ทุกคนรู้สึกอยากจะเป็ลมขึ้นมา หลินเหินเป็ผู้ฝึกยุทธ์ในระดับขอบเขตแห่งจิติญญา ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติที่จะพูดแบบนั้นกับหลินอู๋
และตอนนี้หลินเฟิงก็กำลังทำเหมือนหลินเหิน นั่นก็คือให้หลินอู๋ลงไปจากเวทีประลอง แต่ไม่ได้ลงแบบธรรมดา เขาให้กลิ้งลงไป
ความอัปยศอดสูทำให้หลินอู๋เดือดดาลขึ้นมาทันที เดิมทีหลินเหินทำให้เขาอับอาย เขาก็ยังไม่ได้ระบายอารมณ์โมโหเลย และตอนนี้ไอ้ขยะในสายตาเขาก็กล้าที่จะมาดูิ่เขา นี่ทำให้หลินอู๋รู้สึกร้อนที่ใบหน้าด้วยความโกรธ ในใจก็เย็นะเืราวกับคมมีด
“เ้ารนหาที่ตาย” สายตาของหลินอู๋เจือไปด้วยจิตสังหาร ในขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งออกมา ถึงแม้ว่ากลิ่นอายนี้จะแข็งแกร่งไม่เท่ากับขอบเขตแห่งจิติญญาของหลินเหิน แต่หลินอู๋ก็ยังให้ความรู้สึกที่น่ากลัวอยู่ดี ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ เวทีประลองต่างก็รู้สึกอึดอัดกับกลิ่นอายนี้
“สาม” หลินเฟิงเริ่มนับถอยหลังขณะก้าวเท้าไปด้านหน้า พร้อมปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังกว่าหลินอู๋ออกมา ทำให้ร่างกายของหลินอู๋เกร็งเครียดขึ้นมา ความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดพลันสลายหายไปในพริบตา เหลือแต่ความใและตกตะลึง
เขาอยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 แต่ทำไมเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลิ่นอายที่ไอ้ขยะตรงหน้ามันปลดปล่อยออกมา เขาถึงได้รู้สึกกดดันขนาดนี้
ทุกคนล้วนไม่เข้าใจ เมื่อเห็นหลินอู๋ที่มีท่าทางโมโหเป็ฟืนเป็ไฟในตอนแรก จู่ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็ตกตะลึงขึ้นมา เท้าที่กำลังเดินไปหาหลินเฟิงก็หยุดลง ส่วนหลินเฟิงยังคงก้าวเท้ามาหาเขาด้วยท่าทางสงบนิ่ง แน่ล่ะสิ ก็ในเมื่อกลิ่นอายอันทรงพลังนั่น มันมีเป้าหมายแค่หลินอู๋เท่านั้น ดังนั้นทุกคนจึงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันที่มหาศาลเหมือนหลินอู๋ แต่พวกเขาก็สามารถสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของหลินเฟิง
ตอนนี้ หลินเฟิงได้สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขาอีกแล้ว มันคือการผสาน!
ใช่ มันคือการผสาน ดูเหมือนว่าตอนนี้ หลินเฟิงกำลังผสานเป็หนึ่งเดียวกับ์และปฐี
“สอง” หลินเฟิงเดินไปข้างหน้าสองก้าว แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะไม่ได้ดังกึกก้อง แต่กลับเป็เหมือนค้อนที่กำลังทุบอยู่ในใจของหลินอู๋ เขาอดไม่ได้ที่ต้องก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
กลิ่นอายอันทรงพลังนั่นแข็งแกร่งมาก จนทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก ร่างกายของเขากำลังกรีดร้องออกมาเหมือนไม่อยากจะสู้กับคนตรงหน้า ฟังดูอาจจะน่าหัวเราะ แต่ความมั่นใจของเขาถูกหลินเฟิงบดขยี้ั้แ่ก้าวมาหาได้สองก้าวแล้ว เพียงแค่สองก้าวเท่านั้น
“มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมหลินอู๋ถึงถอยหนีล่ะ?” ผู้คนต่างซุบซิบนินทา
“ข้ารู้สึกว่าหลินเฟิงเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว นั่นไม่ใช่ขยะอีกต่อไป แต่เป็เหมือนคมดาบที่อยู่ในฝัก และพร้อมที่จะออกมาฟาดฟันศัตรูที่ขวางหน้า”
“เหลือแค่คำสุดท้ายแล้วนะ” หลินเฟิงยิ้มให้หลินอู๋ แต่ในสายตาของหลินอู๋นั้น รอยยิ้มนั่นมันเป็รอยยิ้มเย้ยหยันเสียมากกว่า กระทั่งความกล้าที่จะสบตากับไอ้ขยะตรงหน้าก็ไม่มี
หอกยาวในมือร่วงลงสู่พื้น ในดวงตาของหลินอู๋ไม่หลงเหลือความร้ายกาจและเฉียบแหลมอีกต่อไป หากจะบอกว่าการดูแคลนของหลินเหินทำลายความภาคภูมิใจของเขา ทำให้เขารู้ตัวว่าไม่มีค่าพอ ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงก็ทำลายความมั่นใจของเขา ทำลายความทรงจำและความฝันของเขา การทำลายนี้แย่กว่าการดูแคลนที่เป็เปลือกนอกเสียอีก ซึ่งมันจะส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะพลังของเขาในอนาคต
“ข้ายอมแพ้” หลินอู๋สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวออกมา ในดวงตามีความสับสนอยู่บ้าง เขาคิดว่าตัวเองนั้นถูกต้องเสมอ ด้วยความแข็งแกร่งที่เขามี ดังนั้นเขาจึงหยิ่งยโสได้
“ยอมแพ้?” หลินเฟิงยิ้มอย่างเ็า “ข้าให้เ้ากลิ้งลงไป”
หลินอู๋ถูกทำให้อับอายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องพ่ายแพ้ถึงสองหนก็น่าที่จะพอแล้วไม่ใช่หรือ?
