ครั้งนี้สามารถพูดได้ว่าเป่ยตี้เสียหายค่อนข้างหนัก
ประตูเมืองไม่ได้ถูกตีแตก วันต่อมาเมื่อเปิดประตูเมือง คนที่เข้าๆ ออกๆ ก็ล้วนเป็คนในเมืองทั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะด้านนอกประตูเมืองยังมีรอยเือยู่เล็กน้อยที่ยังล้างไม่สะอาด ก็คงคาดไม่ถึงว่าเมื่อคืนนี้มีาที่ทำให้คนแตกตื่นกันไปหมด
สวี่ตี้ยังคงจดจ่ออยู่กับงานปลูกพืชของตนเอง แต่เขาก็ยังแบ่งเอาสมาธิไปใส่ใจด้านการเรียน ในการสอบแต่ละครั้งจำเป็ต้องอ่านตำราจำนวนมาก ซึ่งเขาเองก็หาเวลาไปอ่านเช่นกัน สวี่ตี้สอบผ่านถงเซิง [1] แล้ว หากจะสอบอีกครั้งก็จำเป็ต้องสอบระดับอำเภอ ซึ่งจะต้องไปสอบที่เมืองหลวง เขายังไม่อยากจะออกจากเหอซีในตอนนี้ เขาคิดว่าตอนนี้ตนเองยังมีเื่ที่สำคัญกว่าต้องทำ เื่การสอบระดับอำเภอสามารถวางเอาไว้ก่อนได้ รอเื่ทางนี้เข้าที่เข้าทางแล้วค่อยไปสอบก็ยังไม่สาย สวี่ตี้รู้ดี อยากจะเดินไปให้สูงกว่านี้จะต้องเฉิดฉายอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เขาได้วางแผนอนาคตให้ครอบครัวตัวเองแล้ว เขาจะเดินหน้าสอบขุนนางอย่างมั่นคง หลังจากสอบเตี่ยนซื่อ [2] เสร็จก็ค่อยไปสอบซูจี๋ซื่อ [3] ต่อ อยู่ที่สำนักราชบัณฑิตหลวงสักหลายปี หลังจากออกมาค่อยรับตำแหน่ง
สวี่ตี้มั่นใจในตัวเองมาก เขาเป็อัจฉริยะด้านการเรียน ทั้งยังมีประสบการณ์ด้านการเรียนการสอบมาหลายปี อยากจะสอบได้คะแนนดีๆ ก็เป็เื่ที่ทำได้โดยง่าย
ตอนนี้สวี่จือนอกจากเรียนรู้กฎระเบียบกับแม่นมลู่แล้ว ก็เอาความมุ่งมั่นส่วนมากไปใช้ในด้านการทำอาหาร ซึ่งตัวนางเองก็ไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับการเสพสุขสักเท่าไหร่ ประสบการณ์ท้องหิวที่เคยเจอในชาติก่อนทำให้สวี่จือให้ความเคารพกับอาหารมาก ไม่ว่าจะเป็อาหารรสชาติใด สวี่จือก็ต่างมีความสุขไปกับมัน ดังนั้นตอนที่เรียนการทำอาหารกับป้าเหอ ตอนที่แม่นมลู่สั่งสอนการทำน้ำแกงต่างๆ และตอนที่ทำขนมทานเล่น สวี่จือจะตั้งใจเรียนเป็พิเศษ ของที่ทำออกมาเองก็รสชาติถูกปาก แม่นมลู่ถึงขั้นแอบไปบอกกล่าวกับจางจ้าวฉือ ว่าคุณหนูเก้าของพวกเราเรียนอย่างอื่นไม่ค่อยจะดี ก็มีแค่เรียนทำอาหารนี่แหละที่ตั้งใจเรียน แถมยังมีพร์อยู่มากอีกด้วย
