นางใช้ยันต์ล่องหนหนึ่งแผนลอบแฝงตัวกลับเข้ามาเงียบเชียบ เดิมทีคิดพุ่งเป้าหมายไปที่หมูเทพ ใครเลยจะรู้ว่านางบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างชิวหลิงและสหายเสียก่อน
คิดจะลอบกัดนางหรือ ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะถูกลอบกัดด้วย!
ตบหน้าจนสาแก่ใจ ฉวยโอกาสที่ทุกคนต่างพุ่งความสนใจไปที่ชิวหลิง นางรีบพุ่งไปยังฝูงหมูเทพ
หมูเทพหนึ่งร้อยตัวเชียว! ทำหมูสามชั้นในน้ำซอสได้กี่จานกันนะ
ดวงตาทั้งคู่ของนางเปล่งประกาย
ทางด้านนี้ทุกคนยังคงกำลังปลอบประโลมชิวหลิง พลันได้ยินเสียงร้องของฝูงหมูเทพที่ดังขึ้นมา พวกเขามองไปเห็นเพียงฝูงหมูเทพที่รวมตัวกันเป็กลุ่มก้อนดำๆ นั้นลดเหลือเพียงครึ่งเดียว อีกทั้งจำนวนยังลดลงเรื่อยๆ อีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้น”
“หมูเทพหายไปไหน”
“เจอผีโดยแท้!”
ทุกคนมีสีหน้าร้อนใจ โดยเฉพาะผู้าุโที่หน้าเผือดขาว พวกเขาต้องเสียพลังลมปราณไปมากมายเพียงใดจึงจะควบคุมหมูเทพหนึ่งร้อยตัวนี้ได้ เพียงแค่พริบตาก็หายไปอย่างหาเหตุผลไม่ได้ พวกเขาจะชี้แจงกับไท่จื่ออย่างไร
“เร็วเข้า รีบไปจับตาดูหมูเทพที่ยังเหลืออยู่ไว้ให้ดี!”
เฟิ่งเฉี่ยนกำลังสนุกสนานอย่างสุดขีด มือซ้ายหิ้วหมูเทพหนึ่งตัว มือขวาถือหมูเทพตัวหนึ่ง มือทั้งคู่จับหมูเทพพร้อมๆ กัน ไม่มีเวลาหยุดหย่อน กระทั่งสุดท้ายนางเพลิดเพลินจนลืมเวลา เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพบว่าตนเองถูกล้อมเอาไว้เสียแล้ว!
ที่แท้แม้นางจะล่องหนได้ แต่หากสังเกตตามจำนวนหมูเทพที่ลดน้อยลงไป เหล่ายอดฝีมือย่อมมองออกถึงพิรุธ วงล้อมที่รายล้อมจึงเล็กลงเรื่อยๆ และล้อมนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว!
เฟิ่งเฉี่ยนหยุดมือทันที นางกลั้นลมหายใจไม่เคลื่อนไหว
เสียงฟ่านฟ่านดังขึ้นในสมองของนางตอนนี้เอง [เ้านาย ยันต์ล่องหนยังทำงานอีก 20 วินาที 19 วินาที 18 วินาที 17 วินาที...]
เฟิ่งเฉี่ยนร้อนใจดั่งไฟสุมกับเวลาที่ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ เมื่อหมดเวลา นางย่อมจะปรากฏกายต่อหน้าทุกคน พวกเขาไม่มีทางปล่อยนางแน่ ทำอย่างไรดี
เหงื่อเม็ดโต ขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลลงมาจากหน้าผาก
รู้เช่นนี้แต่แรกก็ควรจะหยุดมืออย่างพอควร...
แต่เมื่อเห็นว่าเบื้องหน้าเหลือหมูเทพเพียงไม่ถึงสิบตัว หากไม่เก็บพวกมันไปให้หมด นางก็รู้สึกหัวใจคันยุบยิบ ทนไม่ได้นี่นา!
“วางค่ายกล!”
“ไม่ว่ามันจะเป็คนหรือเป็ผี จะต้องจับตัวมันออกมาให้ได้!”
“ดึงตาข่าย!”
เหล่ายอดฝีมือกดดันเข้ามาทีละก้าวๆ ปากตาข่ายรัดแน่นขึ้นทุกทีๆ...
ในวินาทีวิกฤติ เฟิ่งเฉี่ยนพลันนึกอะไรได้ นางคว้าพริกป่นออกมาจากลิ้นชัก แล้วสาดเข้าไปที่ดวงตาของยอดฝีมือเ่าั้!
หนึ่งกำมือ สองกำมือ สามกำมือ...
นางฟ้าโปรยบุปผา!
“อ๊ากก!”
“ดวงตาของข้า!”
“ให้ตายเถอะ ข้าเผ็ดจะตายอยู่แล้ว!”
ฉวยโอกาสที่เหล่ายอดฝีมือกำลังตกอยู่ในความอลหม่าน เฟิ่งเฉี่ยนเร่งมือทำเวลาเก็บหมูเทพที่เหลือเข้าไปในลิ้นชักของนาง จากนั้นหนีไปจากตรงไหนโดยไม่หยุดแม้แต่วินาทีเดียว...
