หมี่หลันเยว่ย่อตัวลงตรงหน้าคุณยายอีกครั้ง คราวนี้เธอออกจะเกรงใจอยู่บ้าง เมื่อถามย้ำ
“คุณยายคะ ขอบคุณมากนะคะ ถ้าอย่างนั้นพอจะบอกที่อยู่ที่แน่นอนกว่านี้ได้ไหมคะ หนูอยากลองไปดูสักหน่อย เผื่อว่ามันจะเป็อย่างที่หนู้าก็ได้ค่ะ”
คุณยายมองหมี่หลันเยว่ ดวงตาที่พร่ามัว มองไม่ค่อยชัด แต่ก็พอเห็นว่าเป็สาวน้อยหน้าตาสะสวย คุณยายชอบสาวน้อยสวยๆ ก็เลยพูดคุยมากขึ้น
“สาวน้อย อยากซื้อบ้านหลังใหญ่เหรอ โชคดีจังเลย บ้านหลังนั้นใหญ่มากเลยละ”
“แต่ก็เพราะมันใหญ่นี่แหละ เลยขายไม่ออกมานานแล้ว แถมยังมีคนเช่าอยู่เยอะแยะ สาวน้อย ต่อให้ซื้อบ้านได้ ก็ปวดหัวเปล่าๆ คนเช่าพวกนั้นไล่ก็ยาก มีเป็สิบครอบครัวเชียวนะ แถมบ้านก็ใหญ่ แต่ทำเลที่ตั้งดีจริงๆ นั่นแหละ”
ฟังคุณยายพูดไปเรื่อยๆ หมี่หลันเยว่ก็ไม่ได้ใจร้อน ข้อมูลยิ่งละเอียดก็ยิ่งดี เธอจะได้เตรียมตัวรับมือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ หมี่หลันเยว่เลยนั่งยองๆ ฟังคุณยายเล่าเื่อย่างใจเย็น
“ตรงนั้นอยู่ใกล้สวนสาธารณะ ไปออกกำลังกายตอนเช้าก็ดีมาก ทำเลก็เกือบใจกลางเมือง เดินเที่ยวซื้อของก็สะดวกสบาย เ้าของบ้านถ้าไม่ใช่เพราะลูกชายได้ดิบได้ดีเป็ใหญ่เป็โต คงไม่ยอมขายหรอกนะ”
พอได้ยินคุณยายบอกตำแหน่งคร่าวๆ เธอถึงได้รู้ว่าบ้านหลังนั้นน่าจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านสี่ประสานของสกุลเจิ้ง แต่หมี่หลันเยว่ก็มองไปรอบๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน เธอก็ยังไม่รู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่เลยสักนิด ดูท่าทางจะไม่ใช่แถวบ้านสกุลเจิ้ง
“แต่นั่นแหละ ที่นี่เขาไม่ขัดสนเื่เงินทอง แต่สองตายายกลับให้เช่าบ้านซะเละเทะ ลูกชายเลยไม่ค่อยอยากกลับบ้าน”
หมี่หลันเยว่เงยหน้ามองไปทางเจิ้งซวี่เหยา เจิ้งซวี่เหยาก็กำลังมองมาที่เธอพอดี ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง
“คุณยายคะ พอจะบอกที่อยู่บ้านหลังนั้นอย่างละเอียดให้หนูได้ไหมคะ”
หมี่หลันเยว่ยังคงอดทน คุณยายดูเหมือนจะใช้ความคิดอย่างละเอียด แล้วก็ชี้มือไปทางขวามือ นิ้วมือหยาบกร้าน รอยด่างดำตามวัย ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“สาวน้อย เดินตรงไปทางนั้นเลยนะ เดินไปประมาณยี่สิบนาทีได้ เดินตรงไป ห้ามเลี้ยว จะเห็นร้านขายของชำเล็กๆ ร้านหนึ่ง เลี้ยวเข้าไปตรงหัวมุมร้านนั้น บ้านหลังใหญ่หลังแรกนั่นแหละ ประตูบ้านเป็สีเขียวเข้มที่ไม่ค่อยมีใครใช้ รับรองว่าหนูต้องหาเจอแน่”
บอกละเอียดขนาดนี้ เกินความคาดหมายของหมี่หลันเยว่ไปมาก เธอนึกว่าจะได้แค่ที่อยู่คร่าวๆ เสียอีก