ความจริงแล้วแม่นมลู่ไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่นัก ถึงแม้สวี่เหราจะเป็บุตรของอนุ แต่ว่าสวี่เหรานั้นมีฐานะเป็ถึงจิ้นซื่อ บวกกับภูมิหลังที่เป็คนของจวนโหว ต่อไปในอนาคตหากสวี่จือหาสามีชาติตระกูลก็คงไม่ต่ำต้อย ทั้งยังมีความเป็ไปได้ที่จะเป็ภรรยาหลวงของบุตรชายคนโตของเ้าตระกูลเสียด้วยซ้ำ แม่นมลู่อยากจะเลี้ยงดูฝึกสอนสวี่จือให้ไปในด้านนี้ แต่เวลานานวันเข้าแม่นมลู่รู้สึกว่าสวี่จือตั้งเป้าหมายความ้าของตนเองเอาไว้ต่ำจนเกินไป นางรู้สึกว่าสวี่จือเรียนอะไรก็ช้าไปเสียหมด นางมิใช่คนที่ฉลาดแต่ผู้ใดจะรู้ว่าพอเรียนด้านการทำอาหารแล้วจะแสดงพร์ออกมาเช่นนี้
แต่โดยปกติแล้วคนที่มีฐานะเป็ฮูหยินในเรือน ทำอาหารเป็เพียงแค่ไม่กี่อย่างก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็ต้องเรียนให้มีฝีมือด้านการทำอาหารดีเลิศ
ยิ่งสวี่จือเรียนก็ยิ่งรู้สึกว่าการอยู่ในโรงครัวเป็อะไรที่ทำให้ตนมีความสุข มองวัตถุดิบทำอาหารพวกนี้อยู่ในมือของตนเองเปลี่ยนมาเป็อาหารรสเลิศ นางก็รู้สึกประสบความสำเร็จมาก ยิ่งเรียนก็ยิ่งให้ความสนใจกับการทำอาหาร ยิ่งสนใจก็ยิ่งอยากเรียนรู้ให้มากกว่านี้
สวี่จือเสียใจมากที่ไม่สามารถอยู่ในโรงครัวทั้งวันได้ ตอนนี้แม่นมลู่ได้จำกัดเวลาที่สวี่จือจะอยู่ในโรงครัว ทั้งยังพูดโน้มน้าวสวี่จือให้เอาความตั้งใจไปลงที่การเรียนรู้กฎระเบียบ เรียนงานฝีมืออย่างอื่น แต่ด้วยเพราะไม่ได้สนใจจริงๆ ด้านกฎระเบียบสวี่จือพอจะผ่านไปได้ ส่วนอย่างอื่น เช่น การดีดฉิน วาดภาพ เขียนกลอน ชงชา ของพวกนี้สามารถพูดได้เพียงว่าฝีมือของนางอยู่ในระดับธรรมดา
ว่าด้วยเื่าสำหรับเหอซีที่เป็เมืองชายแดนเล็กๆ แล้ว ความจริงแล้วก็เป็เื่ที่ปกติมาก ทุกวันมักจะเจอกับาหลายรอบ ใกล้ๆ มีทหารพักอาศัยอยู่จำนวนมาก ทุกคนปกติจะปลูกพืชสวน พอถึงยามมีาก็จะเข้าสนามรบเข่นฆ่าศัตรู สตรีที่นี่ก็เข้มแข็งกว่าสตรีในเมืองหลวงเ่าั้ จนถึงขั้นสามารถต่อสู้กับศัตรูที่มาบุกรุกที่กำแพงเมืองได้
นี่ล้วนเป็สิ่งที่สวี่จือได้ยินป้าเหอพูดตอนที่ไปทำกับข้าวในโรงครัวกับนาง
ป้าเหอเป็ชนพื้นเมืองที่เติบโตที่เมืองเหอซี ผ่านาเล็กใหญ่มามากมาย มีหลายครั้งที่คนเป่ยตี้มาโจมตีประตูเมืองจากด้านหลัง พวกนั้นเข้ามาที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้แล้วทำการเผา ฆ่า และปล้นสะดม เสร็จแล้วก็ขี่ม้าหนีไปรวดเร็วราวกับสายลม คนในเหอซีหรือก็ค่อยๆ เก็บเศษซากความเสียหาย ค่อยๆ รักษาตัวเอง ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเจอกับอะไร วันเวลามักจะค่อยๆ เดินไปข้างหน้าเสมอ และเพราะเช่นนี้ถึงได้ทำให้ประชากรที่อยู่ที่นี่เปลี่ยนมาแข็งแกร่ง ไม่แข็งแกร่งย่อมอยู่ที่นี่ไม่ได้ ในเมืองใหญ่นี้ ครอบครัวผู้ใดบ้างที่ไม่มีคนตายจากฝีมือคนเป่ยตี้? ครอบครัวผู้ใดบ้างไม่ถูกเป่ยตี้แย่งชิงของไป?
