ไม่นานนักก็มีชายชราในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินผู้หนึ่งเดินเข้ามาภายในห้องโถงด้านหลัง เขามีเส้นผมสีขาวโพลน สวมใส่แว่นตากรอบสีทอง บนหน้าอกติดเข็มกลัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปรายตามองเยี่ยเฉินเฟิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ [1] ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “เ้าใช่ไหมที่้าขายยันต์อักขระ?”
“ใช่ ข้ามียันต์อักขระอยู่หนึ่งชิ้น อยากให้ช่วยประเมินราคาดูสักหน่อย แล้วค่อยตัดสินใจซื้อขายกัน” เยี่ยเฉินเฟิงพยักหน้ารับ และหยิบยันต์เข็มทองออกมาส่งต่อให้ชายชราชุดน้ำเงินดู
หลังจากรับยันต์เข็มทองมาจากอีกฝ่าย ชายชราชุดสีน้ำเงินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเบาๆ เมื่อเห็นว่าแผ่นยันต์ที่ใช้ในการสร้างคือแผ่นยันต์หวงอวี้ที่ราคาถูกที่สุดในท้องตลาด ราคาของแผ่นยันต์แต่ละชิ้นไม่น่าจะเกินหนึ่งร้อยตำลึงเสียด้วยซ้ำ
แม้ว่าคุณภาพของแผ่นยันต์จะไม่ส่งผลต่อคุณสมบัติและอานุภาพของยันต์ แต่ผู้ใช้อักขระเป็บุคคลที่สูงส่งถึงเพียงนั้น แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางยอมลดตัวมาใช้แผ่นยันต์ราคาถูกพวกนี้สร้างยันต์อักขระให้แปดเปื้อนฐานะเป็แน่
อีกทั้งแผ่นยันต์ที่เยี่ยเฉินเฟิงนำมาก็ไม่มีสัญลักษณ์ระบุไว้ มันก็ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่ผลงานสร้างของผู้ใช้อักขระที่มีชื่อเสียง แต่หากไม่ใช่เพราะยันต์ชิ้นนี้มีพลังแฝงอยู่เต็มเปี่ยม เขาคงจะโยนมันทิ้งไปั้แ่แรกแล้ว ไม่เสียเวลามานั่งประเมินราคาให้อีกฝ่ายหรอก
ผ่านไปประมาณห้านาที ชายชราชุดสีน้ำเงินก็ทำการประเมินเสร็จสิ้น เขาเงยหน้ามองเยี่ยเฉินเฟิงพร้อมเอ่ยถามอย่างเนิบช้า “เป็ยันต์อักขระที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เ้าได้มาจากที่ใดกัน”
“โปรดอภัยให้ข้าด้วย ที่มาของยันต์ชิ้นนี้เป็ความลับ มิอาจบอกใครได้”
เยี่ยเฉินเฟิงกล่าวขออภัยอย่างสุภาพ หากไม่สิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆ เขาไม่มีทางยอมเผยความลับของตนให้ผู้อื่นล่วงรู้หรอก จะได้ไม่เป็การชักศึกเข้าบ้าน
“ยันต์อักขระเป็สิ่งลี้ลับมหัศจรรย์โดยแท้ ข้าเองก็มองประเมินได้เพียงผิวเผินไม่อาจกำหนดราคาที่แน่ชัดของมันได้ หากเ้าไม่สามารถบอกแหล่งที่มาของยันต์ชิ้นนี้ ร้านไป๋อวิ๋นของเราคงต้องรับซื้อในราคาที่เทียบเท่ากับยันต์ระดับต่ำสุด” แม้ชายชราชุดสีน้ำเงินจะััได้ว่ายันต์เข็มทองที่เยี่ยเฉินเฟิงนำมาขายนั้นแฝงไว้ด้วยพลังอักขระอันแสนวิเศษณ์ แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะรับซื้อมาในราคาที่สูงอยู่ดี
“ไม่ทราบว่าราคายันต์คุณภาพต่ำสุดคือเท่าไหร่หรือ?” เยี่ยเฉินเฟิงขมวดคิ้วถาม
“สามพันตำลึง” ชายชราชุดสีน้ำเงินชูสามนิ้วพร้อมกล่าวตอบ
“สามพันตำลึง...”
