สิ่งที่สวี่ตี้พูดมานั้นง่าย แต่เวลาทำจริงนั้นยากมาก
เส้นทางระหว่างูเาเป็ระยะทางที่ไกลมาก จุดที่แคบที่สุดคือรถม้าสามารถผ่านได้เพียงคันเดียว สวี่ตี้คิดถึงสถานที่นี้ ตอนแรกยังไม่ชัดเจนว่ามีกี่คน แล้วก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเว่ยหลางที่อยู่ทางด้านด่านเยี่ยนเหมินจะได้รับจดหมายแล้วหรือไม่ สวี่ตี้ไม่กล้าที่จะเอาความคิดนี้ไปลงมือทำจริง แต่ตอนนี้สถานการณ์ชัดเจนแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
สวี่ตี้นั้นเป็คนที่ระมัดระวังอันตรายมาก ไปสถานที่หนึ่งก็มักจะมองใกล้ๆ ว่ามีอันตรายอะไรหรือไม่ เพราะว่าจะต้องไปที่ไร่เป็ประจำ ทุกครั้งตอนที่เดินทางผ่านหุบเขาก็จะมองว่าตรงไหนจะเกิดดินถล่มง่าย จะไม่มีอันตรายซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้ใช่หรือไม่?
เดิมคิดว่ารอมีเวลาแล้วจะซ่อมที่นี่ให้ดีสักหน่อย โชคดีที่ยังไม่ได้ลงมือ จึงอาศัยโอกาสนี้เอาก้อนหินที่หลวมๆ บนูเาพวกนั้นกลิ้งลงมาอุดทางไว้
สวี่ตี้พาคนเดินเข้าไปในหุบเขาแห่งนี้ หลังจากถึงที่หมายแล้วก็อาศัยแสงจันทร์สลัวลงมือ พวกเขาร่วมมือกันผลักก้อนหินลงมาจากริมผาเพื่อปิดรูนั้น เมื่อเห็นว่าตรงกลางยังมีรูขนาดหนึ่งคนกว่าลอดผ่านไปได้ ก็ไปหาตัดต้นไม้มายัดเอาไว้
เมื่อจัดการสิ่งนี้เสร็จเวลาก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว สวี่ตี้รู้สึกว่ามือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเหงื่อ จึงพาคนไปซ่อนตัวในูเา ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังมาจากที่ไกลออกไป
ต่อมา หม่าิก็ส่งคนให้พาสวี่ตี้ไปส่งในเมือง แต่สวี่ตี้ไม่วางใจจึงรออยู่ที่ประตูเมืองตลอด จนกระทั่งหม่าิได้รับชัยชนะกลับมา ทั้งยังเอาของที่ยึดมาจากการทำาชนะมอบให้กับสวี่ตี้ ในเวลานี้เป็เวลารุ่งสาง ทางด้านทิศตะวันออกขอบฟ้าเริ่มที่จะมีสีฟ้าอ่อนๆ แล้วค่อยๆ มีแสงสาดส่องมาจากทางนั้นจนกลายเป็สีฟ้ากระจ่างสาดส่องไปทั่วพื้นดิน
สวี่ตี้มองคนที่จูงม้าหรือยกของเดินเข้าไปในเมืองก็สูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกสดชื่นไปทั้งตัว ไม่ได้รู้สึกง่วงงุนจากการไม่ได้นอนเลยสักนิด ทั้งหน้าตายังสดใสมาก
สวี่ตี้ตามคนและม้าค่อยๆ เข้าเมืองมา หลังจากเข้าเมืองมาแล้วก็รีบเดินทางไปที่สำนักงานเขต
จางจ้าวฉือเมื่อคืนได้เอาสำนักงานเขตมาเป็สถานที่รักษาคนที่ได้รับาเ็ แล้วหาสถานที่ลับตรงประตูเมืองทิศตะวันออกเป็สถานที่ทำแผลและตรวจร่างกาย ในคืนนี้จางจ้าวฉือไม่ได้นอนเลยแม้แต่วินาทีเดียว นางสวมชุดป้องกันที่ตนเองทำขึ้นมา แล้วก็ใส่หมวกอนามัยที่ทำขึ้นมาเอง ทั้งยังใส่ผ้าปิดปากที่เป็ผ้าฝ้ายนิ่ม ผู้ที่ได้รับาเ็ทุกคนที่เข้ามาก็จะผ่านจางจ้าวฉือที่ได้ตรวจร่างกายอย่างรวดเร็วแล้วค่อยส่งให้กับหมอแต่ละคน อาจมีพันแผลให้บ้าง หรือหากจำเป็ต้องทำการผ่าตัดก็ทำแบบง่ายๆ บางครั้งก็ยังต้องเย็บแผลให้ แผลพวกนี้ส่วนมากล้วนมาจากธนู