“คุณยายคะ ขอบคุณมากเลยนะคะ หนูไม่นึกเลยว่าคุณยายจะรู้ที่อยู่แน่นอนขนาดนี้ งั้นหนูขอตัวไปดูก่อนนะคะ ถ้ามีโอกาส หนูจะมาเยี่ยมคุณยายอีกค่ะ”
“ฮิๆๆ ฉันมีเพื่อนเก่าคนหนึ่งอยู่ที่บ้านหลังนั้น ฉันก็เลยแวะไปหาเขาบ้าง ก็เลยรู้ที่อยู่แน่นอนไง ฉันยังไม่แก่ขี้หลงขี้ลืมสักหน่อย”
คุณยายได้ยินหมี่หลันเยว่พูดก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“คุณยายไม่ลืมแน่นอนค่ะ คุณยายยังแข็งแรงดีอยู่เลยค่ะ ดูคุณยายสิคะ ความจำดีมากๆ แม้แต่คนหนุ่มคนสาวยังเทียบคุณยายไม่ได้เลยค่ะ งั้นคุณยายตากแดดให้อุ่นๆ นะคะ หนูขอตัวไปดูก่อนค่ะ”
หมี่หลันเยว่ชมคุณยายยกใหญ่ แล้วก็ลุกขึ้นยืนในที่สุด
“ไปเถอะๆ ในบ้านหลังนั้นมีครอบครัวแซ่เฉินอยู่ ถ้าเจอ ช่วยฝากสวัสดีคุณยายเฉินด้วยนะ เพื่อนเก่าคนนั้น ฉันไม่ได้เจอเขานานแล้ว อากาศมันร้อน เดินไม่ไหวแล้ว”
คุณยายโบกมือลาหมี่หลันเยว่
“คุณยายลาก่อนนะคะ!”
ได้ข้อมูลที่แน่นอน หมี่หลันเยว่รู้สึกอารมณ์ดี ถึงจะต้องเดินหาบ้านที่ถูกใจอีกเป็สิบๆ วัน หมี่หลันเยว่ก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่นึกเลยว่าวันแรกก็เจอเป้าหมายแล้ว
ถึงจะไม่รู้ว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ แต่มีหวังก็ยังดีกว่าไม่มีหวัง
“อาจารย์เจิ้งคะ ที่อยู่ที่คุณยายบอก น่าจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านเราใช่ไหมคะ”
พอได้ยินหมี่หลันเยว่พูดว่า ‘บ้านเรา’ เจิ้งซวี่เหยาก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“อืม น่าจะไม่ไกล แล้วก็จากที่คุณยายบอก ฉันพอจะรู้แล้วว่าเป็บ้านใคร บ้านก็ดีจริง แต่ก็วุ่นวายไม่น้อย ถ้าจะซื้อจริงๆ ก็สืบดูให้ดีก่อนนะ ไม่อย่างนั้นเื่ตามมาทีหลังเยอะแน่”
ฟังเจิ้งซวี่เหยาพูดเหมือนสกัดดาวรุ่ง หมี่หลันเยว่กลับรู้สึกว่าโอกาสยิ่งมากขึ้นไปอีก เธอก็ไม่ได้ใส่ใจที่เจิ้งซวี่เหยาพูดสักเท่าไร จะมีอะไรที่ได้มาง่ายๆ กันล่ะ ต้องพยายามดูก่อนถึงจะรู้ผลไม่ใช่หรือ
“แล้วอาจารย์เจิ้งพอจะเล่าให้ฉันฟังได้ไหมคะว่ามันวุ่นวายยังไง”
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง หมี่หลันเยว่เตรียมตัวพร้อมเสมอ ยิ่งรู้มาก โอกาสสำเร็จก็ยิ่งมากขึ้น เพราะเราจะได้เปรียบและเป็ฝ่ายควบคุมสถานการณ์
“อย่างที่เธอก็รู้ แถวบ้านที่เราอยู่ มีบ้านคนแก่แปลกๆ อยู่นี่หลังหนึ่ง พวกชาวบ้านละแวกนี้เขารู้กันดี ที่จริงก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรหรอก แค่ว่าคนแก่พวกนั้นมาจากยุคที่ขัดสน ก็เลยไม่อยากปล่อยให้บ้านสี่ประสานหลังใหญ่ว่างเปล่า ก็เลยแบ่งให้คนเช่าไปซะเละเทะ”
