พี่รองลู่เห็นว่าบิดาโกรธจัดแล้วจริงๆ แล้วหันไปมองน้องหญิงที่อดทนต่อความเ็ปจนเหงื่อบนหน้าผากผุดพราย แล้วก็นึกไปถึงสตรีในดวงใจที่ไม่รู้หายไปไหน เขาก็ทนรับความทรมานนี้ไม่ไหวร้องะโออกมา แล้ววิ่งหนีหายออกจากเรือนไป
เสี่ยวหมี่ร้อนใจมาก คิดจะตามไปแต่เฝิงเจี่ยนกอดนางไว้แน่น
“พี่ใหญ่เฝิง ท่านรีบปล่อยข้า ข้ากลัวว่าพี่รองจะ...”
“ไม่เป็ไร เกาเหรินตามไปแล้ว”
เฝิงเจี่ยนไม่สนใจยังคงอุ้มนางกลับไปที่เรือนพัก
เสี่ยวหมี่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มเหนือเตียงเตา น้ำตาไหลออกมา
“พี่ใหญ่เฝิง ข้า...ข้าเห็นแก่ตัวเกินไปหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าใต้เท้าหลี่เป็คนยุติธรรม ขอร้องให้เขาแก้ปัญหาให้บ้านตัวเอง แต่กลับไม่ยอมให้พี่เสี่ยวเอ๋อไปร้องทุกข์เื่ครอบครัวนาง เพราะกลัวว่าจะนำภัยมาสู่ครอบครัว...”
“ไม่หรอก เื่ของครอบครัวนาง หลี่หลินก็จัดการไม่ได้ ครั้งนี้ที่เสี่ยวเอ๋อจากไป ย่อมมีคนจัดการเื่นี้แทนนาง ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
เฝิงเจี่ยนยื่นมือไปจัดผ้าห่มให้เสี่ยวหมี่ ถึงแม้เขาจะปลอบโยนด้วยประโยคง่ายๆ แต่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้เสี่ยวหมี่รู้สึกสบายใจ ราวกับว่าความเจ็บที่แขนจะทุเลาลงมากแล้ว
“เช่นนั้นหรือ เช่นนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นพี่รองคงจะโทษความใจดำของข้าไปตลอด”
“วางใจเถอะ”
คนทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าหยางก็ยกยาและข้าวเช้าเข้ามาให้
เสี่ยวหมี่สอบถามถึงได้รู้ว่าท่านป้าเจียงมาแล้ว คนในบ้านก็ไม่ต้องกลัวว่าท้องจะหิว นางจึงวางใจกินโจ๊กไปครึ่งถ้วย จากนั้นก็ดื่มยาตาม คล้ายว่ายานั้นจะมีฤทธิ์กล่อมประสาทอ่อนๆ หรืออาจเพราะเฝิงเจี่ยนนั่งอยู่เคียงข้าง ทำให้นางวางใจจนค่อยๆ หลับไป
ในฝันเหมือนนางตกลงไปในแอ่งกระทะที่ร้อนจัด นางทรมานแต่จะร้องอย่างไรก็ไม่มีเสียงเปล่งออกมา
นางได้ยินเสียงร้องเรียกแว่วๆ อยู่ข้างหูจึงคิดจะเอื้อมมือออกไปไขว่คว้า แต่กลับไร้เรี่ยวแรง
ไม่รู้เป็เช่นนี้อยู่นานเท่าไรในที่สุดนางก็สิ้นหวัง ตอนที่คิดจะหยุดดิ้นรนนั้น กลับพบว่ามีอะไรบางอย่างที่เย็บเฉียบร่วงลงบนหน้า คล้ายกับหยดน้ำจากฟากฟ้าไหลลงสู่ผืนดินที่แตกระแหง เย็นสดชื่น แต่แฝงไว้ด้วยความสิ้นหวังและโกรธแค้น...
สิ้นหวัง?
