถอนหายใจเล็กน้อย กล่าวกันตามตรงแล้ว อีกไม่กี่เดือน หลังจากหลี่อวิ๋นหังรู้ว่าเดิมทีเขาไม่ใช่เสด็จพี่ทั้งยังเป็ตัวปลอม...เจียงเฉิงเยว่ไม่แน่ใจว่าการพึ่งพาและความปรารถนาที่จะของอีกฝ่ายที่มีต่อตนจะไม่เปลี่ยนแปลง
เขาจะโกรธมากเมื่อรับรู้ว่าตนเองโดนหลอกลวงหรือไม่...
เจียงเฉิงเยว่ยิ่งคิดกลับยิ่งกระวนกระวายใจจึงเลิกครุ่นคิด เดินไปที่หน้าโต๊ะเพื่อเตรียมไขไส้ตะเกียงสำหรับจุดไฟ ทันใดนั้นกลับพบเงาร่างสีดำอยู่หน้าโต๊ะที่ดูเหมือนว่าจะเป็มนุษย์ เจียงเฉิงเยว่ใ เท่ากับว่าคนผู้นี้นั่งอยู่ในห้องของเขาอย่างเงียบงันมานานแล้วมิใช่หรือ?!
“แค่กๆ” เจียงเฉิงเยว่แกล้งกระแอมเพื่อดึงดูดความสนใจของอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ ระยะทางใกล้เช่นนี้กลับไม่รู้สึกถึงพลังหยาง และััไม่ได้ถึงพลังหยิน...ราวกับหุ่นจำลองที่ไร้ลมหายใจ ในใจของเจียงเฉิงเยว่พลันมีเสียงระฆังดังขึ้น เขาไม่รีบร้อนที่จะเข้าไปใกล้ คนผู้นั้นนั่งอยู่ในเงามืดของแสงจันทร์ เพียงเกือบจะแยกรูปร่างใต้แสงสลัวออกได้...อีกทั้งรูปร่างนี้ค่อนข้างคุ้นเคย
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงก่อนรีบยื่นมือไปผลัก เขาจำได้แล้ว นี่คือขันทีชุดสีม่วงที่มีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาข้าราชบริพารที่ติดตามเขามาตลอด เขาจึงเรียกด้วยเสียงต่ำ “หัวหน้าขันที...”
อย่างไรก็ตาม ‘ฟุ่บ’ คนผู้นั้นไถลลงจากโต๊ะ ล้มลงไปนอนบนพื้น
เจียงเฉิงเยว่ใ รีบคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วยื่นมือไปตรวจสอบหลอดเืแดงใหญ่ที่ลำคอของคนผู้นั้น ชีพจรหยุดเต้นแล้วอย่างที่คาดคิด ิัเย็นเยียบ หากเป็คนที่มีชีวิตจะไม่ไร้พลังหยาง หากเป็ศพพวกเขาเพิ่งแยกจากกันไม่นาน และศพกระจายพลังหยินใน่เวลาสั้นๆ เช่นนี้...
เจียงเฉิงเยว่ใช้จิติญญาในการตรวจสอบเล็กน้อย ทันใดนั้นกลับพบว่าในขอบเขตรัศมีครึ่งลี้ทั้งหมดของโรงเตี๊ยมเป็เหมือนสุญญากาศ ทุกอย่างเป็สภาพนี้ ค้นหาไม่พบหยางดั้งเดิม อีกทั้งยังค้นหาไม่พบพลังหยิน นอกจากหลี่อวิ๋นหังที่เพิ่งกลับมาพร้อมเขาที่ห้องถัดไปเท่านั้น ครู่ต่อมา เจียงเฉิงเยว่รับรู้ถึงอะไรบางอย่าง เขารีบร่ายเคล็ดวิชาเพื่อสร้างเขตอาคมที่แข็งแกร่งในห้องของหลี่อวิ๋นหังที่อยู่ห้องข้างๆ อย่างเงียบงัน เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีผู้ใดหรือพลังหยินชั่วร้ายสามารถเข้าไปทำร้ายอีกฝ่ายได้ จากนั้นเขาเปิดหน้าต่างเบาๆ อีกครั้งแล้วพลิกตัวะโขึ้นไปบนหลังคา ด้วยการใช้ประโยชน์เล็กน้อยจึงข้ามมาอยู่บนต้นไหว6 ขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างโรงเตี๊ยม ระหว่างที่ขึ้นลงหลายครั้งเขาออกจากโรงเตี๊ยมแห่งนั้นไป โดยจงใจหยิบหยกคู่เพลิงสุวรรณมาใส่ไว้ในแขนเสื้อ เพื่อให้ลมปราณของตนเองกับหลี่อวิ๋นเฉินนั้นเปิดเผย
