“มิทราบว่าคุณชายยินดีไปเมืองหลวงพร้อมกับข้าหรือไม่?” เหยียนควนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายแปลกหน้าพิสดารผู้นั้นเคยกล่าวว่าจะมีภัยพิบัติครั้งหนึ่งกับตระกูลหลิ่ว ด้วยฝีมือของจ้านอู๋มิ่ง บางทีอาจมีวิธีผ่านพ้นภัยพิบัติหายนะก็เป็ได้
“ในชีวิตคนเรา ยามที่มีสุดท้ายก็ต้องมีอย่างแน่นอน ยามที่มิมีก็อย่าได้ไปแข็งขืน ข้าจะไปเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว แต่ว่าเื่ราวของวันนี้ ข้าหวังว่าพวกท่านจะไม่เผยแพร่ออกไป ให้จบลงที่ตรงนี้ สำหรับหว่านอวี๋ คราวเคราะห์ของนางยังไม่ได้รับการแก้ไขเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ชะตาลิขิตทำให้อายุขัยยากยืนยาว จะต้องหาผู้มีชะตาชีวิตเก้าเป็เก้าตายเท่านั้น แล้ว่ชิงพลังชีวิตของเขามาจึงสามารถเติมเต็มชะตาชีวิตนางให้สมบูรณ์ แล้วจึงจะสามารถผ่านพ้นภัยพิบัติหายนะได้อย่างแท้จริง ในเมื่อเ้าหนีการแต่งงานออกมามิสู้เดินทางตามข้าไป จะช่วยให้เ้ามิต้องหงุดหงิดที่ต้องกลับเมืองหลวง”
“ไม่ได้!” สีหน้าเหยียนควนแปรเปลี่ยนทันที รีบกล่าวปฏิเสธขึ้น ถึงแม้หลิ่วหว่านอวี๋จะหนีการแต่งงานมา แต่ว่าในฐานะที่เป็สตรีจะให้ติดตามจ้านอู๋มิ่งไปได้อย่างไร บุรุษคนเดียวกับสตรี ลำพังความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน ถ้าให้ผู้นำตระกูลหลิ่วทราบเข้าจะมิบันดาลโทสะจนอาเจียนเป็โลหิตหรือ
“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากกลับไป” หลิ่วหว่านอวี๋พูดจบแล้วก็ยิ้มถามจ้านอู๋มิ่งว่า “เ้าคงจะไม่หลอกข้าหรอกนะ?”
“ข้าเหมือนคนหลอกลวงหรือเปล่าเล่า?” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว
“ข้าเห็นเ้าเหมือนไม้วิเศษกายสิทธิ์ ไม่เหมือนคนหลอกลวง ถ้าข้าติดตามเ้าแล้ว ต่อไปเ้าคิดจะทิ้งขว้างข้า ก็ทำไม่ได้แล้ว!” หลิ่วหว่านอวี๋ครุ่นคิดครู่หนึ่ง หัวเราะอย่างเ้าเล่ห์
“คุณหนู!” เจี่ยชิงและเหยียนควนต่างก็ร้อนใจขึ้นมาแล้ว หากคุณหนูเอาแต่ใจยืนกรานจะไปให้ได้ เช่นนั้นพวกเขาจะกลับไปรายงานเื่นี้กับผู้นำตระกูลว่าอย่างไร
“ทำไมข้าต้องทิ้งขว้างเ้าด้วย ก็แค่คิดเสียว่าเ้าคือหางเล็กๆ ของข้าก็แล้วกัน” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาตรงหางตาของหลิวหว่านอวี๋ ในที่สุดหลิ่วหว่านอวี๋ก็หลุดพ้นจากอารมณ์ฆ่าฟันเมื่อครู่นี้