สวี่จือชอบฟังป้าเหอพูดประวัติของเมืองเล็กๆ นี้ให้ฟังเป็อย่างมาก ป้าเหอเล่าถึงาที่น่าสลดพวกนั้นขึ้นมา น้ำเสียงไม่มีความแค้นเคืองแต่อย่างใด เหมือนพูดเื่ปกติธรรมดาเื่หนึ่ง ทุกครั้งที่ได้ยินในใจของสวี่จือรู้สึกทุกข์ใจ แต่ว่าครั้งหน้าสวี่จือก็ยังอยากฟัง นางรู้สึกว่าฟังเื่ราวในอดีตมากๆ เข้าก็มักจะทำให้คนจำเื่เลวที่ร้ายที่เคยเจอได้ แล้วก็จะยิ่งทำให้คนระมัดระวังกับชีวิตในตอนนี้มากขึ้น เมืองเหอซีในตอนนี้เป็เมืองที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว แต่ว่าเื้ัความเจริญรุ่งเรืองนี้ ้าความทุ่มเทของหลายคน จนถึงขั้นต้องเสียสละไปหลายชีวิตก็มี
แม่นมลู่เองก็มักจะมาฟังเื่พวกนี้ของป้าเหอด้วยกัน แม่นมลู่กลับรู้สึกว่าเล่าให้สวี่จือฟังสักหน่อยก็ดี ถึงแม้เด็กจะยังเล็ก แต่ว่าหลายเื่ก็ควรจะรู้เอาไว้ แม้ว่านางจะยังไม่รู้เื่ ไม่เข้าใจเหตุผลนั้น แต่อย่างไรก็ควรจะรู้เื่ที่เคยเกิดขึ้นนี้
หลังจากสวี่ตี้ขังตัวเองทำงานอยู่เรือนหลังอยู่หลายวันก็ออกไปที่ไร่ หินที่เอาไว้ขวางทางคนเป่ยตี้และเศษกิ่งไม้พวกนั้นได้ถูกทำความสะอาดจนหมดแล้ว บริเวณใกล้ๆ ยังสามารถเห็นรอยเื นี่คือสิ่งที่หลงเหลืออยู่จากการต่อสู้เมื่อคืนวันนั้น ต่อมาฟังหม่าิบอกเล่าให้ตนเองฟัง ว่าคนเป่ยตี้พวกนั้นต่างขี่ม้ามา หลังจากมาถึงที่นี่ม้าก็ถูกกับดักด้านหน้ามัดให้ล้มลงหลายตัว อุปสรรคต่อมาก็เป็พวกก้อนหินและกิ่งไม้ ทำให้คนที่พุ่งผ่านกับดักมาต้องลงจากม้าอย่างช่วยไม่ได้ พอลงจากม้าก็ไม่มีข้อได้เปรียบอีกต่อไป จึงถูกเหล่าทหารมาล้อมและฆ่าทิ้งจนหมด
ทหารคุ้มกันของด่านเยี่ยนเหมินมีหลายคนได้รับาเ็ โชคดีที่ไม่มีคนตาย นี่คือเื่ที่หม่าิดีใจมากที่สุด ได้รับาเ็ขอเพียงสามารถพักฟื้นให้หายก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เมื่อพักฟื้นหายดีแล้ว ต่อไปก็สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามรบได้อีกครั้ง ทุกคนต่างเป็พี่น้องร่วมากันทั้งนั้น ทุกคนเกิดร่วมกันตายร่วมกัน ผู้ใดก็ต่างไม่อยากจะเห็นสหายร่วมรบเสียสละในาต่อหน้าตนเอง ถึงแม้ทุกคนจะเตรียมใจสำหรับการตายมาก่อนแล้วก็ตาม
สวี่ตี้ไม่ได้อยู่ทานข้าวที่หมู่บ้านจางเจีย หลังจากบอกลาก็กลับไปที่ไร่ สั่งการหัวหน้าผู้ดูแลสวนสกุลจ้าวเสร็จแล้ว หลังจากที่ทิ้งธัญพืชผักสดเอาไว้ให้พวกลุงๆ อาๆ ที่ไร่เสร็จก็กลับไปในเมือง