ไม่รู้เสี่ยวหมี่ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน นางฮึดสู้ลืมตาขึ้นมาได้สำเร็จ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากนรกขุมนั้นได้เสียที
สิ่งแรกที่นางเห็นคือใบหน้าอันซูบตอบ ดวงตาแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง คางและกรอบหน้ามีตอหนวดขึ้นรำไร สภาพนี้นางรู้สึกไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย
“พี่...พี่ใหญ่เฝิง”
หากจะมีสิ่งใดที่เรียกว่าเป็เสียงแห่ง์ได้ละก็ เฝิงเจี่ยนที่อยู่มายี่สิบกว่าปีคิดว่าเสียงนี้แหละที่เป็เสียงจาก์ของเขา ไม่ว่าจะในตอนนี้หรือในอีกหลายสิบปีข้างหน้าก็ตาม
เขากอดเสี่ยวหมี่เอาไว้ทันที อ้อมกอดนั้นแแ่ คล้ายว่าจะหลอมนางเข้าเป็ส่วนหนึ่งกับกระดูกในร่างเขา ไม่ปล่อยให้นางได้รับาเ็หรือต้องทรมานอีก
“ในที่สุดเ้าก็ฟื้นแล้ว...”
เสี่ยวหมี่วิงเวียนศีรษะอย่างหนัก แต่ความเย็นที่ข้างลำคอทำให้นางรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมด เอ่ยปลอบโยนว่า “ข้าไม่เป็ไร...”
น่าเสียดาย นางพูดได้แค่นี้แล้วก็สลบไปอีกครั้ง
รอจนนางลืมตาขึ้นมาอีกหน รอบห้องก็มีแสงสว่างไสวราวกับตอนกลางวันก็ไม่ปาน
ไม่รอให้นางเอ่ยอะไรออกมา ก็มีคนพุ่งเข้ามาหาเต็มไปหมด
“เสี่ยวหมี่ เ้าเป็อย่างไรบ้างแล้ว?”
“ตัวยังร้อนอยู่หรือไม่ เจ็บตรงไหนบ้าง?”
เฝิงเจี่ยนยังคงนั่งอยู่ข้างกายเสี่ยวหมี่ ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็กุมมือนางไว้ไม่ปล่อย สายตาเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดและหวาดกลัว
หวาดกลัว?
เสี่ยวหมี่รู้สึกหวั่นใจ หรือว่าตอนที่นางหลับฝันร้ายไปนั้น แท้จริงแล้วนางอยู่ในอาการป่วยที่หนักหนาสาหัส?
“ถอยออกไปก่อน ถอยไปให้ข้าดูหน่อย” ลุงสามปี้ไล่ทุกคนให้หลีกทาง ยกมือจับชีพจรให้เสี่ยวหมี่ จากนั้นก็หรี่ตามองเฝิงเจี่ยนไปทีหนึ่ง กล่าวอย่างโมโหว่า “ข้าบอกแล้วว่าหากเสี่ยวหมี่ฟื้นขึ้นมาก็ไม่เป็ไรแล้ว เ้าก็ไม่เชื่อ”
“ไม่เป็ไรแล้วจริงหรือ? หากอาการนางกลับไปแย่อีก ท่านรับผิดชอบไหว?”
เฝิงเจี่ยนเอ่ยซักไซ้ด้วยเสียงเ็า ทำเอาลุงสามปี้โกรธจนแทบกระทืบเท้า แต่ก็ไม่กล้ารับประกันอย่างหนักแน่น “ช่างเถอะ เสี่ยวหมี่ล้มป่วยอย่างกะทันหัน อาการก็อันตรายมาก วันหน้าต้องระมัดระวังให้มาก ข้าจะกลับไปอ่านตำราแพทย์เพิ่มเติม ดูแล้วก็เหมือนกับมารดานาง...”
“แค่กๆ” บิดาลู่จู่ๆ ก็กระแอมออกมาขัดลุงสามปี้ เสร็จแล้วก็ออกปากไล่ทันที “เช่นนั้นเหตุใดเ้ายังไม่รีบกลับไปอีก หากเสี่ยวหมี่หายเร็วเ้าก็จะมีของอร่อยๆ กิน”
“เ้าบัณฑิตโง่นี่ อย่างกับว่ายามปกติข้าเห็นเสี่ยวหมี่เป็แม่ครัวส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น เด็กคนนี้ข้าเองก็เห็นนางมาั้แ่เล็กจนโตเหมือนกันนะ”
ลุงสามปี้สนิทสนมกับบิดาลู่เป็อย่างดีจึงไม่เกรงใจอะไรเขามากนัก โต้ตอบปนหยอกล้อกลับไปแล้วถึงสะพายล่วมจากไป
เสี่ยวหมี่กวาดตามองคนรอบกาย เห็นว่าบิดาลู่ดูทรุดโทรมลงไปไม่น้อย พี่ใหญ่พี่สามหน้าซีดเซียว ส่วนพี่รองที่แอบซ่อนอยู่หลังพวกเขานั้นก็จมูกเขียวตาม่วง สภาพน่าอนาถราวกับสุกรก็ไม่ปาน จึงรีบเอ่ยถามว่า “ข้าเป็ไข้สูงหรือ? เหตุใดพวกท่าน...”
“ไม่มีอะไรเสี่ยวหมี่ วันนั้นเ้าน่าจะใเกินไปจนล้มป่วย ยามนี้ผ่านมาได้แล้ว เดี๋ยวก็หายแล้ว”
บิดาลู่เอ่ยปากปลอบโยนบุตรสาวอย่างหาได้ยาก พูดจบแล้วก็ราวกับกลัวว่านางจะซักไซ้อะไรจึงรีบหมุนกายกลับห้องไป
เสี่ยวหมี่อดทอดถอนใจไม่ได้ ถึงเวลานี้แล้วบิดานางก็ยังรักษามารยาท ไม่รั้งอยู่ในห้องนอนของบุตรสาวนานเกินไป แต่เขาไม่คิดบ้างหรือว่าเฝิงเจี่ยนที่เป็บุรุษทั้งยังเป็คนนอกกลับเข้ามาในห้องนอนบุตรสาวเขา ทั้งยังนั่งกุมมืออยู่ไม่ปล่อยเช่นนี้...
เฝิงเจี่ยนมองหลังที่งองุ้มเล็กน้อยของบิดาลู่ สายตาเขาปรากฏแววบางอย่างวาบผ่านไป...
พี่รองลู่รวบรวมความกล้า เดินขึ้นหน้ามากล่าวเสียงเบาว่า “เสี่ยวหมี่ เป็ความผิดข้าเอง ข้า...จะไม่ไปแล้ว เ้าอย่าได้ร้อนใจไปเลย รีบพักรักษาตัวให้หาย เ้าอยากได้กวางน้อยไม่ใช่หรือ พี่จะไปจับมาให้เ้าอีก”
“พี่รอง ไม่โทษท่าน ข้าก็แค่...ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็อะไรไป พวกท่านมีใครเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
ที่จริงแล้วเสี่ยวหมี่ก็แปลกใจมาก จู่ๆ นางล้มป่วยหนักขนาดนี้ได้อย่างไร แต่ชัดเจนว่าเฝิงเจี่ยนไม่อยากพูดถึง พี่ใหญ่ลู่ก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร ได้แต่มองไปทางพี่สามลู่
ไม่ผิดคาด พี่สามไม่เคยทำให้นางผิดหวัง เขาอธิบายเื่ทุกอย่างอย่างชัดเจนภายในไม่กี่ประโยค “วันนั้นเ้าดื่มยาแล้วก็หลับไป เพียงไม่นานก็ไข้ขึ้น ลุงสามปี้ถูกเกาเหรินแบกลงมาจากเขา เขาจับชีพจรจ่ายยาแล้วแต่ไข้เ้าก็ยังไม่ลด เกาเหรินและพี่ใหญ่เฝิงต่างถ่ายทอดกำลังภายในให้เ้า หมอที่ดีที่สุดในเมืองหลวงก็ถูกเชิญมาแล้ว ต่างก็บอกว่าไร้หนทาง...แต่ดีที่เ้าฟื้นขึ้นมาได้เอง อันตรายมากจริงๆ”
ถึงแม้พี่สามลู่จะเล่าออกมาอย่างง่ายๆ แต่เสี่ยวหมี่จะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่าเหตุการณ์นั้นร้ายแรงแค่ไหน หลายวันมานี้นางถูกไฟเผาเกือบตายอยู่ในฝัน คิดว่าคนในครอบครัวนางเองก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร สิ่งที่ทำให้นางใตื่นจากฝันได้ก็คือ...น้ำตาของเฝิงเจี่ยน
บุรุษที่หนักแน่นมั่นคงไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด คล้ายว่าจะไม่มีอะไรมาทำอันตรายเขาได้ บุรุษที่นางคาดเดาความเป็มาของเขาไว้หลากหลาย บุรุษที่ทำให้นางลุ่มหลงคนนี้ ถึงกับเสียน้ำตาเพื่อนาง เขา...คงจะรักนางจริงๆ กระมัง?