“พวกท่านวางใจ ข้าจะไม่มีทางรังแกหว่านอวี๋ นางมีแต่ติดตามข้าเท่านั้นจึงสามารถแก้ไขภัยพิบัติที่ใกล้เข้ามาได้ ถ้ามีเื่ราวใดพวกท่านสามารถไปพบข้าได้ที่จวนตระกูลจ้านในเมืองมู่เหย่ พวกเรามีศัตรูร่วมกันคือตระกูลเจิ้ง เชื่อว่าผู้นำตระกูลของพวกท่านก็้าผู้ช่วยเพิ่มอีกหนึ่งคนเช่นกัน อีกทั้งยังเป็ผู้ช่วยที่มีประโยชน์มากด้วย” จ้านอู๋มิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“นี่…” ยามกะทันหันเหยียนควนตัดสินใจลำบาก
“หากเ้าไม่วางใจ พวกท่านสามารถให้คนติดตามข้าคนหนึ่ง ข้าไม่รังเกียจที่จะมีผู้ติดตามเพิ่มอีกหนึ่งคน” จ้านอู๋มิ่งพูด
“พี่ใหญ่ หรือไม่ก็ให้ข้าติดตามคุณหนู ท่านกลับไปหาผู้นำตระกูลเพื่อรับคำสั่งใหม่ ดูว่าผู้นำตระกูลตัดสินใจอย่างไร” เจี่ยชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งพูดขึ้น ถ้าหลิ่วหว่านอวี๋ยืนกรานอยู่ต่อ แน่นอนพวกเขาก็คัดค้านลำบาก และพวกเขาเห็นแล้วว่าถึงแม้จ้านอู๋มิ่งจะฝึกพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ไม่ได้ แต่ภูมิปัญญาสูงล้ำ หากเป็บุตรเขยตระกูลหลิ่วขึ้นมาจริงๆ ก็เป็ผู้ช่วยที่เข้มแข็งคนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งความเป็จริงพวกเขาก็ไม่ชอบใจองค์ชายเ้าสำราญผู้นั้นอย่างยิ่งเช่นกัน
“ดูเหมือนได้แต่ทำเช่นนี้เท่านั้นแล้ว แต่พวกเรามาที่ป่าสัตว์อสูรยังมีเื่อื่นที่ต้องกระทำ หากคุณชายจ้านจะกลับเมืองมู่เหย่ตอนนี้ พวกเราเสร็จธุระแล้วก็จะให้น้องรองไปตามหาคุณชายโดยตรงที่ตระกูลจ้าน” เหยียนควนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ได้แต่อนุญาต
“ไม่มีปัญหา” จ้านอู๋มิ่งคิดครู่หนึ่ง หยิบขวดหยกออกมายื่นให้เหยียนควนใบหนึ่งกล่าวว่า “ในขวดนี้มีโอสถลับที่ข้าหลอมขึ้น เช็ดบนตัวเล็กน้อย สามารถทำให้สัตว์อสูรต่ำกว่าระดับสี่ ถอยไปอย่างนอบน้อม ถึงแม้ว่าจะพบสัตว์อสูรระดับที่สี่ชั้นกลาง เพียงแต่ท่านไม่ไปตอแยพวกมัน พวกมันก็จะไม่มารบกวนท่าน ข้าเชื่อว่ามันจะเป็ประโยชน์ต่อพวกท่านในป่าสัตว์อสูร”
เหยียนควนรีบหยิบขวดหยกไว้ นึกถึงยามที่จ้านอู๋มิ่งไล่ติดตามเจิ้งหยุ่งฟูไปตลอดทาง แต่กลับไม่มีสัตว์อสูรสักตัวมาขัดขวางบนเส้นทาง พลันก็เข้าใจแล้วว่าโอสถลับนี้ต้องได้ผลอย่างแน่นอน ทันใดพวกเขาก็รู้สึกว่าจ้านอู๋มิ่งลึกลับยิ่งกว่าเดิม ไม่แปลกใจที่กล้าท่องไปทั่ว คอยสร้างเื่วุ่นวายอยู่ในป่าสัตว์อสูรเพียงลำพังคนเดียว
“ขอขอบคุณคุณชาย พวกเราค่อยพบกันใหม่!”