ใน่ฤดูหนาวสิ่งที่ต้องทำในไร่นั้นมีเยอะมาก ในดินก็ปลูกข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาว ซึ่งยังไม่จำเป็จะต้องดูแลอะไรมากนักในตอนนี้ หัวหน้าผู้ดูแลสวนสกุลจ้าวทำเรือนเพาะชำบนูเาบริเวณสถานที่ที่ไม่ถูกลมโกรก แล้วชักนำน้ำจากูเามาใช้ ถึงแม้ฤดูหนาวน้ำจะมีไม่มาก แต่เอามารดน้ำในเรือนเพาะชำยังถือว่าพอใช้ ครั้งนี้ที่สวี่ตี้มาก็เพื่อเรือนเพาะชำนี้ เขาอยากจะเอาผักพวกนี้ไปขายที่เมืองก่านโจว เขตซีเป่ย ยามถึงฤดูหนาวจึงขาดแคลนผักใบเขียว ผักใบเขียวเช่นนี้สามารถขายได้ราคาดี อีกทั้งยังมีผักสดใหม่หลายชนิด
สวี่ตี้ปรึกษากับเว่ยหลางมาก่อนแล้ว คนงานปลูกผักและขายนั้นล้วนเป็เว่ยหลางเป็คนหามา ในเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับชายแดน มีทหารมากมายที่ได้รับาเ็จนไม่สามารถลงสนามรบได้อีก คนพวกนั้นทำได้แค่พึ่งเงินำาญอันน้อยนิดหรือกลับบ้านเก่า หรือหาสถานที่ให้ตนเองได้พักอาศัยเพียงเท่านั้น เว่ยหลางเองก็อยากจะให้คนพวกนี้ได้ใช้ชีวิตดีๆ แต่มันก็มีเงื่อนไขมาโดยตลอด ตอนที่สวี่ตี้ปรึกษากับเขา เว่ยหลางก็รู้สึกว่าด้านหน้าของตนเองเหมือนมีประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกอย่างไรอย่างนั้น หลายเื่ก็คิดออกภายในชั่วพริบตา
นี่ก็สิ้นเดือนสิบของจันทรคติแล้ว อากาศเริ่มหนาวเย็น อากาศเย็นทำให้คนทนไม่ไหว ในตอนนี้ขอแค่ได้เจอแสงอาทิตย์บ้างเล็กน้อยก็ยังดี ตอนนี้สวี่ตี้อยากจะอยู่บนตั่งอุ่นๆ ในห้องทั้งวัน อากาศหนาวเช่นนี้ทำอะไรก็ไม่สะดวกไปหมด
สวี่ตี้เข้าประตูมาก็ถูกสวี่จือลากเข้าไปนั่งบนตั่งในห้องที่อุ่นเอาไว้แล้ว หลังจากช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วสวี่จือก็เอ่ย “ท่านพี่ วันนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ทานข้าวที่เรือนนะเ้าคะ ตอนกลางวันพวกเราต้มเกี๊ยวน้ำทานกันดีหรือไม่เ้าคะ?”
สวี่ตี้ตอบ “เอาสิ เหตุใดจะไม่ดี ห่อไส้ผักกาดขาวคลุกเนื้อหมูกับต้นหอมก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวพี่จะหั่นเนื้อหมูไปทำไส้ให้เ้า”
สวี่จือฟังแล้วก็เม้มปากอมยิ้ม ลักยิ้มตรงมุมปากทั้งสองข้างทำให้สวี่จือดูงดงามขึ้นมากทีเดียว
สวี่ตี้เอ่ยถามอย่างสงสัย “เ้ายิ้มอะไร?”