“ขอโทษด้วยที่ทำให้พวกท่านกังวลใจ”
ถึงแม้เสี่ยวหมี่จะพูดกับทุกคน แต่สายตานางจดจ้องอยู่ที่เฝิงเจี่ยนคนเดียว
พี่น้องสกุลลู่ทั้งสามสบตากันไปมา แล้วจึงค่อยๆ หลบออกไปเงียบๆ
เฝิงเจี่ยนสังเกตสีหน้าของเสี่ยวหมี่อย่างละเอียด เมื่อเห็นว่านางดีขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงถอนใจโล่งอก แต่มือเขากลับไม่ยอมปล่อยมือนางแม้แต่น้อย
“พี่ใหญ่เฝิง ข้าไม่เป็ไรจริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ ถึงไข้ขึ้นได้ อืม ท่านเองก็อย่าโทษพี่รองเลยนะเ้าคะ เขาอาจจะมุทะลุไปบ้าง แต่เขาไม่ได้ตั้งใจหรอกเ้าค่ะ...”
เฝิงเจี่ยนหลุบตาลง มองไม่เห็นสายตาของเขาว่าเป็เช่นไร แต่เขากลับเอ่ยออกมาด้วยเสียงอ่อนโยน “ขอแค่เ้าหายดี จะอย่างไรก็ได้”
เสี่ยวหมี่หน้าแดงน้อยๆ แต่ก็รู้สึกสบายใจ “ข้าเหนื่อย”
“เหนื่อยก็นอนพักสักหน่อย แต่อีกเดี๋ยวต้องตื่นมาดื่มยา”
“ได้”
เสี่ยวหมี่หลับตาลง นางได้ยินเสียงหายใจและเสียงการเต้นของหัวใจที่สม่ำเสมอก็รู้สึกวางใจ ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทราไป
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน แต่ตอนที่นางตื่นมากลับมีแค่นางอยู่คนเดียว ตะเกียงไม่ได้ถูกจุด แต่นอกหน้าต่างมีเงาร่างร่างหนึ่งยืนอยู่
“ซูอี?”
“อื้อ...” นอกหน้าต่างมีเสียงตอบรับอย่างตื่นเต้น เสี่ยวหมี่พยายามเอื้อมไปเปิดหน้าต่าง แล้วซูอีก็ะโเข้ามา มองนางด้วยสายตาเป็ห่วงอย่างปิดไม่มิด
เสี่ยวหมี่เดาว่าที่นางป่วยในครั้งนี้คงจะทำให้เด็กคนนี้ใไม่น้อย จึงยกมือขึ้นลูบศีรษะเขา ยิ้มกล่าวว่า “ข้าหายดีแล้ว เ้าไม่ต้องกังวล”
ซูอีมองนางนิ่งครู่หนึ่ง ในที่สุดสีหน้าก็ผ่อนคลายลง เขายัดของอย่างหนึ่งใส่มือนางแล้วะโหายไปทันที
กลางดึกใน่ฤดูใบไม้ร่วง แสงจันทร์สุกสกาวสะท้อนภาพของดอกไม้สีสันสดใสช่อนั้น
เสี่ยวหมี่ยกขึ้นดูแล้วก้มลงดม รู้สึกแสบจมูกน้อยๆ ในฤดูกาลที่ดอกไม้และพืชพันธุ์เหี่ยวเฉาเช่นนี้ หนุ่มน้อยคนนั้นทำอย่างไรถึงสามารถเก็บดอกไม้ช่อนี้มาให้นางได้...