ถ้าหากหลินอู๋สามารถเอาชนะเขาได้ หลินเฟิงกล้ารับประกันเลยว่า หลินอู๋จะต้องทำให้เขาได้รับความอัปยศทุกรูปแบบ ตราบเท่าที่มันจะคิดได้ ไม่มีทางที่มันจะยอมปล่อยเขาไปดีๆ แน่ แต่พอหลินอู๋พบว่าตัวเองด้อยกว่าหลินเฟิงก็พูดยอมแพ้สองคำนี้ออกมา เพื่อให้ทุกอย่างจบลงตรงนี้... ได้เหรอ? แล้วที่เคยพูดดูิ่ก่อนหน้านี้ล่ะ? หรือว่าจะให้ปล่อยผ่านไป?
ไม่มีทาง!!! แต่ไหนแต่ไรมาหลินเฟิงก็ไม่ใช่พ่อพระ เขาเป็เพียงแค่คนธรรมดาที่กล้าที่จะรักและกล้าที่จะเกลียดเหมือนปุถุชนทั่วไป
“ข้ายอมแพ้แล้วยังไม่พอเหรอ ถึงจะให้ข้ากลิ้งลงไปอีก” หลินอู๋เริ่มโมโหขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว
“ยอมแพ้แล้วจะพอหรือ? เ้าบอกว่าข้าเป็ขยะ เป็ตัวอัปรีย์ของตระกูล ทั้งๆ ที่ข้าไม่เคยทำอะไรเ้าเลย แม้แต่ด่าเ้าสักครั้งก็ไม่!!! เ้าเคยคิดถึงตรงนี้บ้างไหม? เ้าถูกคนอื่นดูแคลน แล้วมาลงที่ข้า ทำให้ข้าต้องได้รับความอับอาย เ้าเคยคิดถึงมันไหม?” หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็า “ตอนนี้พอเ้าตระหนักได้ว่าตัวเองเทียบกับข้าไม่ได้ ก็พ่นคำว่ายอมแพ้สองคำออกมาง่ายๆ เพื่อขอให้ข้ายกโทษให้ นี่เ้าไม่คิดว่ามันน่าตลกไปหน่อยเหรอ?”
สีหน้าของหลินอู๋ซีดขาวดูน่าเกลียดมาก
“ดูเหมือนว่าจะนับครบแล้วนี่” หลินเฟิงยกยิ้มที่มุมปากอย่างเ็า “ข้าจะให้โอกาสเ้าเป็ครั้งสุดท้าย ไสหัวไป ไม่งั้นผลที่ตามมาเ้าต้องรับผิดชอบเอง”
ขณะที่พูดหลินเฟิงก็ก้าวเท้าเดินอีกครั้ง หลินอู๋ครางอู้อี้ก่อนจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอายและอ่อนแอ
หลินเฟิงปล่อยจิตสังหารที่เยือกเย็นออกมา ทำให้ในใจของหลินอู๋สั่นสะท้านด้วยความกลัว ไม่ว่าเขาจะรู้สึกอับอายหรือเศร้าซึมมันก็ไม่สำคัญ เพราะจิตสังหารที่หนาวเหน็บนั่น ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับเขาเป็อย่างมาก
“ข้าจะกลิ้ง” จู่ๆ หลินอู๋ก็หัวเราะ แต่เป็เสียงหัวเราะที่ฟังดูโศกเศร้า เขานอนราบลงไปกับพื้น ก่อนจะค่อยๆ กลิ้งลงไปจากเวทีประลอง
“ไอ้ขยะ ตัวอัปรีย์ของตระกูล”
“ขยะก็ยังคงเป็ขยะอยู่วันยังค่ำ ดีแต่ใช้เทคนิคสกปรกๆ พวกนั้น”
“เ้าไสหัวไปซะ อย่ามาทำให้ขายขี้หน้าผู้คนที่นี่”
ขณะที่กำลังกลิ้งอยู่นั้น หลินอู๋ก็นึกถึงประโยคที่ตัวเองเคยดูถูกหลินเฟิงไว้ พอมองย้อนกลับไปแล้วมันเหมือนเป็เื่ตลกชัดๆ เขา… หลินอู๋ผู้ที่อยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 และมีพร์ที่เลิศล้ำ ทั้งๆ ที่เป็แบบนั้นแล้วทำไมถึงได้มาตกอยู่ในสภาพนี้ได้ล่ะ?