……
จ้านอู๋มิ่งรีบกลับเมืองมู่เหย่และตรงเข้าหอโอสถไป ่เวลาเดินทางหลายวันนี้ กลยุทธ์ของตระกูลจ้านได้ผลดีมาก ความสัมพันธ์ของทั้งสามตระกูลหลักที่มีต่อตระกูลจ้านดีขึ้นมาก และยอดขายเม็ดโอสถของตระกูลจ้านก็เพิ่มขึ้นทีเดียวหลายเท่าตัว แต่ว่าใน่ไม่กี่วันก่อน กิจการของตระกูลจ้านกลับอยู่ในภาวะชะงักงัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแต่ละเมืองและมณฑลของราชวงศ์ต้าเหยียน
ทุกคนในตระกูลจ้านโกรธจัด เครือข่ายกิจการที่ก่อตั้งขึ้นอย่างยากลำบากถูกตัดขาดไปในคราวเดียว พอจ้านอู๋มิ่งได้ยินข่าวนี้ ก็ทราบทันทีว่าตระกูลเจิ้งเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
คำพูดของจ้านอู๋มิ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนมีอิทธิพลต่อตระกูลจ้านอย่างมาก ดังนั้นเมื่อตระกูลจ้านประสบปัญหาใหญ่ก็จะต้องถามความเห็นจากจ้านอู๋มิ่งสักคราอย่างแน่นอน
เมื่อจ้านชิงเผิงเห็นจ้านอู๋มิ่งกลับมา อีกทั้งพาคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิ่วแห่งเมืองหลวงกลับมาด้วย คางก็แทบหลุดลงมา ในใจลอบชื่นชมบุตรชายคนนี้ที่ไม่พูดก็แล้วไป พอพูดขึ้นมาก็ทำให้อัศจรรย์ใจ ในตอนต้นที่มีงานสมรสกับตระกูลหลงและตระกูลเฉินสองตระกูล ผู้อื่นดูแคลนบุตรชายตนคนนี้ที่แม้แต่พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็ไม่สามารถฝึกได้ แต่ว่าเวลานี้ บุตรชายพาตัวบุตรสาวตระกูลชั้นหนึ่งของราชวงศ์ต้าเหยียนกลับมาบ้านโดยตรง นี่จึงเรียกว่าร้ายกาจ
หลังจากที่จ้านอู๋มิ่งได้ฟังเกี่ยวกับวิธีการของตระกูลเจิ้ง เขาหัวเราะแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถ้าเป็เมื่อก่อน การกดดันดังกล่าวบางทีอาจเป็ผลกระทบต่อตระกูลจ้านของเรามาก แต่ตอนนี้แม้ว่าตระกูลจ้านเราจะไม่ขายเม็ดโอสถสักเม็ดเดียว ก็ยังสามารถอยู่ได้อย่างสบายๆ ถึงแม้ตระกูลเจิ้งจะมีอิทธิพลอย่างยิ่งในราชวงศ์ต้าเหยียน แต่มือข้างเดียวมิอาจปิดบังฟ้า ตอนนี้ในเมื่อเปิดหน้าชนกันตรงๆ แล้ว เช่นนั้นไฉนพวกเราไม่ใส่ยาหยอดตาให้พวกเขาสักเล็กน้อยเล่า พวกเราสามารถมอบโอสถให้แก่ตระกูลหลิ่วและตระกูลเจิงที่เป็คู่แข่งของตระกูลเจิ้งได้ ให้พวกเขาไปจัดจำหน่าย หลายปีมานี้ตระกูลเจิ้งปฏิบัติต่อตระกูลหลิ่วและตระกูลเจิงไม่ค่อยดีนัก”
จ้านชิงเผิงยอมรับนับถือแล้ว บุตรชายติดต่อกับตระกูลหลิ่วอย่างเงียบๆ และดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิ่วไม่น้อย อดถามไม่ได้ว่า “เ้ากับหว่านอวี๋เื่ราวมันเป็มาอย่างไร?”