จางจ้าวฉือมีประสบการณ์กับาแภายนอกมามาก คนที่ถูกนางจัดการาแปกติแล้วจะไม่มีปัญหาอะไรมาก ต่อไปก็เป็เื่ของการพักรักษาตัว ดังนั้นคนไข้จำนวนมากต่างหวังว่าจะให้จางจ้าวฉือเป็คนตรวจและรักษาให้ เมื่อเป็เช่นนี้ จางจ้าวฉือก็ยิ่งงานยุ่ง หลังจากคนของเป่ยตี้จากไปแล้ว ทุกคนก็ยุ่งั้แ่ประตูเมืองจนถึงในสำนักงานเขต
สวี่เหราที่เป็ผู้นำของเหอซี การที่คนของเป่ยตี้มาโจมตีเมือง จะต้องพาทุกคนในเมืองไปป้องกันประตูเมือง และยามปกตินั้นได้ฝึกซ้อมเป็พิเศษ เน้นคนมาก บวกกับถึงหน้าหนาวพอดี ตอนกลางคืนก็ทำงานหนักไม่กล้านอน จึงคอยจ้องไปด้านนอกเมืองอยู่ตลอด คนของเป่ยตี้ยังมาไม่ถึงกำแพงเมือง แต่คนที่คอยเฝ้าตอนกลางคืนกลับพบเข้าแล้วจึงส่งสัญญาณเตือน การเตือนภัยนั้นเป็สวี่เหราเลือกมาโดยเฉพาะ กลองหนังเหล็กหนึ่งเครื่อง บวกกับไม้ตีที่ทำจากเหล็กยาวๆ เคาะออกมาจะทำให้เกิดเสียงดังมาก ยามที่ประตูทิศตะวันออกตี ประตูทิศตะวันตกก็จะได้ยิน
ประตูทั้งสี่ไม่ว่าจะประตูไหนเมื่อเสียงกลองดังออกมาแล้ว อีกสามประตูก็จะตีกลองตาม เพื่อที่จะให้ประชาชนในเมืองสามารถรับรู้เื่ที่เกิดขึ้นในทันที จากนั้นทุกคนก็จะทำตามที่ฝึกในเวลาปกติ โดยซ่อนตัวก่อน ถ้าหากถึงโอกาสที่เหมาะสม สำนักงานก็จะส่งสัญญาณ ทุกคนก็จะอพยพกันตามลำดับ
สัญญาณของประตูทิศตะวันออกดังขึ้น กลับทำให้คนเป่ยตี้ที่อาศัยความมืดเข้ามาพวกนั้นใ เดิมทีคิดว่าจะสามารถโจมตีประตูได้อย่างเงียบเชียบ ปรากฏว่าการเดินทางถูกพบเข้าแล้ว จึงทำได้แค่ฝืนโจมตีต่อไป
ภายใต้การฝืนโจมตี คนที่อยู่้ากำแพงเริ่มที่จะมึน ผู้ใดต่างก็คิดไม่ถึงว่าเริ่มต้นจะเป็ฝนธนูมากมายที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว หลายคนล้มลงั้แ่่แรกของฝนธนู ต่อมาทุกคนก็มีการป้องกัน คนที่ได้รับาเ็จึงน้อยลงมาก
สวี่เหรามีสัญญาณลับกับทางด่านเยี่ยนเหมิน ถ้าหากทางนี้ถูกคนลอบโจมตี ตอนกลางวันจะจุดสัญญาณควัน ตอนกลางคืนจะปล่อยพลุ พลุนั้นเป็การสั่งทำพิเศษ ปล่อยออกไปตอนกลางคืนจะบินขึ้นไปได้ทั้งสูง ทั้งสว่าง ทั้งยังมีเสียงดัง เป็สิ่งที่สวี่ตี้ช่วยทำออกมา ผลการทดสอบดีมาก นี่เป็ครั้งแรกที่สวี่เหราใช้เ้าสิ่งนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าประสิทธิภาพจะเป็อย่างไร แต่ว่าก็ยังทำตามที่นัดหมาย เขายืนอยู่ในสำนักงาน แล้วปล่อยพลุออกไปติดกันสามอัน
