ณ จวนสกุลฉิน
“เหลาเหยี่ย เหลาเหยี่ย เซ่อเจิ้งอ๋องมาที่จวนของเราขอรับ” เด็กรับใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรายงานด้วยความหวาดผวา ตัวของเขาสั่นงันงก
“เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้มาที่จวนของเรา?”
ฉินเหลาเหยี่ยลูบเคราด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรเซ่อเจิ้งอ๋องไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมาก่อน
ทว่าท้ายที่สุดแล้วฉินเหลาเหยี่ยก็ไม่ได้หวาดกลัวหรือตื่นตระหนกเหมือนกับคนอื่นๆ
ถึงอย่างไรจวนสกุลฉินก็ไม่ได้ทำให้เซ่อเจิ้งอ๋องขุ่นเคือง เขาจะกลัวอะไร?
“ไม่ทราบขอรับ แต่ว่า...” เด็กรับใช้กลืนน้ำลาย
“น่าจะมาอวดศักดากระมัง”
ที่เขาเห็นนั่นไม่ใช่การอวดศักดาหรือไร?
ด้านหลังเกี้ยวอันสูงศักดิ์และหรูหราคือกลุ่มคนที่เดินตามมาอย่างเอิกเกริก พวกเขาทั้งหมดสวมชุดดำ และสวมหน้ากากฉลุลายอินทรีสีแดงเพลิงบนใบหน้า
พวกเขาคืออินทรีโลหิตที่เซ่อเจิ้งอ๋องพามาด้วยตนเอง!
เป็องครักษ์เงาส่วนพระองค์ของเซ่อเจิ้งอ๋อง
โดยปกติแล้วพวกเขาจะเคลื่อนไหวอย่างสงบเสงี่ยม ทว่าก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับพลังอันน่าสะพรึงกลัวยามที่พวกเขาแต่ละคนต่อสู้กับศัตรูนับร้อยนับพันในสนามรบ
“เซ่อเจิ้งอ๋องเสด็จ”
แม้ว่าฉินเหลาเหยี่ยจะชราแล้ว ทว่าจังหวะการก้าวเดินก็ยังคงกระฉับกระเฉง เขารีบพาคนรุดหน้าไปคำนับถวายบังคม
“พบเซ่อเจิ้งอ๋อง เสมือนพบเราเอง”
นี่คือประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสในวันขึ้นครองราชย์
เซ่อเจิ้งอ๋องเงียบ ไม่กล่าวสิ่งใดแม้แต่น้อย
หากฉินเหลาเหยี่ยยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอีก การเป็ขุนนางมานานปีคงเสียเปล่าแล้ว!
ทว่าการคุกเข่าต่อหน้าคนรับใช้มากมายช่างน่าขายหน้าเกินไปจริงๆ
“ไม่ทราบว่าเซ่อเจิ้งอ๋อง...”
“ผู้าุโฉิน” ใบหน้าของฮั่วเยี่ยนไหวดูเ็าผิดปกติ น้ำเสียงก็แผ่ความเย็นะเืออกมาเช่นเดียวกัน “ท่านเองก็นับได้ว่าเป็ผู้าุโในราชสำนักกระมัง”
ฉินเหลาเหยี่ยยืดหลังตรงด้วยท่าทีสง่างาม “ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ฝ่าาทรงตระหนักถึงคุณค่า กระหม่อมจึงสามารถรับใช้บ้านเมือง และมีโอกาสได้แบ่งเบาความกังวลของฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
“ช่างมีจิตใจที่ภักดีจริงๆ”
จิ้งจอกน้อยที่ถูกอุ้มอยู่ในฝ่ามือรู้สึกถึงไอเย็นเยียบที่แผ่มาโอบล้อมทั้งสรรพางค์กาย ราวกับจะแช่แข็งไขกระดูกเอาไว้
ฮั่วเยี่ยนไหวดูโกรธเคืองอย่างยิ่ง
เพราะนางอย่างนั้นหรือ?