จ้านอู๋มิ่งยิ้มพูดว่า “ท่านก็คิดว่านางเป็สะใภ้ในอนาคตของท่านเถอะ จะได้ไม่ปล่อยให้นางหนีไป ส่วนทางตระกูลหลิ่ว อีกไม่กี่วันจะมีคนมาเยือน ถึงยามนั้นสามารถปรึกษากับพวกเขาสักครั้ง เชื่อว่าเื่ใช้ยาหยอดตากับตระกูลเจิ้ง พวกเขาจะต้องกระทำอย่างมีความสุขยิ่งนัก”
คิดๆ แล้วจ้านอู๋มิ่งกล่าวอีกว่า “ไม่กี่วันก่อนลูกได้ยินเื่ราวมาเื่หนึ่ง พูดกันว่าบนแผ่นดินใหญ่อันห่างไกล มีตระกูลเช่นนี้ตระกูลหนึ่ง มีคนน้อยยิ่งที่รู้การดำรงอยู่ของตระกูลนี้ แต่ตระกูลนี้มีผลกระทบต่อทุกคนในแผ่นดินใหญ่ มิว่าจะเป็คนธรรมดาหรือผู้ฝึกฌาน พวกเขาไม่เคยซื้อและขายสิ่งใดด้วยตัวเองเลย แต่หลายสิ่งหลายอย่างในแผ่นดินใหญ่นั้นล้วนมีเงาร่างของพวกเขาอยู่ เนื่องเพราะพวกเขามีตัวแทนจำนวนมากในแผ่นดินใหญ่นั้น เื่ราวที่พวกเขาต้องทำก็คือผลิตสิ่งของที่ดีที่สุดออกมา ทำสิ่งของที่ผู้อื่นไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ดังนั้นทุกคนที่ช่วยขายของให้พวกเขาล้วนได้กำไรเงินทองมากมาย พวกเขาไม่เคยให้ตระกูลใดตระกูลหนึ่งทำสิ่งของให้พวกเขาเพียงตระกูลเดียว แต่คัดเลือกโดยให้หลายตระกูลมาแข่งขันกัน หากว่าหนึ่งในตระกูลเ่าั้ตุกติกเล่นลูกไม้ขึ้นมา หลังจากนั้นพวกเขาจะไม่สามารถติดต่อคนจากตระกูลนี้ได้อีก ไม่สามารถรับการจัดหาสิ่งของใดๆ จากตระกูลได้อีกต่อไป กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตระกูลตัวแทนใดคิดเล่นลูกไม้ก็จะเสียคุณสมบัติการเป็ตัวแทนตลอดไป และถูกแทนที่โดยผู้อื่น…”
จ้านอู๋มิ่งสูดลมหายใจคราหนึ่ง ถอนหายใจกล่าวว่า “ในแผ่นดินใหญ่นั้น มีคนกล่าวว่าพลังอำนาจลึกลับที่สุดก็คือตระกูลนั้น เนื่องเพราะพวกเขาดำรงอยู่แต่ในความมืดเสมอ แต่กลับสามารถควบคุมและมีอิทธิพลต่อเื่ราวทั้งหมดทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่นั้น ตลอดจนสำนักนิกายต่างๆ พวกเขาใช้เวลานานหลายปีในการวางระบบการทำงานขึ้นมาระบบหนึ่ง สมาชิกทุกคนมาจากทุกๆ ตระกูลและมีตัวแทนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ละตระกูลที่เป็สมาชิกทราบเพียงว่าผู้ใดที่อยู่เหนือเขา เป็เช่นนี้ทีละชั้นๆ ต่อให้เป็คนที่อยู่ในตระกูลระดับล่างก็ไม่ทราบเช่นกันว่าผู้นำตระกูลคือผู้ใด ถึงแม้ตระกูลจะโดนโจมตีเสียหายอย่างรุนแรง อย่างมากที่สุดตัวแทนไม่กี่คนในตระกูลที่เป็สมาชิกเท่านั้นที่ประสบความสูญเสีย ส่วนบุคคลชั้นนำระดับสูงของตระกูลไม่มีปัญญาหาพบได้ ธุรกิจการค้าของพวกเขายังคงสามารถดำเนินต่อไปได้…ตระกูลที่เหมือนเช่นวัชพืชก็มิปานนี้ พลังอำนาจที่แท้จริงไม่ได้อยู่บนพื้นดิน หากแต่อยู่ใต้ดิน ท่านจะไม่มีทางทราบว่าพวกเขาจะเติบโตแตกหน่อเขียวผุดขึ้นมาตรงที่ใด ไม่ทราบว่าพวกเขามีหุ้นส่วนทั้งหมดมากมายกี่คนตลอดกาล แต่ว่าท่านกลับสามารถััได้ว่าพวกเขาดำรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง!”