เกาเหรินที่แอบมองอยู่กลอกตาพลางส่งเสียงฮึดฮัด สีหน้าเจือความริษยาและไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่ ในมือเขากระชับเชือกที่คล้องคอครอบครัวกวางลายจุดสามตัวเอาไว้...
ก่อนหน้านี้นางนอนซมอยู่บนเตียง ถูกแผดเผาอยู่ในความฝันทุกวันคืน แต่หลังจากฟื้นขึ้นมา ผ่านไปได้สามวันก็กลับมามีเรี่ยวแรงเช่นเดิมแล้ว นางฟื้นตัวเร็วจนลุงสามปี้และทุกๆ คนใไม่น้อย
ราวกับว่าคนที่ป่วยเกือบจนแทบไม่รอดก่อนหน้านี้ไม่ใช่นางก็ไม่ปาน ชาวบ้านที่อยู่ไกลไม่ค่อยได้รับข่าวสารบางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสี่ยวหมี่ป่วย ก็เห็นเสี่ยวหมี่ยุ่งขึ้นเขาลงเขาได้ด้วยตัวเองแล้ว
แน่นอนทุกคนที่รู้เื่เมื่อเห็นนางเป็เช่นนี้ก็พากันวางใจ
คนที่มีความสุขเป็อย่างยิ่งแน่นอนว่าไม่พ้นสองสหายจะกละของลู่เชียน เพราะพวกเขาใกล้จะต้องกลับสำนักศึกษาไปพร้อมลู่เชียนแล้ว ขามารถม้าว่างเปล่า ขากลับจะมีเสบียงถมเต็มคันรถเพราะเสี่ยวหมี่หายป่วยแล้ว
ถึงแม้การคิดเช่นนี้จะไร้คุณธรรมเกินไปหน่อย แต่พวกเขาก็ภาวนาอย่างจริงใจว่าขอให้ชาตินี้เสี่ยวหมี่ไม่ล้มป่วย พวกเขาจะได้มีลาภปาก
พี่สามลู่ตัดใจจากไปไม่ได้แม้แต่น้อย เขาเป็ห่วงที่บ้าน และสงสารน้องหญิง แต่เขามองการณ์ไกลมากกว่าพี่ใหญ่ และเฉลียวฉลาดกว่าพี่รอง
เสี่ยวหมี่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ หากของแปลกใหม่ที่นางทำออกมาไปดึงดูดคนเลวให้มาสนใจและถูกรังแกเข้าจะทำอย่างไร ตู้โหย่วไฉและที่ปรึกษาสุยก่อนหน้านี้ก็เป็แค่พวกลูกกระจ๊อก ถึงแม้สกุลลู่จะลำบากอยู่่หนึ่งแต่ก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น
แต่ครั้งต่อไปเล่า? หากครั้งต่อไปพวกเขาได้รับผลประโยชน์มากขึ้น ศัตรูก็จะร้ายกาจตามไปด้วย ถึงตอนนั้นต่อให้สกุลลู่ยอมปล่อยมือตัดใจจากทรัพย์สินเงินทองทั้งปวง ศัตรูก็ยังไม่แน่ว่าจะปล่อยพวกเขาไป
วิธีแก้ปัญหาเดียวก็คือ เขาจะต้องรีบเติบโตขึ้นมาปกป้องสกุลลู่ให่ได้ ต้องปกป้องน้องหญิงให้อยู่อย่างสงบสุขและปลอดภัยให้ได้
คืนก่อนจะกลับสำนักศึกษาคือคืนวันที่สิบเอ็ดเดือนแปด พระจันทร์กำลังส่องแสงงดงาม ดวงดาราแอบซ่อนอยู่หลังเมฆา ปล่อยให้พระจันทร์ฉายแสงโดดเด่นอยู่เพียงดวงเดียว