[5 วินาที 4 วินาที 3 วินาที...]
ไกลออกไปเห็นเงาร่างสีดำร่างหนึ่งลากเงาร่างยาวๆ รวดเร็วปานสายฟ้าฟาดวิ่งผ่านป่าไม้และพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต!
รอเมื่อเหล่ายอดฝีมือมองเห็นได้เป็ปกติ เมื่อช้อนตาขึ้นอีกครั้งพบว่าหมูเทพหายไปหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว แต่ละคนมีสีหน้าแทบสิ้นสติ!
“แย่แล้ว คราวนี้แย่แล้ว!”
อาจารย์ผู้ฝึกสัตว์คนหนึ่งนั่งแปะลงกับพื้น
อาจารย์ผู้ฝึกสัตว์คนอื่นๆ มีสีหน้าเขียวคล้ำ สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
ชิวหลิงหันไปมอง นางเห็นเงาร่างสีดำวิ่งหนีไปทางด้านนั้นอย่างรวดเร็วซ้ำยังมีหมูตัวหนึ่งด้วย นางจึงร้องเสียงดัง “นางอยู่ที่นั่น เร็วเข้า รีบตามไป--”
เหล่ายอดฝีมือมีสีหน้าเคร่งเครียด ไล่ตามไปอย่างเดือดดาล
เฟิ่งเฉี่ยนซ่อนตัวอยู่บนกิ่งไม้ที่มีกิ่งก้านหนาแน่น มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งเต็มไปด้วยไอสังหารวิ่งผ่านใต้ต้นไม้ไป นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ล้วนกล่าวว่าสถานที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอยภัยที่สุด เป็เช่นนั้นจริงๆ!
รอเมื่อคนทั้งหมดผ่านไปหมดแล้ว นางจึงค่อยๆ ปีนลงมาจากต้นไม้แล้ววิ่งย้อนกลับไปอีกทางหนึ่ง
วิ่งมาได้ครึ่งทาง พลันได้ยินเสียงร้องคำรามะเืเลือนลั่นดังมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ กระทั่งแผ่นดินยังเกิดอาการสั่นไหว เฟิ่งเฉี่ยนมีสีหน้าตื่นตะลึง “หรือเป็สัตว์ประหลาดในถ้ำเมฆาอัคคี”
ไม่มีเวลาให้ลังเลอีกต่อไป นางมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียงนั้นทันที
ด้านนอกถ้ำเมฆาอัคคี เซวียนหยวนเช่อและมู่หรงจื่ออวิ๋นกำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดตัวนั้นท่าทางดุร้าย บนหัวของมันมีเขา ร่างของมันทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยเกล็ด ยังมีหางอีกด้วย ในปากพ่นไฟได้ มันก็คือกิเลนไฟตัวหนึ่งนั่นเอง
คนทั้งสองปะทะกับกิเลนไฟเป็ร้อยกระบวนท่า แต่ยังคงไม่อาจเข้าไปในถ้ำได้แม้แต่ก้าวเดียว
มู่หรงจิ่งเทียนมาถึงในเวลานี้เอง มู่หรงจื่ออวิ๋นยินดีปรีดา นางหันมากวักมือเรียกเขาทันที “เสด็จพี่ ท่านมาได้จังหวะเหมาะพอดี รีบมาช่วยข้า!”
มู่หรงจิ่งเทียนดึงกระบี่แล้วเหินเข้ามาอย่างรวดเร็ว วินาทีที่เขากำลังจะมาถึงตัวปลายกระบี่ของเขากลับเปลี่ยนทิศทาง หันไปแทงเข้าใส่เซวียนหยวนเช่อ
มู่หรงจื่ออวิ๋นหน้าซีดเผือด นางร้องะโ “เสด็จพี่ ท่านทำอะไร”
เซวียนหยวนเช่อกลับเตรียมป้องกันตัวไว้แต่แรกแล้ว เขาดึงกระบี่ออกมารับคำท้าเช่นกัน
ชั่ววินาทีนั้น แสงจากดาบและกระบี่ปะทะกันจนเกิดสะเก็ดประกายไฟ
มู่หรงจิ่งเทียนยิ้มเ็า “จื่ออวิ๋น เ้าไร้เดียงสาเกินไป เ้าคิดว่าข้ามาช่วยเ้าด้วยความจริงใจเช่นนั้นหรือ”
มู่หรงจื่ออวิ๋นไม่เข้าใจ “เสด็จพี่ ท่านกำลังพูดอะไรกันแน่”
มู่หรงจิ่งเทียนแค่นฮึเสียงเย็น “ไฉนเ้าจึงไม่ลองถามเขาดูเล่าว่า เหตุใดเขาจึงเดินทางมายังป่าหมอกดำแห่งนี้”
หัวใจของมู่หรงจื่ออวิ๋นหล่นวูบ นางหันไปมองเซวียนหยวนเช่อ “อาเช่อ หรือเ้าก็มาเพื่อ...”