ความประชดประชันที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของฮั่วเยี่ยนทำให้รอยยิ้มของฉินเหลาเหยี่ยแข็งทื่อทันที ดวงตาของเขาวาวโรจน์
“เซ่อเจิ้งอ๋อง กระหม่อมไม่เข้าใจถ้อยคำของท่านพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วเยี่ยนไหวจ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววตาลึกล้ำ ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ถนอมน้ำใจว่า “ข้าคิดว่าท่านจะเป็คนฉลาดเสียอีก”
“พี่เยี่ยนไหว!”
ฉินจิ่นยวนะโโลดเต้นเข้ามาราวกับนกน้อยที่ร่าเริงก็ไม่ปาน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานหยาดเยิ้ม
นางยังคิดว่าทุกคนหลอกนางเสียอีก คิดไม่ถึงว่าพี่เยี่ยนไหวจะมาจริงๆ
ทว่าเหตุใดเขาถึงได้มาที่จวนสกุลฉินอย่างกะทันหันเล่า?
หรือว่า...
เขามาขอนางแต่งงานหรือ?
ฉินจิ่นยวนยืนอยู่ข้างกายของฮั่วเยี่ยนไหวด้วยท่าทีเขินอาย ไม่ได้สนใจปู่ของตนที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นเลยแม้แต่น้อย
“พี่เยี่ยนไหว เหตุใดท่านถึงไม่บอกสักคำว่าจะมาเล่าเ้าค่ะ? ยวนเอ๋อร์ยังไม่ทันได้แต่งตัวเลยเ้าค่ะ”
หากถูกขอแต่งงานก็ควรต้องแต่งกายอย่างงดงามสิถึงจะถูก
ถึงจะบอกว่าไม่ทันได้แต่งตัว ทว่าหากดูจากชาดทาปากสีสดของนางนั้น เห็นได้ชัดว่าเพิ่งแต่งแต้มมาหมาดๆ
“แค่กๆ”
นับั้แ่วินาทีที่ฉินจิ่นยวนก้าวเข้ามา ฉินเหลาเหยี่ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็หน้าถอดสี
เขารู้ว่าหลานสาวของตนชอบพอเซ่อเจิ้งอ๋อง ทว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด?
คนทั่วไปจะมีสิทธิคิดเช่นนั้นได้อย่างไร?
ฉินจิ่นยวนเห็นว่าปู่ของตนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นดูน่าอดสูเล็กน้อย นางจึงยื่นมือไปประคองทันที “พี่เยี่ยนไหว ท่านปู่อายุมากแล้ว ไม่อาจคุกเข่าได้นานเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเ้าก็คุกเข่าเสีย!”
เมื่อคำกล่าวนี้ถูกเอ่ยออกมา อิ๋งเฟิงที่รอโอกาสเคลื่อนไหวก็ถีบเข้าที่ข้อพับเข่าของฉินจิ่นยวน บังคับให้นางต้องคุกเข่าลงอย่างแรง
“พี่เยี่ยนไหว ท่านกำลังทำอะไรเ้าคะ!”
เมื่อกล่าวจบ ฉินจิ่นยวนก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง “เดรัจฉานสมควรตายตัวนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
เมื่อพบหน้าศัตรู ดวงตาของนางก็แดงก่ำเป็อย่างยิ่ง
ทว่าไม่ได้มีเพียงฉินจิ่นยวนคนเดียวเท่านั้นที่โมโหจนแทบอยากจะลุกขึ้นมากระทืบเท้า
หากไม่ใช่เพราะฮั่วเยี่ยนไหวคอยลูบไล้ปลอบโยนครั้งแล้วครั้งเล่า จิ้งจอกน้อยคงพุ่งเข้าไปกัดหลอดเืแดงใหญ่ของฉินจิ่นยวนจนอีกฝ่ายขาดใจตายั้แ่ตอนนี้แล้ว!