ฝูงชนเห็นหลินอู๋กำลังกลิ้งลงมาจากเวทีประลอง ในดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววไม่อยากจะเชื่อออกมา พวกเขาคิดว่าหลินเฟิงบ้าไปแล้ว ที่กล้าสั่งให้หลินอู๋กลิ้งลงไป แต่ที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ หลินอู๋จะทำอย่างที่หลินเฟิงพูดจริงๆ
“หลินอู๋” ผู้าุโเจ็ดลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายสั่นเทา มันเป็แบบนั้นไปได้อย่างไร ลูกชายของเขาควรจะเป็ความภาคภูมิใจของตระกูล ควรที่จะเป็หนึ่งในอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุด ถึงแม้ว่าจะเทียบเคียงหลินเชียนไม่ได้ อย่างน้อยๆ ก็ยังเปล่งรัศมีรุ่งโรจน์เหนือรุ่นเยาว์คนอื่นๆ แต่ทำไมใน่เวลาสั้นๆ หลินอู๋กลับต้องมาอับอายถึงสองครั้ง แม้กระทั่งตอนนี้ยังต้องมากลิ้งไปตามพื้นอีก
“ไอ้สารเลว” ร่างกายของผู้าุโเจ็ดสั่นเทาไปด้วยความโกรธอย่างรุนแรง ขณะที่จิตสังหารได้ทะลักออกมาจากร่างอย่างต่อเนื่อง
“หึ”
หลินไห่รู้สึกถึงจิตสังหารที่ปล่อยออกมาจากตัวผู้าุโเจ็ด บรรยากาศรอบๆ ก็เหมือนถูกแช่แข็ง ในพริบตาก็กลายเป็ความหนาวเย็นอย่างน่ากลัว
“ใจเย็น” หลินป้าต้าวมองไปที่ผู้าุโเจ็ดและกล่าวว่า “วางใจเถอะ เ้าขยะนั่น มันหยิ่งยโสได้ไม่นานหรอก”
แต่ความโกรธของผู้าุโเจ็ดก็ยังไม่จางหายไป เขาจ้องมองไปที่หลินไห่ด้วยสายตาโมโหขณะที่นั่งลง
“หลินเฟิงเป็ผู้ชนะ” ผู้าุโหกประกาศ ดวงตาที่ล้ำลึกของเขาจ้องมองไปที่หลินเฟิงเงียบๆ
หลินเฟิงไม่ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ที่ตกทอดมาจากตระกูลหลินมากนัก เพราะเขาไม่ได้สืบทอดจิติญญาแห่งเพลิงหรือน้ำแข็งของตระกูลหลินมา มีเพียงแค่จิติญญางูผอมๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น และจิติญญางูตัวนั้นก็ไม่ได้ดูดุร้ายหรือน่าเกรงขามแต่อย่างใด อีกทั้งยังใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย นับได้ว่าเป็จิติญญาที่ไร้ประโยชน์ ด้วยเหตุนี้หลินเฟิงจึงถูกเรียกว่าไอ้ขยะ
ประกอบกับความเร็วในการบ่มเพาะของหลินเฟิงนั้นค่อนข้างช้ามาก ยิ่งทำให้หลินเฟิงมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ทุกคนล้วนดูถูกเหยียดหยาม แต่ขยะคนนั้นกลับสามารถเอาชนะหลินเหยี้ยนได้ในกระบวนท่าเดียว และยังสั่งให้หลินอู๋ต้องกลิ้งลงจากเวทีประลองไป หลินเฟิงยังเป็ไอ้ขยะในตอนนั้นจริงๆ เหรอ?