สวี่จือเอ่ย “เกอเกอ ข้าได้หั่นไส้เกี๊ยวเอาไว้แล้วเ้าค่ะ เป็ไส้ผักกาดขาวคลุกเนื้อหมู เนื้อหมูนั้นยังเป็เนื้อที่ป้าจ้าวไปซื้อที่ตลาดมาเมื่อเช้า ได้ยินนางพูดว่า ร้านขายหมูที่ถนนเพิ่งจะเริ่มเปิดขายวันนี้ พ่อค้าจางที่ขายหมูวันนั้นขึ้นไปบนกำแพง ได้ยินมาว่าถูกธนูยิงได้รับาเ็ที่แขน รักษาตัวอยู่นานถึงจะรักษาหาย เช้าวันนี้ถึงเริ่มฆ่าหมูเ้าค่ะ”
สวี่ตี้ฟังแล้วพูดด้วยความนับถือ “ลุงๆ มากมายบนถนนต่างเป็ตัวอย่างที่ดี มีเื่อันใดไม่ต้องเรียกก็เสนอตัวออกมาช่วย ที่พวกเราอยู่ที่นี่ได้อย่างไร้กังวล ก็เพราะมีคนพวกนี้ถึงได้ทำให้รู้สึกว่าใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ”
สวี่จือพยักหน้า “ใช่เ้าค่ะ พวกเราทุกคนพยายามกันขนาดนี้ ยังจะมีชีวิตที่ไม่ดีได้หรือ? ท่านพี่ ข้าเห็นว่าอากาศไม่ดีแล้ว กลัวว่าจะมีหิมะตก ท่านว่าพวกเราสามารถทำเื่อะไรเพื่อที่นี่ได้หรือไม่เ้าคะ?”
สวี่ตี้ครุ่นคิด “เื่อื่นคนในสำนักงานของท่านพ่อต่างทำได้ดีมาก พวกเราจะทำอันใดได้?”
สวี่จือฟังแล้วก็เอ่ย “ข้าคิดมาตลอด วันนั้นข้าไม่ได้ออกไปช่วย ในใจก็รู้สึกไม่ดี คิดว่าอยากจะทำเื่ที่ข้าสามารถทำได้ให้กับคนเหล่านี้ ถือว่าเป็น้ำใจของข้า”
สวี่ตี้ฟังแล้วก็เอ่ยขึ้น “เ้าไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะตั้งใจคิด คิดได้แล้วพวกเราค่อยคุยกัน ดีหรือไม่?”
ตอนกลางวันสองพี่น้องห่อเกี๊ยวจำนวนมาก ไม่เพียงแค่ครอบครัวตัวเองกินอิ่ม ยังเอาไปให้สวี่เหราที่สำนักงานเขตอีกจำนวนมาก ให้เขาเอาไปแบ่งให้กับทุกคน
เกี๊ยวของครอบครัวสวี่แป้งจะบางแต่ไส้เยอะ แป้งเกี๊ยวบางๆ มีความเหนียวนุ่มมาก กัดเข้าไปเบาๆ เนื้อหมูที่ใส่ต้นหอมและขิงแผ่น คลุกเคล้าเข้าด้วยกันกับผักกาดขาวจนกลายเป็ก้อนเนื้อกลมๆ เล็กๆ กัดเข้าไปแล้วก็ทั้งหอมทั้งอร่อย ทั้งยังมีความยืดหยุ่น คนที่ได้ทานเข้าไปแล้วในใจจะรู้สึกสบายใจมากขึ้น
จางจ้าวฉือถูกเว่ยหลางพาไปที่จวนแม่ทัพ ตอนที่ตามไปจัดการกับศัตรูมีทหารได้รับาเ็ หลังจากพากลับมาเพราะว่าอากาศไม่ดี มีหลายคนที่ปากแผลอักเสบและตัวร้อน เว่ยหลางไม่วางใจ จึงส่งคนไปรับจางจ้าวฉือมาที่จวนแม่ทัพั้แ่เช้าตรู่ เพื่อเชิญให้นางมาดูอาการของคนเหล่านี้
จางจ้าวฉือยุ่งอยู่ในจวนแม่ทัพจนถึงกลางดึก ตอนที่ถูกส่งกลับมาฟ้าก็มืดสนิทเสียแล้ว นางกล่าวขอบคุณคนขับรถม้าและองครักษ์ที่พาตนเองมาส่ง หลังจากเข้าประตูเรือนไป ก็ถูกลูกชายลูกสาวช่วยเปลี่ยนเสื้อ เปลี่ยนรองเท้า ล้างมือล้างหน้า จากนั้นก็วางอาหารหลายอย่าง เกี๊ยวตัวอ้วนๆ ที่มีควันลอยออกมาจากจานใบใหญ่ แล้วก็เกี๊ยวน้ำร้อนๆ หนึ่งถ้วย
จางจ้าวฉือยกถ้วยเกี๊ยวน้ำมาถือไว้ หลังจากอุ่นมือแล้วก็ซดเข้าไปสองคำเป็การอุ่นท้อง จากนั้นก็ใช้ตะเกียบหนีบเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งตัว กัดเข้าไปหนึ่งคำก็ถามออกมาด้วยความใ “ไอ๊หยา เกี๊ยวนี้อร่อยจริงๆ ผู้ใดเป็คนทำหรือ?”