เซวียนหยวนเช่อพูดด้วยสีหน้ายากจะแยกแยะอารมณ์ “ถูกต้อง ข้ามาเพื่อเชื้อไฟจุดิญญา!”
มู่หรงจื่ออวิ๋นยิ้มขื่น นางปรารถนาให้เขาพูดเท็จกับนางก็ยังดีกว่าเขาเปิดอกพูดจากับนางเช่นนี้ ช่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย
“อาเช่อ เชื้อไฟจุดิญญามีความสำคัญต่อข้ามาก ท่านมอบมันให้กับข้าได้หรือไม่”
เซวียนหยวนเช่อรับมืออย่างมีสมาธิ ทว่ากลับตอบนางด้วยน้ำเสียงหนักแน่นยืนกรานโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ามา “ไม่ได้!”
มู่หรงจื่ออวิ๋นยิ้มฝาดเฝื่อน และเงียบงันไปในที่สุด
มู่หรงจิ่งเทียนกลับออกกระบวนท่าหมายเอาชีวิตทุกย่างก้าว คมกระบี่เฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็น “จื่ออวิ๋น เ้ายังไม่ยอมถอดใจอีกหรือ นับั้แ่วันที่เขาไปจากเมืองหลวงเขาก็ไม่ใช่เซวียนหยวนเช่อคนเดิมอีกแล้ว! เซวียนหยวนเช่อ เปิ่นไท่จื่อเคยบอกกับเ้า ระหว่างเ้าและข้า มีเพียงคนเดียวที่จะมีชีวิตรอด! ไม่ใช่เ้าตาย ก็เป็ข้าที่มอดม้วย!”
เซวียนเหยวนเช่อรับมือด้วยความสุขุม สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงและตอบเสียงเย็น “เ้าในตอนนี้ ยังไม่คู่ควรจะเป็คู่ต่อสู้ของเจิ้น! รอให้เ้าขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่นเสียก่อน ค่อยมาดวลกับเจิ้น!”
คำพูดของเซวียนหยวนเช่อยั่วโทสะมู่หรงจิ่งเทียน เขาตวัดแขนขวาพร้อมกับตวาดเสียงดัง “รับความตายเถอะ เคลื่อนย้ายจันทราดารา—“ เริ่มการโจมตีครั้งใหม่...
เซวียนหยวนเช่อไม่หลบหลีก เขาต้านรับกระบี่นั้นด้วยกระบวนท่า “ัขาวท่องสมุทร--”
เฟิ่งเฉี่ยนรีบรุดมาถึงด้านนอกถ้ำเมฆาอัคคี นางมองจากไกลๆ เห็นเงาร่างของคนทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด คนหนึ่งสวมชุดผ้าแพรสีดำ นั่นก็คือมู่หรงจิ่งเทียนที่นางได้พบก่อนหน้านี้ อีกคนหนึ่งสวมชุดลำลองสีขาวเงินยวง ทั้งๆ ที่เป็สีที่แสนจะอบอุ่นทว่ากลับแผ่กระจายออกมาเป็เซวียนหยวนเช่อในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ!
เอ๊ะ? เหตุใดพวกเขาทั้งสองคนจึงมาต่อสู้กันได้
แต่ดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว คนทั้งสองประมือกันอย่างเอาเป็เอาตาย ทว่าเซวียนหยวนเช่อกลับดูใจเย็นสุขุม และอยู่เหนือกว่า ส่วนมู่หรงจิ่งเทียนนั้นกดดันทุกกระบวนท่า เขาคิดจะสลัดอีกฝ่ายให้หลุด แต่กลับทำได้ไม่ง่ายดาย
ที่ทำให้นางตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ ความสามารถของพวกเขาอยู่เหนือการคำนวณของระบบ ระบบไม่อาจอ่านขีดความสามารถและพลังการสู้รบของพวกเขาได้
ห่างจากคนทั้งสองไม่ไกล องค์หญิงจื่ออวิ๋นมองดูทุกอย่างด้วยความร้อนรน สีหน้าเคร่งเครียด
ต่อมา เฟิ่งเฉี่ยนเห็นกิเลนไฟตัวนั้น นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ!
นี่มันเป็สัตว์ประหลาดอะไรกัน ถึงกับมีขนาดใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้
เห็นมันฟุบร่างอยู่ปากถ้ำ ดวงตาดุร้ายคู่นั้นจ้องเขม็งไปที่คนทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับกำลังรอโอกาสที่จะลอบโจมตี
หลังจากความตื่นตระหนกผ่านพ้นไป ดวงตาของเฟิ่งเฉี่ยนกลอกไปมา นี่คือโอกาสอันดียิ่ง!
ฉวยโอกาสที่พวกเขากำลังต่อสู้กัน นางลอบเข้าไปในถ้ำขโมยเชื้อไฟจุดิญญาโดยที่ไม่มีใครรู้ อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้