เยี่ยเฉินเฟิงถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะเมื่อได้ยินราคาที่อีกฝ่ายเสนอมา เพราะว่าราคาที่ชายชราชุดสีน้ำเงินเสนอมามันดันเท่ากับราคาต้นทุนของยันต์แบบพอดิบพอดี โดยที่ยังไม่ได้หักล้างเงินจำนวนมหาศาลที่สูญเปล่าไปจากการสร้างยันต์เข็มทองชิ้นก่อนๆ อีกด้วย
“ไม่มีวิธีอื่นที่พอจะทดสอบราคาของยันต์ชิ้นนี้ได้บ้างเลยหรือ?” เยี่ยเฉินเฟิงซักไซ้
“ยังมีอีกวิธีหนึ่ง นั่นก็คือการทดสอบพลังต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก แต่ยันต์ที่ใช้ในการทดสอบเ้าต้องเป็ฝ่ายออกค่าใช้จ่ายเอง” ชายชราชุดสีน้ำเงินเอ่ยตอบ
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ขออภัยที่มารบกวน” ในเมื่อยันต์ขายไม่ออก เยี่ยเฉินเฟิงจึงลุกขึ้นและเดินจากไปโดยไม่คิดจะเซ้าซี้ให้เสียเวลา
หลังจากที่เดินออกมาจากร้านไป๋อวิ๋นแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงที่ยังไม่คิดถอดใจจึงถ่อไปเสี่ยงโชคต่ออีกหลายๆ ร้าน
ทว่าร้านรวงเ่าั้ บ้างก็ไม่มีนักประเมินราคายันต์ บ้างก็เคลือบแคลงว่ายันต์เป็ของปลอม และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือบางแห่งถึงขั้นไล่ตะเพิดเขาออกจากร้าน โดนปิดประตูใส่หน้าและขับไสไล่ส่งอยู่ร่ำไป
“เฮ้อ อย่าบอกนะว่าทั้งเมืองไป๋ตี้ไม่มีใครตาถึงเลยสักคน” หลังจากถูกไล่ตะเพิดออกมาจากร้านค้าแห่งหนึ่ง เยี่ยเฉินเฟิงก็แอบถอนใจอย่างไร้หนทาง
“จะไปหาคนตาถึงได้จากที่ไหนบ้างล่ะเนี่ย?” เยี่ยเฉินเฟิงมองฝูงชนพลุกพล่านเบื้องหน้า เขาขมวดคิ้วพร่ำบ่นกับตัวเองด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว
ถ้าขายยันต์เข็มทองไม่ได้ความพยายามของเขาก็สูญเปล่าหมดเลยน่ะสิ เงินที่ใช้ในการบ่มเพาะก็ไม่เหลือแล้วด้วย
ถ้าไม่มีทรัพยากรช่วยในการบ่มเพาะพลัง ต่อให้เขามีความรู้จากสมองกลืนเทวะอยู่ ความเร็วในการฝึกฝนของเขาก็ต้องลดน้อยลงอยู่ดี
“หืม ใบประกาศรางวัล”
ในขณะที่เยี่ยเฉินเฟิงเดินเรื่อยเปื่อยจนมาถึงใจกลางเมือง เขาก็บังเอิญเห็นกลุ่มคนจำนวนมากมุงดูบางอย่างบนกำแพงสูงสีแดงและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก
เมื่อเขาเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จึงพบว่าบนกำแพงมีใบประกาศสีเหลืองทองติดอยู่
“เ้าเมืองไป๋ตี้ประกาศตามหาหมอเทวดาไปรักษาไป๋ซีซานบิดาที่กำลังป่วยหนัก โดยยอมจ่ายค่าตอบแทนสูงถึงหนึ่งแสนตำลึง”
เมื่อเห็นเงินรางวัลบนใบประกาศ ดวงตาของเยี่ยเฉินเฟิงก็วาวระยับทันที เขากำลังเครียดอยู่เลยว่าจะไปหาเงินจากที่ไหน แต่แล้วจู่ๆ โอกาสก็วิ่งเข้ามาหาเขาเสียเอง
“ถ้าข้าได้เงินหนึ่งแสนตำลึงก้อนนั้นมา ปัญหาติดขัดที่มีอยู่ตอนนี้ก็จะได้รับการแก้ไข ถึงตอนนั้นจะขายยันต์เข็มทองได้หรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจแล้ว” เยี่ยเฉินเฟิงพึมพำเบาๆ เขาตัดสินใจจะกลับไปศึกษาวิชาแพทย์ว่าด้วยเื่การฝังเข็มที่สามารถชำระปราณตัดผ่านชีพจรอย่างวิชาเข็มนภาทมิฬซึ่งรักษาได้สารพัดโรค แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับมาตรวจรักษาคนป่วยที่จวนเ้าเมืองอีกครั้ง
ดวงดาวเปล่งประกายบนฟากฟ้าในยามค่ำคืน สรรพสิ่งรอบด้านเงียบสงัด
“เข็มนภาทมิฬ!”