นี่ก็เป็เหตุผลว่าเหตุใดด่านเยี่ยนเหมินที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ถึงสามารถรู้ว่าทางเหอซีถูกลอบโจมตี ทางด่านเยี่ยนเหมินได้ส่งคนมาเฝ้ายามที่เหอซีโดยเฉพาะ ในสถานที่นี้มีพื้นที่ค่อนข้างสูงซึ่งทำเป็หอสอดแนมตึกหนึ่ง ที่นี่ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่น ตอนเช้ากับตอนกลางคืนก็แค่คอยตรวจตราสถานการณ์ของเหอซี พอเห็นศัตรูก็ส่งสัญญาณเตือน โดยการใช้กลองมาตีแรงๆ เช่นนี้ทางด่านเยี่ยนเหมินก็จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นโดยอัตโนมัติ สามารถจัดคนไปช่วยเหลือ รวมถึงวางแผนจัดการเื่ถัดไปได้อย่างทันท่วงที
พวกนี้ล้วนเป็สิ่งที่สวี่ตี้คิดออกมา ด่านเยี่ยนเหมินกับเหอซีนั้นเป็ปากกับฟันที่ต้องพึ่งพากัน หากทั้งสองฝ่ายเกิดเื่อะไรขึ้น เช่นนั้นจะต้องหาวิธีการรับมือที่ถูกต้องที่สุดในเวลาที่รวดเร็วที่สุด บนสนามรบอาจจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ได้ หากรับมือไม่ดี มีความเป็ไปได้ว่าทั้งสองที่จะถูกทำลายทั้งหมด
สวี่เหรานั่งอยู่ในสำนักงานตลอด คอยจัดกำลังคน ลูกน้องได้ผ่านการฝึกซ้อมมาแล้วหลายครั้ง ถึงแม้จะไม่เคยประสบกับการถูกลอบโจมตีมาก่อน แต่เพราะว่าปกติสวี่เหรามักจะเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฝึกซ้อม บวกกับตำแหน่งของสวี่เหราที่แปะหราอยู่ตรงหน้า ทุกคนจึงไม่กล้าทำเหยาะแหยะ เื่ที่ประสบกับการลอบโจมตีในครั้งนี้ ภายใต้การจัดการของสวี่เหราจึงไม่เห็นความหวาดหวั่นใดๆ
คนของเว่ยหลางมาได้ทันเวลา เมื่อรู้ว่าคนของด่านเยี่ยนเหมินมาถึงแล้ว สวี่เหราถึงได้วางใจลง รู้ว่าคนเป่ยตี้ไม่มีทางได้อะไรไปจากที่นี่ ขอแค่อดทนไม่ให้ประตูเมืองถูกทำลายก็จะไม่มีอันตราย ดังนั้นวิธีการทำาที่สวี่เหราให้มาก็คือ ปกป้องประตูเมือง ถึงแม้ในครั้งนี้พวกเขาจะมากะทันหัน แต่ว่าพวกนั้นเพิ่งจะมากันตอนกลางคืนค่อยเตรียมตัว จะครบถ้วนเท่ากับที่นี่ที่มีการเตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้าหรือ?
โชคดีที่หลังจากเที่ยงคืน คนเป่ยตี้ก็ถอยทัพไป ด่านเยี่ยนเหมินก็ส่งทหารรักษาการณ์ตามออกไปห้าร้อยนาย หลังจากสวี่เหราปิดประตูเสร็จแล้วก็เตรียมตัวทำความสะอาดสนามรบ สรุปกลางดึกก็ได้ยินมาว่าทางทหารด่านเยี่ยนเหมินได้ฆ่าคนเป่ยตี้ทั้งหมดแล้วและได้รับชัยชนะกลับมา
ม้าศึกของคนเป่ยตี้มีความเป็อยู่เหมือนกับรถถัง ม้าศึกพวกนี้ล้วนผ่านการคัดสรรมาอย่างถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็หัว ความเร็วในการวิ่งและความอึดล้วนอยู่อันดับต้นๆ นี่เป็ม้าศึกที่ต้าเหลียงไม่มี คนเป่ยตี้จึงมีการค้าขายผูกขาดกับทางต้าเหลียงมาตลอด เพื่อเป็กำลังด้านการรบของทางต้าเหลียง อีกทั้งทหารที่ปกป้องด่านเยี่ยนเหมินเองก็มีนายกองหลายคนที่ขี่ม้า ส่วนทหารคนอื่นๆ ต่างเดินเท้า ม้าพวกนี้ถือว่าเป็สิ่งล้ำค่าจะฆ่าพวกมันทิ้งทั้งหมดได้อย่างไร?