“ตบปาก!” ใบหน้าหล่อเหลาดูเยือกเย็นราวกับถูกน้ำแข็งปกคลุมก็ไม่ปาน
นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเรียกหลีเอ๋อร์ของเขาว่าเดรัจฉานต่อหน้าต่อตาเขา
สมควรตาย!
“หุบปาก โง่เง่า!”
ฉินเหลาเหยี่ยโมโหจนเคราแทบหลุด หลานสาวผู้นี้ถูกเขาให้ท้ายจนนิสัยเสียไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงต่อหน้าเซ่อเจิ้งอ๋องเช่นนี้
ไม่ทราบว่าต้องมีศีรษะบนลำคอเท่าไรถึงจะเพียงพอให้ตัด
จิ้งจอกตัวนั้นมองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเซ่อเจิ้งอ๋องโปรดปรานเป็อย่างยิ่ง
ฉินจิ่นยวนชะงักไปในทันที
ก่อนจะตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตนเองทำอะไรลงไปภายใต้โทสะ
“ขออภัยเ้าค่ะพี่เยี่ยนไหว ข้าหุนหันพลันแล่นเกินไป แต่ท่านดูสิเ้าคะ”
ฉินจิ่นยวนรวบผมไปข้างหลัง ก่อนจะเชิดใบหน้าเล็กและขาวผ่องขึ้น แม้ว่าจะใช้เครื่องประทินโฉมกลบ ทว่าก็สามารถมองเห็นาแเล็กที่ซ่อนอยู่บนใบหน้าได้ไม่ยาก
“จิ้งจอกตัวนี้ทำให้ยวนเอ๋อร์เสียโฉม ยวนเอ๋อร์ถึงได้โกรธเช่นนี้ พี่เยี่ยนไหว ท่านต้องให้ความเป็ธรรมกับยวนเอ๋อร์นะเ้าคะ!”
มุมปากของฮั่วเยี่ยนไหวดูคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขาใช้สองนิ้วบีบคางของฉินจิ่นยวนเอาไว้ “าเ็ไม่เบา”
จิ้งจอกน้อยเงยหน้าขึ้น รัวอุ้งเท้าด้วยความโกรธเคือง
“กรร!”
นางเป็ฝ่ายยั่วยุข้าก่อนต่างหาก!
ตอนนี้หัวใจของฉินจิ่นยวนแทบจะกระดอนออกมา จมูกเต็มไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษตรงหน้า นางแทบเป็ลมไปอย่างมีความสุข
ใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้านั้นไร้ที่ติ พวงแก้มของนางขึ้นริ้วสีแดงด้วยความเขินอาย หัวใจแทบจะกระดอนออกมาจากอก “แต่พี่เยี่ยนไหววางใจได้เลยเ้าค่ะ หมอหลวงบอกว่ามันจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็เอาไว้เ้าค่ะ”
เจตนาชัดเจนปานนี้ เขาคงรู้แล้วกระมัง
ฉินจิ่นยวนกัดริมฝีปากล่าง พลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาบิด
ฉินเหลาเหยี่ยปวดศีรษะจนแทบะเิ ดังคำเปรียบเปรยที่ว่าคนนอกย่อมมองสถานการณ์ได้ชัดเจน
ตอนนี้เขามองเห็นอย่างแจ่มแจ้ง
หลานสาวของเขารักข้างเดียวอย่างชัดเจน!
สิ่งที่น่ากลัวคือ นึกไม่ถึงว่าหลานสาวผู้โง่เขลาจะคิดว่าเซ่อเจิ้งอ๋องมีใจให้นางเสียนี่
ฉินเหลาเหยี่ยกระแอมไอสองครั้ง ก่อนจะเอ่ย “เซ่อเจิ้งอ๋อง ในเมื่อจิ้งจอกของท่านก็ทำร้ายยวนเอ๋อร์เช่นเดียวกัน มิสู้...”