ดวงตาจ้านชิงเผิงเปล่งประกายขึ้นวูบหนึ่ง จ้านอู๋มิ่งดูเหมือนกำลังเล่าเื่ที่ได้ยินมาแต่ก็กำลังอธิบายถึงเหตุผลอย่างหนึ่ง ตระกูลจ้านได้เริ่มต้นก้าวแรกแล้ว สินค้าของตนเองไม่ได้จำหน่ายด้วยตัวเอง และให้ตระกูลอื่นเป็ตัวแทนจำหน่าย ให้ผู้เข้าร่วมทุกคนได้รับผลกำไรมหาศาล ให้ตระกูลเหล่านี้ยืนหยัดเคียงตระกูลจ้านเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง นี่คือแผนการของอัจฉริยะผู้หนึ่ง แต่ถ้าไปให้ไกลกว่านี้ หากตระกูลจ้านเพียงผู้เดียวเชื่อมต่อกับบรรดาตระกูลใหญ่ของเมืองมู่เหย่ เชื่อมต่อกับตัวแทนต่างๆ ของเมืองอื่นๆ โดยผู้อื่น ไยมิใช่ลักษณะเหมือนกับในตำนานหรอกเหรอ
“ตระกูลเดียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า้าก้าวหน้า เนื่องเพราะมีคนมากมายไม่้าถูกท่านแซงหน้า ดังนั้นก็จะมีคนจำนวนมากมายออกมาขัดขวาง อย่างเช่นตระกูลเจิ้งในตอนนี้ ถ้าหากวันหนึ่งพวกเราทำลายตระกูลเจิ้งไปแล้วแทนที่พวกเขา ในอนาคตจะมีกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งกว่าเพราะกลัวว่าพวกเรามีผลคุกคามต่อพวกเขา และโจมตีพวกเรา บางทีอาจเป็ราชวงศ์ใดราชวงศ์หนึ่ง หรือบางทีอาจเป็สำนักนิกายหนึ่ง ถ้าหากว่าตระกูลนี้เป็ตระกูลที่ไม่มีอยู่ในโลกนี้แต่แรกแล้ว เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีผู้ใดสนใจ ยิ่งจะไม่มีผู้ใดขัดขวางการเคลื่อนไปข้างหน้าของท่านและคิดขัดขวาง ดังนั้นข้าคิดว่าตระกูลที่มีอำนาจแข็งแกร่งจริงๆ มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือตระกูลที่ไม่มีวันถูกศัตรูหาพบ” จ้านอู๋มิ่งพูดขึ้นอย่างลึกลับ หยั่งรู้คาดการณ์ไม่ได้
“มิ่งเอ๋อร์พูดถูกต้องอย่างยิ่ง ถ้ามีวันที่เป็เช่นนั้นจริงๆ ตระกูลนี้เป็ตระกูลที่อยู่ยงคงกระพันอย่างแน่แท้!” จ้านชิงเผิงหายใจเข้าลึกๆ และตัดสินใจแน่นอนแล้ว
“ความแข็งแกร่งมาจากตัวของตนเอง พลังยุทธ์ไร้เทียมทานก็เป็ความแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง ความอดทนอดกลั้นที่แฝงเร้นก็เป็ความแข็งแกร่งชนิดหนึ่งเช่นกัน ชนิดหนึ่งนั้นคือการจู่โจมทำลายให้หมดสิ้น ชนิดหนึ่งนั้นคือไม่มีสิ่งใดให้พิชิตทำลาย ตระกูลจ้านในปัจจุบันไม่สามารถถึงขั้นทำลายให้หมดสิ้น ถึงแม้พวกเราจะร่ำรวยมั่งคั่ง มีทรัพย์สินนับอนันต์ ต่อให้เชิญผู้พิทักษ์จักรพรรดิามาคุ้มกันก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วก็มิใช่พลังของตัวเราเอง เพื่อการวางแผนระมัดระวังไว้ล่วงหน้า พวกเราจำเป็ต้องเตรียมพร้อมแต่เนิ่นๆ จวบจนพวกเรามีพลังอำนาจที่ไร้เทียมทานจริงๆ ถึงเวลานั้นแล้วค่อยให้โลกได้เห็นว่าตระกูลที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงนั้นเป็อย่างไร!” เสียงของจ้านอู๋มิ่งทุ้มต่ำ มีพลังที่ไม่อาจโต้แย้งหักล้างได้ชนิดหนึ่ง