เป็ไปดังที่คาดคิด ไม่นานเขารู้สึกถึงลมหนาวะเืพัดมาจากด้านหลัง เวลานี้เจียงเฉิงเยว่ไม่คิดแม้แต่น้อย เขาใช้พลังิญญาบินออกไปโดยตรง ทิ้งกลุ่มพลังหยินชั่วร้ายไว้ด้านหลัง
เมื่อบินไปได้สามหรือห้าลี้จึงเห็นลานขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า วัดในลานนั้นกว้างใหญ่ กลับเป็วัดเสวียนชางจินเชวียเทียนจวินแห่งหนึ่ง เจียงเฉิงเยว่ลงมาบนหลังคา ก่อนที่พลังหยินชั่วร้ายจะเข้ามาประชิดจากทางด้านหลัง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมเบิกเนตรหยิน7 เมื่อเหลือบมองจึงเห็นว่าเป็กลุ่มิญญาเร่ร่อนชั่วร้าย ทั้งหมดถูกิญญาที่มีหยางเดิมของคนเป็กระตุ้นให้ดุร้ายมากยิ่งขึ้น พวกมันพุ่งเข้ามาโดยไม่สนสิ่งใด เขาจึงกุมหยกคู่เพลิงสุวรรณที่อยู่ในแขนเสื้อ ยืมพลังหยางของจิ้งจอกเพลิงเพื่อเผาชั้นที่พุ่งเข้ามาใกล้ที่สุดจนกลายเป็ควันสีคราม เหล่าิญญากระจัดกระจาย
ิญญาเร่ร่อนชั่วร้ายที่กำลังปกคลุมเขาส่งเสียงกรีดร้องชวนให้น่าสังเวช
หยกคู่เพลิงสุวรรณควบรวมเป็เขตอาคมสีแดงเพลิง ห่อหุ้มทั้งตัวเขาเอาไว้
เจียงเฉิงเยว่มองกลุ่มผีร้ายที่ราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟแล้วค่อยๆ ตกลงกลายเป็ควัน จากนั้นยิ้มเย้ยหยันและพูดเสียงดัง “แม้ว่าจะมีคำกล่าวว่า ‘หงส์ที่ไร้ขนไม่ดีเท่าไก่8 ’ แต่เ้าคงไม่ได้คิดจริงๆ หรอกนะว่า...เพียงอาศัยของเล่าเหล่านี้จะสามารถทำร้ายข้าได้สักเล็กน้อยกระมัง?”
ภายในวัดที่เงียบสงบด้วยความมืดมิด นอกจากเสียงกรีดร้องของเหล่าิญญาเร่ร่อนชั่วร้ายที่ข้างกายของเจียงเฉิงเยว่แล้วกลับไม่มีเสียงอื่นใดอีก
เจียงเฉิงเยว่เลิกคิ้วก่อนพูดอย่างเ็า “ในเมื่อมาแล้ว...ยังกลัวที่จะแสดงตัวอีกหรือ?”
ครั้งนี้มีเสียงหัวเราะ ‘พรืด’ ดังแว่วมาเล็กน้อยจากในความมืด หลังจากนั้น ใต้ท้องฟ้ายามราตรีพลันควบรวมเป็เงาคนในชุดสีดำผู้มีร่างสูงใหญ่ ชายหนุ่มมีสีผิวขาวจัดราวกับหิมะ สวมเครื่องประดับคิ้วสีมรกต ใบหน้างดงามจนถึงขั้นดูขี้เล่นอยู่เล็กน้อย ชายหนุ่มก้มศีรษะลงนิดหน่อยราวกับทนไม่ได้พลางยกยิ้ม เป็เวลานานถึงพูด “ฉิงชางจวิน...ไม่ได้พบกันนาน”
------------------------
[1] ธารใต้พสุธา หมายถึง ปรโลก
[2] วาดภาพน้ำตาล หมายถึง การวาดน้ำตาลเป็รูปต่างๆ เสียบไม้
[3] แข็งทื่อราวกับไก่ไม้ เป็สำนวน หมายถึง ตกตะลึงแข็งทื่อเหมือนกับไม้แกะสลักรูปไก่
[4] ดาวหลวนแดงเคลื่อนย้าย หมายถึง ดวงความรักมีเกณฑ์จะได้แต่งงานโดยเร็ว
[5] ต้นไม้เหล็กออกดอก หมายถึง เื่ที่เกิดขึ้นได้ยาก
[6] ต้นไหว หมายถึง ต้นฉัตรจีน
[7] เนตรหยิน หมายถึง ดวงตาที่มองเห็นผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติตามตำนาน
[8] หงส์ที่ไร้ขนไม่ดีเท่าไก่ เป็สำนวน หมายถึง ผู้มีฐานะสูงส่งที่สูญเสียฐานะจนไม่อาจเปรียบกับคนธรรมดาได้