“ลูกชายเขาเป็ข้าราชการระดับสูงในกระทรวง สูงกว่าพ่อฉันอีกนะ ไม่ด้อยกว่าปู่ฉันเท่าไรด้วยซ้ำ ด้วยตำแหน่งของเขา จะให้ไปอยู่ในบ้านเช่ารวมกับคนอื่นๆ ได้ยังไง สองตายายเลยแทบจะไล่ลูกชายออกจากบ้านไปเลย แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่ผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน”
พอได้ยินว่าคนในครอบครัวนี้มีตำแหน่งสูง หมี่หลันเยว่ก็ขมวดคิ้ว
“ถ้าอย่างที่อาจารย์เจิ้งบอก เื่นี้ก็ไม่ง่ายแล้วสิคะ ในเมื่อเขามีตำแหน่งสูงขนาดนั้น ตอนนี้ก็จะย้ายไปประจำท้องถิ่น แถมยังบอกว่าได้เลื่อนตำแหน่งอีก ตำแหน่งก็คงไม่ธรรมดา”
“คนระดับนั้น เราอยากจะขอซื้อบ้านมาคงไม่ง่ายมั้งคะ เื่ราคาเื่หนึ่ง เื่เส้นสายก็อีกเื่หนึ่ง เขาอาจจะไม่อยากขายให้เราก็ได้นะคะ”
เห็นสาวน้อยเริ่มกังวล เจิ้งซวี่เหยาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวเล็กๆ ของเธอ หมี่หลันเยว่เบี่ยงตัวหลบอย่างรังเกียจ
“ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมขาย เขาอยากขายจะตายไป ไม่อย่างนั้น ด้วยตำแหน่งและฐานะของเขา บ้านที่ทำเลดีขนาดนี้ เก็บไว้ก็ดีจะตายไป ทำไมต้องขายด้วย เขาขาดเงินขนาดนั้นเลยเหรอ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ เขาแค่ไม่อยากเจอพวกคนเช่าพวกนั้นอีกแล้ว ถึงได้ยอมตัดใจขายบ้าน เพราะถ้าไม่ขาย พวกคนเช่าก็ไม่ยอมย้ายออกไป”
ฟังเจิ้งซวี่เหยาพูด หมี่หลันเยว่ก็งง
“ทำไมถึงเป็อย่างนั้นได้ล่ะคะ เขามีตำแหน่งสูงขนาดนั้น ไม่อยากให้เช่าก็เรียกบ้านคืนสิคะ หรือว่ายังมีคนเช่าที่ด้านจนไม่ยอมย้ายด้วยเหรอคะ”
บ้านเป็ของตัวเอง จะทำอะไรก็ได้ หมี่หลันเยว่ยังไม่เคยได้ยินเื่ที่คนเช่าทำให้เ้าของบ้านเดือดร้อนเลย
“ก็เพราะเขามีตำแหน่งสูงไง เขาถึงต้องระวังตัวในการทำอะไรหลายๆ อย่าง ตอนที่คนแก่ในบ้านให้เช่าบ้านน่ะ เขาไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพของคนเช่าเลยสักนิด ให้เช่าแต่พวกชาวบ้านระดับล่างๆ เธอก็รู้ พวกที่ไม่มีบ้านเป็ของตัวเอง กว่าจะได้ที่อยู่สักแห่ง แถมทำเลยังดีขนาดนั้น จะยอมย้ายไปง่ายๆ ได้ยังไง”
“แถมค่าเช่าบ้านเขาก็ถูก ตอนที่ให้เช่า สองตายายก็ใจร้อน ใครให้เงินก็รับไว้หมด ผลสุดท้ายพอจะขึ้นค่าเช่า พวกชาวบ้านก็ไม่มีใครยอมสักคน กว่าจะหาบ้านที่ทำเลดี ราคาถูกได้ ใครจะยอมย้าย หรือยอมจ่ายแพงล่ะ คนเช่าในบ้านก็เยอะ รวมหัวกันต่อต้าน เพราะเื่ตำแหน่งหน้าที่ เขาเลยทำอะไรคนพวกนั้นไม่ได้”
เป็อย่างนี้ก็ได้ด้วย? หมี่หลันเยว่แทบไม่อยากจะเชื่อ ผู้นำที่มีตำแหน่งสูงขนาดนี้ กลับต้องยอมให้ชาวบ้านธรรมดาๆ กดขี่ แต่พอคิดดูอีกที ก็จริงอย่างที่เขาว่า คนเช่าพวกนั้นก็แค่เื่เงินๆ ทองๆ แต่เขาไม่ขาดเงิน ก็เลยทำให้เขาต้องยอมเสียเงินแลกชื่อเสียง
“ถ้าอย่างนั้น สองตายายก็ไม่ได้กำไรอะไรเลย แถมยังเข้าเนื้อด้วยซ้ำ?”