“มีบุตรเช่นเ้า นับเป็วาสนาของตระกูลจ้านเราจริงๆ หลังจากนี้สิบปี ตำแหน่งผู้นำตระกูลของพ่อจะส่งต่อให้เ้า”
“ท่านพ่อกล่าวหนักไปแล้ว เหตุผลที่ลูกพูดเื่พวกนี้มิใช่เพื่อหวังตำแหน่งผู้นำตระกูล แต่เพื่อมาอำลาท่านพ่อออกเดินทาง ความรู้เื่โอสถของลูกมาถึงจุดคอขวด การสื่อสารกับลุงใหญ่ไม่สามารถทำให้ลูกก้าวหน้าขึ้นได้อีก ดังนั้นลูกเตรียมตัวจะออกเดินทางท่องยุทธภพ แสวงหายอดคนอาจารย์ชื่อดัง หวังว่าจะทะลุทะลวงก้าวหน้าขึ้นไปอีก ถ้าตระกูลจ้าน้าลงหลักปักฐานในอนาคต ข้าจำเป็ต้องคิดค้นตำรับโอสถเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นถ้าข้าไม่สามารถพัฒนายิ่งขึ้น คำกล่าวว่าตระกูล้าก้าวหน้าให้เจริญรุ่งเรืองก็เป็เพียงคำพูดเปล่าๆ ดังนั้นยังขอให้ท่านพ่อดำเนินกิจการของตระกูลให้ดีด้วยความอุ่นใจ อย่าให้ลูกต้องกังวลใจ” จ้านอู๋มิ่งส่ายหน้าพลางกล่าว
“อา!” จ้านชิงเผิงใ พูดด้วยความห่วงใยว่า “เ้าไม่มีพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้แม้แต่น้อย หากออกท่องยุทธภพ พ่อจะวางใจได้อย่างไร?”
“ท่านพ่ออย่าลืมว่าข้ายังมีคนรับใช้ราชันาผู้หนึ่ง และตอนท่องอยู่ข้างนอกลูกจะปิดบังชื่อแซ่ไว้ ก่อนออกเดินทาง ลูกจะเตรียมพร้อมให้ดี” จ้านอู๋มิ่งกล่าว
“ถ้าเช่นนั้นมิ่งเอ๋อร์มีเป้าหมายใด?” จ้านชิงเผิงยังมีความสงสัย
“ลูกยังไม่ได้กำหนดจะทำสิ่งใดชั่วคราว แต่ก่อนจะออกเดินทาง ลูกจะเก็บเกี่ยวทักษะการต่อสู้และคัมภีร์ลับโบราณที่ได้รับเมื่อหลายปีก่อนไว้ที่บ้าน อาจมีส่วนช่วยตระกูลได้” จ้านอู๋มิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งพูดขึ้น หากไม่มีความช่วยเหลือของตน ไม่มีมรดกโบราณตกทอดที่แข็งแกร่งกว่า ตระกูลจะก้าวหน้าขึ้นได้อย่างแท้จริงนั้นเป็ไปไม่ได้ มีมรดกตกทอดโบราณมากมายในความทรงจำของตนในชาติภพก่อน สามารถทำให้ตระกูลเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้อย่างสมบูรณ์ เขาตัดสินใจที่จะคัดเลือกบางส่วนเหลือไว้ในตระกูล
“เื่ราวในบ้านเ้าวางใจ สิ่งที่เ้าพูดมาทั้งหมดพ่อจำใส่ใจไว้แล้ว ตระกูลจ้านบางทีอีกมินานอาจจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่ตระกูลจ้านที่แท้จริงจะแปรเปลี่ยนเป็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้มีพ่ออยู่ที่นี่ ท่านแม่ของเ้าจะต้องสบายดี เ้าไม่ต้องกังวลใจ” จ้านชิงเผิงเต็มรู้สึกกระฉับกระเฉงและห้าวหาญ หลังจากฟังคำพูดของบุตรชาย ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาและมีมุมมองใหม่ ส่วนที่เหลือคือการวางแผนร่วมกับคนอื่นๆ ในตระกูลว่าจะดำเนินการอย่างไร
ตระกูลจ้านถึงคราวต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว ตระกูลหนึ่ง้าผงาดขึ้นมาจะต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงจากพื้นฐานก่อน…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้