สวี่เหรารีบร้อนไปที่ประตูเมือง เห็นเพียงคนเ่าั้ที่ได้รับชนะกลับมาพร้อมจูงม้าตัวใหญ่พวกนั้นมาด้วย ม้าบางตัวได้รับาเ็ ม้าศึกที่ไม่ได้รับาเ็ก็วางศพคนเป่ยตี้เอาไว้บนหลังสองศพ สวี่เหราใจนพูดไม่ออก
หม่าิเข้ามาเล่าเื่คร่าวๆ ให้สวี่เหราฟัง บอกว่าตนเองยังต้องกลับไปรายงานให้กับแม่ทัพเว่ยหลาง จึงพาคนและม้ารีบเดินทางออกไป ก่อนจะเหลือบไปเห็นสวี่ตี้ จึงให้ชุดทหารที่คนเป่ยตี้ใส่มาทำเป็ถุงผ้าซึ่งตอนนี้ได้ห่อของด้านในเอาไว้
สวี่ตี้จึงพาคนเดินหอบถุงผ้าใบใหญ่กลับไปที่เรือน หลังจากกลับมาถึงแล้วก็เอาของออกมาจากถุง เดิมทีเป็อาวุธที่คนของเป่ยตี้ใช้ แล้วก็เป็ของที่คนพวกนั้นพกติดตัวมา
เหนื่อยกันมาทั้งคืนแล้ว แม้แต่สวี่จือที่ซ่อนตัวอยู่ในเรือนตลอดเองก็ใกลัวจนไม่ได้นอนตลอดคืน หลังจากพูดคุยกันคร่าวๆ แล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกลับไปที่ห้องของตนเองเพื่อเตรียมตัวพักผ่อน
สวี่จือกลับไปล้มตัวลงนอน จะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ ที่แท้ในตอนที่ตนเองไม่รู้เื่อะไร ท่านพ่อท่านแม่แล้วก็พี่ชายต่างลงมือทำประโยชน์เอาไว้ให้กับเมืองที่ตนเองอยู่ อีกทั้งยังทำเอาไว้เสียมากมาย สวี่จือคิดว่าตนเองนั้นช่างไร้ประโยชน์เสียจริง
แม่นมลู่มานอนอยู่บนตั่งเป็เพื่อนสวี่จือ เห็นนางพลิกตัวไปมานอนไม่หลับเสียทีก็เอ่ยปากถามออกมา “คุณหนูเก้า เหตุใดเ้าถึงยังไม่นอนหรือ มีเื่อันใดหรือไม่?”
สวี่จือตอบ “แม่นมเ้าคะ ท่านว่า ข้าเป็คนที่ไร้ประโยชน์มากหรือไม่ คนในครอบครัวต่างทำเื่ที่เป็ประโยชน์ต่อเมืองเหอซีเอาไว้ตั้งมากมายเช่นนี้ ตัวข้ากลับหลบอยู่แต่ในเรือน ทั้งยังเอาแต่หวาดกลัว ข้าไม่เชื่อว่าท่านพ่อท่านแม่แล้วก็ท่านพี่จะไม่กลัว แต่พวกเขากลัวก็ยังออกไปสู้ อีกทั้งยังทำได้ดี ข้ายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์ยิ่งนักเ้าค่ะ”
แม่นมลู่รู้สึกว่าสวี่จือที่อายุน้อยแค่นี้ ความคิดความอ่านก็ออกจะมากไปเสียหน่อย ก่อนจะคิดถึงครอบครัวนี้ตอนที่ใช้ชีวิตที่จวนโหวในอดีต ในใจก็พอเข้าใจ ถึงแม้สวี่เหราและจางจ้าวฉือรวมทั้งสวี่ตี้จะปกป้องสวี่จือมากแค่ไหน แต่พอทุกคนมาอาศัยอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงที่จะมีเื่เช่นนี้เกิดขึ้น คุณชายสามสกุลสวี่เป็บุตรอนุที่ไม่ได้รับความรัก คนในครอบครัวนี้มักจะได้รับการดูถูกอยู่เสมอ
แม่นมลู่เอ่ย “คุณหนูเก้า เ้ายังเด็ก อีกทั้งตอนนี้ยังเพิ่งจะเริ่มเรียนวิชาทักษะต่างๆ เพียงเท่านั้น ความสามารถยังร่ำเรียนได้ไม่ดีจะสามารถช่วยเหลือผู้ใดได้อย่างไร เ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”
สวี่จือตอบ “แม่นม ท่านพ่อท่านแม่ และท่านพี่ดีกับข้า ข้าจำเอาไว้ในใจแล้วเ้าค่ะ ข้าก็อยากจะตอบแทนพวกเขา แต่ว่าในเมื่อข้าไม่สามารถช่วยท่านพ่อจัดการงาน แล้วก็ไม่สามารถช่วยท่านแม่ตรวจคนไข้ได้ ยิ่งไม่สามารถช่วยพี่ชายทำงานในไร่ ท่านว่า ข้าสามารถทำอะไรได้เ้าคะ?”