“หืม?” แววตาอันเ็าของฮั่วเยี่ยนไหวดูลึกล้ำราวกับหุบเหว เมื่อสบเข้ากับสายตาของฉินเหลาเหยี่ย คนหลังก็กลืนคำพูดลงท้องไปทันที
สายตานั้นราวกับอสรพิษก็ไม่ปาน ให้ความรู้สึกว่าเมื่อถูกจับจ้อง ย่อมไม่อาจฟื้นคืนชีพได้ตลอดกาล!
“ผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าสัตว์เลี้ยงของข้าเป็ผู้ข่วนกันเล่า?” น้ำเสียงของฮั่วเยี่ยนไหวเจือความเอ้อระเหยเล็กน้อย เห็นได้ว่าลำเอียงอย่างชัดเจน
“หืม?”
จิ้งจอกน้อยเงยหน้าขึ้นสบตากับฮั่วเยี่ยนไหวที่ก้มศีรษะลงมา แววตาของเขาอ่อนโยนอย่างยิ่ง ทั้งยังดูเหมือนกำลังอมยิ้มที่มุมปากอย่างไรอย่างนั้น
แววตาที่ดูราวกับหุบเหวลึกนั้น เหมือน้าจะกลืนกินจิ้งจอกน้อยเข้าไปทั้งตัวก็ไม่ปาน
แววตาของไป๋เซี่ยเหอสั่นระริกเล็กน้อย ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างที่ยากจะเอ่ยผุดขึ้นในใจนาง
ตอนนี้นางลืมเลือนไปเสียสนิทว่าตนเองเป็เพียงจิ้งจอกตัวหนึ่ง
อิ๋งเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างแทบจะเอานิ้วจิ้มตาตนเอง ภาพตรงหน้าคืออะไรกัน?
นึกไม่ถึงว่าเขาจะมองเห็นเศษเสี้ยวความโปรดปรานจากดวงตาของท่านอ๋อง?
ทั้งยังเป็จิ้งจอกตัวหนึ่งเสียนี่!
“ยวนเอ๋อร์ ยังไม่รีบพูดอีกว่าวันที่เ้าได้รับาเ็มีผู้ใดอยู่ในเหตุการณ์หรือไม่?” ฉินเหลาเหยี่ยเข้าใจอย่างคร่าวๆ แล้วว่าวันนี้เซ่อเจิ้งอ๋องมาเพื่อซักไซ้เอาความนี่เอง
หากไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกรงว่าจะต้องเกิดหายนะเป็แน่
ตอนนี้จวนสกุลฉินกำลังตกอยู่ในอันตราย!
ฉินจิ่นยวนระงับความหวาดผวาที่ก่อตัวขึ้นในก้นบึ้งของจิตใจ “มีเ้าค่ะ เป็สาวใช้กับองครักษ์ของข้าเ้าค่ะ”
“คนของเ้าหรือ? ถ้าเป็เช่นนั้นไม่ว่าเ้าจะพูดอะไร คนเ่าั้ย่อมเชื่อฟังเ้าอยู่แล้ว” เขาเอ่ยทีละคำอย่างช้าๆ ทว่าน้ำเสียงกลับแผ่ความเย็นเยียบถึงชีวิต
ฉินเหลาเหยี่ยปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เช่นนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องทรงคิดเห็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“ในเมื่อคุณหนูฉินไม่ได้บอกว่าหลีเอ๋อร์ของข้าเป็ผู้ข่วน ทั้งยังไม่มีผู้ใดเป็พยาน...” นิ้วของเขาไล้ไปตามขนบนหลังของจิ้งจอกน้อยอย่างเบามือ
จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นุ่มนวลทันที “เช่นนั้นเพื่อความยุติธรรม ก็ให้หลีเอ๋อร์ของข้าข่วนอีกทีแล้วกัน”
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้