“เมื่อพ่อเป็ั ลูกชายก็ไม่อาจเป็งูได้” ผู้าุโหกครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “พักการประลองครึ่งชั่วโมง ค่อยเริ่มดำเนินงานต่อ”
“ท่านผู้าุโ พวกข้าทั้งสี่คนยังไม่เหนื่อย ไม่จำเป็ต้องพัก เริ่มการประลองต่อเถอะ” หลินเชียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย แม้ว่าต้องเผชิญหน้ากับผู้าุโของตระกูล แต่นางก็ยังคงแสดงท่าทางหยิ่งยโสเหมือนเดิม วิสัยทัศน์ของนางในตอนนี้เปิดกว้างแล้ว กับอีแค่ผู้าุโตระกูลหลินคนหนึ่งจะนับว่าเป็อะไรได้ หากคุณชายต้าเผิงคิดจะจัดการกับพวกเขา ก็สามารถทำได้ง่ายๆ
“ใช่! เริ่มประลองต่อเถอะ” หลินหงรู้ว่า 4 คนสุดท้ายนั้น 2 ใน 4 จะต้องเป็พวกเขาสองคนพี่น้องอย่างแน่นอน วันนี้คนที่ได้หน้าได้ตาที่สุดก็คือ หลินป้าต้าวอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้าุโหกหันไปมองที่หลินเฟิงแล้วถามว่า “เ้าคิดว่าอย่างไร?”
ส่วนหลินเหินลูกชายของเขา เขาสามารถตัดสินใจแทนได้
“ได้” หลินเฟิงหยักหน้า จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้มีการต่อสู้ที่แท้จริง
“ในเมื่อพวกเ้าเห็นด้วย เช่นนั้นก็เริ่มการประลองต่อเถอะ” ผู้าุโหกกล่าวต่อไปว่า “ในการต่อสู้รอบสุดท้าย หลินเฟิงพบหลินหง และหลินเชียนพบหลินเหิน คู่หลินเฟิงกับหลินหงจะต่อสู้ก่อน”
“คาดไม่ถึงเลยว่าผู้าุโหกจะวางแผนให้หลินเชียนคู่กับหลินเหิน ดูเหมือนว่าเขาจะหวังในตัวหลินเหินมาก”
“หลินเหินมีขอบเขตแห่งจิติญญาเหมือนกับหลินเชียน แม้ว่าหลินหงจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ใช่คู่มือของหลินเหินอยู่ดี ส่วนหลินเฟิงก็ไม่สามารถเอาชนะหลินเหินได้ มีเพียงหลินเชียนเท่านั้นที่จะสามารถต่อสู้กับเขาได้” ผู้าุโหกคิดอย่างรอบคอบจึงได้วางแผนเช่นนี้ ส่วนลำดับชื่อไม่สำคัญ ที่สำคัญคือความแข็งแกร่ง
ทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ตอนนี้เองหลินป้าต้าวก็ได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ผู้าุโหก ให้ข้าพูดอะไรสักเล็กน้อยได้หรือไม่?”
“ได้” ผู้าุโหกพยักหน้า
“พวกเขาทั้งสี่คน คือผู้ที่อยู่จุดสูงสุดในงานชุมนุมประจำปีของตระกูลหลิน และเป็ตัวแทนของคนรุ่นเยาว์ ข้าคิดว่าแค่ยอมแพ้มันไม่พอหรอก แต่ต้องสู้กันจนกว่าอีกฝ่ายจะล้มลงไปกองกับพื้น ถึงจะถือว่าชนะ จะได้กระตุ้นแรงบันดาลใจของทุกคน และแสดงความสามารถที่แท้จริงของพวกเขาออกมา” หลินป้าต้าวกล่าวด้วยความมั่นใจ ขณะที่มองไปยังหลินไห่ด้วยแววตาท้าทาย
“ช่างโเี้ ดูเหมือนว่าลุงใหญ่้าให้หลินหงทำร้ายหลินเฟิง” ไม่มีใครไม่เข้าใจความคิดของหลินป้าต้าว
“ท่านผู้นำ ท่านคิดอย่างไรกับข้อเสนอของข้า?” หลินป้าต้าวเน้นคำว่า ‘ท่านผู้นำ’ สองคำนี้อย่างหนักแน่นเป็พิเศษ ขณะมองหลินไห่อย่างเยาะเย้ย หากหลินไห่สัญญา หลินเฟิงก็ต้องเผชิญกับอันตราย แต่ถ้าไม่สัญญา มันจะทำลายมาดที่น่าเกรงขามของตำแหน่งผู้นำ หลินป้าต้าวจะใช้โอกาสนี้ทำลายหลินไห่และหลินเฟิง