แม่นมลู่กล่าวออกมาอย่างมีไหวพริบ “คุณหนูเก้าสามารถดูแลคุณชายสาม ฮูหยินสาม แล้วก็คุณชายใหญ่ให้ดีๆ ได้นะ พวกเขาช่วยคนมาทั้งคืนแล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราไปทำน้ำแกงบำรุงร่างกาย วันธรรมดาพวกเราก็สามารถปักถุงเงิน ถุงหอม พัด ให้กับพวกเขาทั้งสามได้ เช่นนี้พวกเขาก็จะรู้ ว่าคุณหนูเก้าก็สามารถช่วยพวกเขาได้ เ้าว่าถูกหรือไม่?”
สวี่จือฟังแล้วดวงตาก็สว่างขึ้นมา “แม่นม เป็ท่านที่ช่างคิดจริงๆ เ้าค่ะ เอาเช่นนี้ก็ได้ ตอนนี้ยังเร็วไป อีกเดี๋ยวข้าลุกขึ้นไปหาป้าเหอเพื่อทำน้ำแกงให้ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านพี่ ให้พวกเขาบำรุงร่างกายเสียหน่อย”
ตอนมื้ออาหารกลางวันทุกคนยังไม่ตื่นขึ้นมา ตอนบ่ายจางจ้าวฉือตื่นขึ้นมา สวี่จือก็ยกน้ำขิงพุทราที่ใช้พุทราแดง น้ำขิงและน้ำตาลมาต้มเข้าด้วยกันมาให้นาง
สวี่จือเอ่ย “ท่านแม่เ้าคะ สิ่งนี้ข้าไปเรียนทำมาจากป้าเหอเ้าค่ะ แม่นมลู่บอกว่าหากท่านดื่มแล้วจะดีกับร่างกายเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือมองใบหน้าเปล่งประกายภายใต้แสงอาทิตย์ของลูกสาว ในใจก็รู้สึกอิ่มเอิบ นางยกถ้วยน้ำขิงมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะอุ้มลูกสาวขึ้นมาหอมแรงๆ แล้วเอ่ย “แม่ขอบคุณจือเอ๋อร์มากเลยนะ แม่ดีใจจริงๆ ที่จือเอ๋อร์ของพวกเราสามารถทำงานบ้านได้แล้ว”
สวี่จือเอ่ยออกมาอย่างเขินอาย “ท่านแม่ ข้ายังมีหลายเื่ที่ยังไม่เข้าใจ และจะต้องเรียนรู้ให้มากเ้าค่ะ น้ำขิงนี่ก็ทำง่ายมากที่สุด ท่านวางใจ ข้าจะตั้งใจเรียนกับแม่นมลู่ ต่อไปจะทำน้ำแกงที่บำรุงร่างกายให้ท่าน ท่านพ่อ และท่านพี่ ต่อไปหากพวกท่านกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว ข้าจะทำให้ท่านทวดทานด้วยเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือยิ้มแล้วมองลูกสาวที่ตั้งเป้าหมายต่อหน้าตัวเองอย่างตื่นเต้นดีใจ พร้อมยกช้อนขึ้นมาตักน้ำขิงดื่มหนึ่งคำ รสชาติหวานแฝงกลิ่นหอมของพุทราแดง บวกกับขิงแผ่นที่มีรสเผ็ดนิดๆ เพียงครู่เดียวความอบอุ่นก็โจมตีเข้าส่วนที่ลึกที่สุดในใจของจางจ้าวฉือ
สวี่เหรากับสวี่ตี้เองก็ได้ดื่มน้ำขิงเช่นกัน หลังจากสวี่ตี้ดื่มเข้าไปแล้วก็ลากสวี่จือไปที่เรือนเพาะชำที่เรือนหลังด้วยกัน บอกว่าในเรือนเพาะชำมีผักอะไรที่โตเต็มที่แล้วบ้าง สวี่จืออยากจะทานอะไรก็มาเอาไปทำอาหารได้