สวี่ตี้พูดด้วยความดีใจ “จือเอ๋อร์อย่างไรเล่าขอรับ นางนวดแป้งด้วยตัวเอง ทำไส้เกี๊ยวด้วยตัวเอง แต่ข้ากับแม่นมแล้วก็ป้าเหอกับพี่ชิงเหมี่ยว พี่ชิงซุยช่วยกันห่อ ท่านแม่ ต่อไปครอบครัวของพวกเราถือว่าลาภปากแล้ว”
จางจ้าวฉือกล่าวด้วยความดีใจ “ลูกสาวของแม่ เหตุใดถึงได้มีความสามารถมากมายขนาดนี้นะ มา ให้แม่หอมทีหนึ่งสิ”
สวี่จือหน้าแดง เอ่ยออกมาด้วยความเขินอาย “ท่านแม่ ตอนนี้ข้าเป็สตรีที่เติบโตแล้ว ท่านไม่สามารถมาหอมข้าได้นะเ้าคะ คนเขาจะหัวเราะเยาะที่ข้าไม่โตเอา”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา “ได้ๆ แม่ไม่ดีเอง ตอนนี้จือเอ๋อร์ของพวกเราโตเป็สาวแล้ว”
ตอนกลางคืนสวี่เหราก็ทำงานล่วงเวลาที่สำนักงานอีกแล้ว เมื่อจัดการงานเสร็จแล้วก็กลับมาทานเกี๊ยวร้อนๆ สวี่จือยังเตรียมน้ำแกงไก่ปรุงด้วยโสมเพื่อบำรุงร่างกาย คนในครอบครัวต่างดื่มกันไปคนละถ้วย รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ
สวี่เหราแช่เท้า นอนอยู่บนเตียงอุ่นๆ สบายจนร้องครางออกมา “ข้าอยากจะนอนบนตั่งอุ่นๆ นี้ทั้งวันเลย”
จางจ้าวฉือหัวเราะแล้วเอ่ยเย้า “ใต้เท้าสวี่ ท่านเป็คนมีตำแหน่งขุนนางนะเ้าคะ มีหรือจะสามารถนอนอยู่บนตั่งได้ทั้งวัน”
สวี่เหราหัวเราะแล้วกล่าว “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ข้ายังอยากจะทำงานดีๆ ต่อไปสามารถทำให้ภรรยาและลูกมีชื่อเสียง มีหน้ามีตามากขึ้น”
ตอนนี้สวี่เหรากับจางจ้าวฉือต่างเข้าใจมากขึ้น ในครอบครัวมีลูกสาว ถึงแม้จะมีความสามารถมากเท่าไหร่ ผู้อื่นก็จะมองเ้า แล้วก็ความสามารถของบุรุษในครอบครัวของเ้า จนกระทั่งลูกสาวแต่งงานออกไป ไม่เพียงแต่จะอยู่ในครอบครัวสามี เดินออกไปด้านนอก นอกจากคนอื่นจะมองความสามารถของสามีตนเองแล้ว ก็จะมองว่าอำนาจของบิดามารดาและพี่ชายในครอบครัวนั้นมีมากน้อยหรือไม่ หากมากคนอื่นก็จะให้ความเคารพเป็พิเศษ
จางจ้าวฉือถอนหายใจ “สังคมสมัยเก่ายอดแย่นี่ไม่ดีเลยสักนิด ลูกสาวไม่มีตำแหน่งมีหน้ามีตาอะไร แต่ว่าถูกคนดูแคลนข้าก็พอใจอยู่”
สวี่เหราตอบ “ดังนั้นข้ากับสวี่ตี้จะต้องปูทางไว้ให้ดี ใช่แล้ว ตอนกลางวันเกี๊ยวที่สวี่ตี้กับจือเอ๋อร์เอามาให้ที่สำนักงานอร่อยมากจริงๆ เพื่อนร่วมงานของข้ากินแล้วก็อยากกินกันอีก น่าเสียดายที่จำนวนมันน้อยเกินไป ข้าไม่ได้บอกนะว่านี่คือของที่ลูกสาวของข้าทำน่ะ”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ตอนที่ข้ากลับมา สวี้ตี้กับจือเอ๋อร์มาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมน้ำให้อาบ ข้ากลับเรือนมาก็ยังได้กินข้าวร้อนๆ ข้ารู้สึกว่าข้าเองก็ไม่ได้มีความ้าอื่นแล้ว เช่นนี้พอใจมากแล้ว ลูกที่เราเลี้ยงมา ข้าเองก็ไม่ได้ขอให้นางมีความสามารถมากมาย ขอแค่สามารถกตัญญูกับพวกเรา ในใจมีพวกเราอยู่ข้าก็รู้สึกดีมากแล้ว ต่อไปพวกเราก็หาคนที่สามารถใช้ชีวิตกับนางได้ ทั้งสองคนสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดีก็พอแล้ว”
สวี่เหราถอนหายใจ “มันจะง่ายขนาดนั้นเสียเมื่อไหร่ จือเอ๋อร์ของพวกเราหาสามีจะต้องกลับไปหาที่เมืองหลวง คนธรรมดาสามัญไม่สามารถให้จือเอ๋อร์แต่งเข้าเรือนไปได้ ตอนนี้นางก็อายุเจ็ดขวบกว่าย่างแปดขวบแล้ว ผ่านไปไม่กี่ปีก็จะต้องมีการดูตัว ข้าจะต้องคิดหาวิธีเพิ่มตำแหน่งให้เร็วที่สุด ตำแหน่งของข้าต่ำเกินไป ทำให้จือเอ๋อร์หาคนดีๆ ไม่ได้หรอก”
ทั้งสองคนไม่รู้เหตุใดถึงวกมาพูดเื่หาครอบครัวสามีให้กับลูกสาว ช่างเป็เื่ที่พิจารณาไกลกันเสียจริง
เชิงอรรถ
[1] การสอบถงเซิง คล้ายกับการสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในปัจจุบัน ผู้สมัครสอบในระดับนี้ทุกคน ไม่ว่าจะมีอายุมากน้อยเท่าใดก็ตาม จะเรียกว่า "ถงเซิง" (ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า "นักศึกษาเด็ก") ดังนั้นจึงเรียกการสอบในระดับนี้ว่า "การสอบถงเซิง" การสอบถงเซิงเป็การสอบในระดับท้องถิ่นซึ่งแบ่งย่อยออกเป็ 3 ระดับด้วยกัน คือ การสอบระดับอำเภอ การสอบระดับจังหวัด และการสอบย่วนซื่อ ซึ่งจัดโดยขุนนางที่ราชสำนักมอบหมายหน้าที่มาโดยตรง ในการสอบ 3 ระดับนี้ การสอบระดับอำเภอถือว่าสำคัญที่สุด การจัดสอบระดับอำเภอจะดำเนินการโดยขุนนางประจำอำเภอต่างๆ หากผู้เข้าสอบสอบผ่านในระดับนี้ก็จะได้รับเลือกเป็ "เซิงหยวน" (บัณฑิตระดับอำเภอ) หรือมักเรียกกันทั่วไปว่า "ซิ่วไฉ"
[2] การสอบเตี่ยนซื่อ เป็การสอบต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ โดยฮ่องเต้เป็ผู้ออกข้อสอบและตรวจข้อสอบด้วยพระองค์เอง ผู้ที่ผ่านการสอบในระดับนี้มีจำนวนจำกัด โดยแบ่งออกเป็ 3 กลุ่มที่ดีที่สุด หรือเรียกว่า "ซานจย่า" ในแต่ละกลุ่มจะมีผู้ได้รับคัดเลือกเพียง 3 คน ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง สองและสามของแต่ละกลุ่มจำนวน 9 คนนี้เรียกว่า "จิ้นซื่อ" ในกลุ่มอีจย่า(กลุ่มที่หนึ่ง) ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งจะได้รับตำแหน่งอันดับหนึ่งจะได้ตำแหน่ง 'จ้วงหยวน' หรือ’จอหงวน’ อันดับสองจะได้ตำแหน่ง 'ปั๋งเหยี่ยน' อันดับสามจะได้ตำแหน่ง 'ทั่นฮวา'
[3] ซูจี๋ซื่อ (庶吉士 shù jí shì) การสอบเข้าตำแหน่งนักปราชญ์