“จะไม่เข้าเนื้อได้ยังไง บ้านดีขนาดนั้น ค่าเช่าถูกขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพวกเขาปล่อยให้บ้านเป็ยังไงแล้ว มีคนเช่าเป็สิบครอบครัว มีคนเป็สิบๆ คน คงจะวุ่นวายน่าดู”
ฟังเจิ้งซวี่เหยาพูด หมี่หลันเยว่ก็เริ่มกังวล ดูท่าทางเธอคงต้องสังเกตการณ์ให้ดีๆ ถ้ามันวุ่นวายเกินไป ต่อให้บ้านดีแค่ไหน เธอก็ซื้อไม่ได้ เธอไม่มีเวลาไปขึ้นโรงขึ้นศาลกับชาวบ้านพวกนั้น
“เราลองดูสถานการณ์ก่อนก็แล้วกัน จะซื้อทั้งที จะให้ได้แต่ซากปรักหักพังกลับมาได้ยังไง”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ตามทิศทางที่ยายแก่บอก ที่จริงเจิ้งซวี่เหยารู้อยู่แล้วว่าบ้านหลังนั้นอยู่ที่ไหน แต่ทิศทางที่ยายแก่บอก เป็ทางลัดที่สุดแล้ว
“นั่นไง บ้านหลังนั้น”
ยังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ หมี่หลันเยว่ก็ได้ยินเสียงดังโวยวายมาจากในบ้านแล้ว ยิ่งกว่าย่านที่อยู่อาศัยของชาวบ้านที่เธอเดินผ่านมาเมื่อกี้อีก อาจจะเป็เพราะบริเวณนี้บ้านคนอื่นเงียบสงบ ก็เลยทำให้บ้านหลังนั้นดูวุ่นวายขึ้นมา
“วุ่นวายขนาดนี้ แถวนี้ไม่มีใครว่าอะไรเลยเหรอคะ”
เจิ้งซวี่เหยาได้แต่ส่ายหน้าให้กับคำถามของหมี่หลันเยว่
“ใครอยากจะออกหน้าล่ะ นอกจากจะโดนชาวบ้านด่า”
“พวกเธอชอบคิดกันว่าพวกผู้นำมีตำแหน่งอยู่ในมือ ปัญหาหลายอย่างก็จะแก้ได้ง่ายๆ ที่จริงไม่ใช่เลย ก็เพราะพวกเขามีตำแหน่งนี่แหละ หลายเื่ถึงได้ทำอะไรไม่สะดวก อย่างบ้านหลังนี้ ถ้าเป็บ้านของชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่้าให้เช่าแล้ว ก็แค่ยกเลิกสัญญาเช่าก็จบเื่แล้ว”
“ถ้ามีเื่จริงๆ ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ สถานีตำรวจก็ส่งคนมาจัดการได้ทันที แต่เพราะตำแหน่งของเขา เขาถึงทำอะไรไม่ได้ ชาวบ้านจะไม่คิดว่าเขาทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง แต่จะคิดว่าเขาใช้อำนาจในมือข่มเหงชาวบ้าน”
ฟังแล้วรู้สึกสะท้อนใจเหมือนกัน ที่แท้ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำอะไรได้อย่างอิสระอย่างที่คิด แม้แต่คนที่มีตำแหน่งสูง ก็ยังมีเื่ที่ทำอะไรไม่ได้ แต่คำพูดนี้ก็เตือนสติหลันเยว่ขึ้นมา
“อาจารย์เจิ้งคะ เราเข้าไปดูในบ้านก่อน ถ้าดี เราจะได้ไปหาเ้าของคนนั้นโดยตรงเลย”
ท่าทีที่แน่วแน่ของหมี่หลันเยว่ ทำให้เจิ้งซวี่เหยาตั้งตัวไม่ทัน
“อะไรนะ ตัดสินใจจะซื้อแล้วเหรอ ที่ฉันพูดมาเมื่อกี้ไม่ได้เข้าหูเลยหรือไง”
หมี่หลันเยว่หัวเราะ
“อาจารย์เจิ้งคะ คำพูดของอาจารย์ไม่ได้ไร้ประโยชน์หรอกค่ะ ฉันถึงได้ตัดสินใจ”
เจิ้งซวี่เหยาครุ่นคิด ไม่เห็นว่าตัวเองจะให้คำแนะนำอะไรเลย หมี่หลันเยว่ก็อธิบายต่อ
“อาจารย์ไม่ได้บอกเหรอคะว่า ชาวบ้านกับชาวบ้านมีฐานะเท่าเทียมกัน แก้ปัญหาง่ายกว่า แล้วฉันก็เป็ชาวบ้านธรรมดา เื่นี้ฉันคงจัดการได้ง่ายกว่า ถ้าเป็ไปได้ฉันก็จะจองบ้านหลังนี้เลย”