หลังจากการลอบโจมตีของเป่ยตี้ในครั้งนี้ สวี่เหราก็เชิญเว่ยหลางมาพูดคุยเพื่อสรุปสิ่งที่ทำลงไปครั้งนี้โดยเฉพาะ ตรงไหนทำได้ดี ตรงไหนทำได้ไม่ดี ตรงไหนต้องพัฒนาให้ดีขึ้น ตรงไหนสามารถทำเช่นนี้ต่อไปได้ ต่อไปจะได้ลงมือให้ดีอีกครั้ง สำหรับเื่นี้เว่ยหลางพอใจมากที่สวี่เหราตั้งใจรับผิดชอบหน้าที่เช่นนี้
สกุลเว่ยคุ้มครองด่านเยี่ยนเหมินมาหลายชั่วอายุคน เว่ยหลางเองก็เติบโตมาจากจวนแม่ทัพนี้ เมืองเหอซีจากเขตชายแดนเล็กๆ ค่อยๆ พัฒนามาเป็เมืองเช่นนี้ เว่ยหลางได้เห็นมันกับสายตาตนเอง ั้แ่เด็กเขาก็เจอกับผู้นำของเหอซีมาหลายต่อหลายคน คนที่ทำงานโดยไม่้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ สนใจแค่เื่ของประชาชนและ้าแค่พยายามทำหน้าที่ของผู้นำที่จะต้องปกป้องสถานที่แห่งนี้ให้ดีอย่างสวี่เหรา เว่ยหลางเพิ่งจะเคยเห็นเป็ครั้งแรก
ต่างคนต่างเส้นทาง ในเมื่อเป้าหมายของทุกคนเป็หนึ่งเดียว เื่ต่อไปก็จัดการได้ง่าย
การลอบโจมตีของเป่ยตี้ครั้งนี้ได้วางแผนมานาน อีกทั้งได้ยินมาว่ายังส่งสายลับเข้าไปในกองทัพริมแม่น้ำ ครั้งนี้กองทัพริมแม่น้ำถูกทำลายจนหมด คนเป่ยตี้ถึงได้มุ่งหน้าเข้ามา ก่อนจะย้ายยกทัพมาจากทางเหอซีเพื่อโจมตีด่านเยี่ยนเหมิน พวกคนที่มาต่างเป็ทหารที่มีอาวุธแข็งแกร่ง ถ้าหากครั้งนี้เหอซีไม่ได้ซ่อมกำแพงใหม่ ถ้าหากชาวเมืองไม่ร่วมมือกัน ไม่แน่ว่าป่านนี้พวกนั้นคงจะบุกเข้ามาได้แล้ว หากเป็เช่นนี้จริงๆ ทั้งด่านนอกด่านในของด่านเยี่ยนเหมินก็จะถูกโจมตีจากทั้งสองด้าน ถ้าหากด่านเยี่ยนเหมินถูกทำลายจนแตกแล้ว อาณาเขตภายในต้าเหลียงกว่าพันลี้ก็จะถูกทำลายอีกครั้ง ทุกชีวิตจะวินาศ
สวี่เหรายิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว จะนอนตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับ เขาพูดกับจางจ้าวฉือว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าความคิดของเป่ยตี้ในครั้งนี้จะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ และโชคดีที่พวกเราเตรียมตัวเอาไว้รอบคอบ หากวางแผนไม่ดีสักอย่างหนึ่ง พวกเราคงจะถูกดาบของคนเป่ยตี้ฟันตายไปแล้ว”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเราจะมีความสามารถไปทำลายรังของพวกเป่ยตี้ หากทำลายได้อย่างน้อยพวกเราก็จะปลอดภัยหลายสิบปี”
สวี่เหราถอนหายใจ “ผู้คนในราชสำนักแต่ละคนก็บริหารแค่ส่วนของตนเอง ต่างทำเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายตนเอง ขอแค่ชายแดนสามารถมั่นคงได้ก็พอ พวกเขามีหรือจะมาสนใจเื่สิบปีหรือหลายๆ สิบปีในอนาคต ตอนนี้พวกเราก็ปกป้องตรงนี้ให้ดี ทำเื่ในมือของตนเองให้ดีก็พอ หากทำมากไปคิดแล้วก็มีแต่เพิ่มเื่ยุ่งยากให้กับตัวเองเท่านั้น”