เยี่ยเฉินเฟิงใช้ปลายนิ้วสะกิดเข็มเรียวเล็กราวกับเส้นขนทั้งยี่สิบเล่มขึ้นมา ส่งพลังิญญาแทรกซึมเข้าไปในเข็มแต่ละเล่ม ปลายนิ้วขยับขึ้นลงเบาๆ ด้วยทักษะพิเศษอย่างหนึ่ง ก่อนจะซัดเข็มทั้งยี่สิบเล่มให้ปักลงตรงจุดต่างๆ บนแขนของตัวเองตามลำดับ บางจุดฝังลึกบางจุดฝังตื้น มีถอนออกบ้างปักใหม่บ้างปะปนกันไป
ทันใดนั้น แขนของเขาก็ปรากฏกลุ่มควันสีขาวจำนวนมาก ความรู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวแล่นไปทั่วแขนภายในชั่วพริบตา จนเขารู้สึกเหน็บชาและไร้เรี่ยวแรง
จากนั้น เยี่ยเฉินเฟิงก็สะกิดเข็มอีกสิบเล่มที่เหลือขึ้นมา เคลื่อนไหวปลายนิ้วตามทักษะเข็มนภาทมิฬ ส่งเข็มปักลงบนแขนของตนอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้มีเข็มสองเล่มปักลงในจุดที่คลาดเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม ทำให้แขนของเขาได้รับาเ็ โลหิตไหลซึมออกมาจากท่อนแขน
“ดูเหมือนข้าจะยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของการใช้เข็มในทักษะเข็มนภาทมิฬ” เยี่ยเฉินเฟิงถอนเข็มเงินออกจากแขนของตนจนครบทุกเล่ม เขาหลับตาและทบทวนประสบการณ์ที่ได้รับมาแล้วฝึกฝนการฝังเข็มอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ใช้เวลาทั้งคืนไปกับการฝึกฝน เยี่ยเฉินเฟิงที่ระดับการรู้แจ้งสูงราวกับปีศาจก็สามารถบรรลุแก่นแท้หลักๆ ของทักษะเข็มนภาทมิฬได้เป็ผลสำเร็จ และมีความแม่นยำในการฝังเข็มอยู่ที่เก้าส่วนขึ้นไป
สิ่งที่เขายังขาดแคลนในยามนี้คือประสบการณ์จริง
เช้าตรู่ เยี่ยเฉินเฟิงสวมหน้ากากหนังมนุษย์ปิดบังใบหน้าเอาไว้และสะพายกล่องยาที่เพิ่งจะซื้อมาเมื่อวานไว้ด้านหลัง เขาเดินฝ่าแสงตะวันยามรุ่งอรุณมุ่งหน้าสู่จวนเ้าเมือง
“มากันเยอะเสียจริง”
เมื่อเยี่ยเฉินเฟิงเดินทางมาถึงจวนเ้าเมืองก็พบว่าประตูจวนที่เคยใส่สลักลงกลอนอย่างแ่า ตอนนี้กลับเปิดกว้างและมีหมอชราเส้นผมขาวโพลนสิบกว่าคนกำลังล้อมวงปรึกษาอะไรบางอย่างตรงบริเวณโถงหน้าเรือน
แต่ดูจากอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของพวกเขาแล้ว คาดว่าคงจะไร้หนทางรักษาอาการป่วยของไป๋ซีซานเป็แน่
แม้จะเห็นสีหน้าสิ้นหวังของพวกเขากับตาตัวเอง แต่เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่ได้สูญเสียความมั่นใจแม้แต่น้อย เขาเหยียบย่างไปตามขั้นบันไดหินสีขาว และมุ่งหน้าเข้าไปภายในจวนเ้าเมือง
“ที่นี่คือจวนเ้าเมือง เ้าไม่รู้หรือว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้อง เขาห้ามเข้าไป?” เมื่อเยี่ยเฉินเฟิงมาถึงหน้าประตูจวน ชายชราในชุดคลุมยาวสีน้ำเงิน เส้นผมสีดอกเลาและมีรอยยับย่นเต็มหางตาผู้หนึ่งเดินออกมาขวางทางไม่ให้เขาเข้าไป พร้อมทั้งกล่าวเตือนด้วยความจองหอง
“ข้ามาเพื่อรักษาอาการป่วยของผู้เฒ่าไป๋ตามประกาศ” เยี่ยเฉินเฟิงแกล้งดัดเสียงให้ฟังดูแหบแห้ง
“เ้ามารักษาเรอะ...”
เมื่อได้ฟังจุดประสงค์การมาเยือนของอีกฝ่าย พ่อบ้านไป๋ก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย สายตากวาดมองเยี่ยเฉินเฟิงอย่างระมัดระวัง แววตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
ต่อให้เยี่ยเฉินเฟิงสวมหน้ากากหนังมนุษย์ปกปิดใบหน้า แต่ก็ยากจะกลบกลิ่นอายความอ่อนเยาว์ของเขาเอาไว้ได้ ประกอบกับเสื้อผ้าราคาถูกที่เขาสวมใส่ ยิ่งทำให้พ่อบ้านไป๋สงสัยว่าเขาเป็มิจฉาชีพปลอมตัวมาหรือเปล่า
“ไอ้บ้านนอกที่ไหนหลงมาล่ะ รีบไสหัวออกไปให้ไกลๆ เลยนะ ก่อนที่ข้าจะหักขาของเ้าทิ้ง”
ระหว่างที่พ่อบ้านไป๋กำลังพินิจพิเคราะห์เยี่ยเฉินเฟิงอยู่นั้น ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสูงสง่าแต่งกายด้วยชุดหรูหราก็เดินออกมาจากในจวน สายตารังเกียจตวัดมองเยี่ยเฉินเฟิงที่สวมใส่ชุดซอมซ่อและสะพายกล่องยาไว้ด้านหลัง ก่อนจะด่ากราดด้วยท่าทางเดียดฉันท์
‘เหลียนซานจวิน เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร’
เยี่ยเฉินเฟิงมองปราดเดียวเขาก็จำได้แล้ว่า ชายที่สวมชุดหรูหราตรงหน้าก็คือสหายร่วมรุ่นของตนตอนที่ยังเรียนอยู่สำนักศึกษาไป๋ตี้ คุณชายรองตระกูลเหลียนมหาเศรษฐีแห่งเมืองไป๋ตี้ นามว่าเหลียนซาน จวิน
“ข้าไปก็ได้ แต่หวังว่าพวกเ้าจะไม่เสียใจภายหลังนะ เพราะข้าคือคนเดียวที่จะรักษาผู้เฒ่าไป๋ได้”
เยี่ยเฉินเฟิงเหลือบมองเหลียนซานจวิน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยพลางบอกกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ท่านหมอโปรดช้าก่อน”
ในตอนที่เยี่ยเฉินเฟิงคิดจะหันหลังเดินจากไป ก็มีหญิงสาวหน้าตาสวยวิจิตร กิริยาท่วงท่าสง่างาม รูปร่างสูงโปร่งเพรียวบางนางหนึ่งวิ่งตามออกมาจากในจวน พร้อมเอ่ยรั้งเขาเอาไว้
------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เก้าอี้ไม้แบบโบราณ มีพนักพิงและที่วางแขนทั้งสองข้าง นิยมใช้ในหมู่ขุนนาง
