ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าประตูมา นางก็เห็นกล่องของกำนัลวางซ้อนกันเหมือนเนินเขาในสวนเล็กๆ เมื่อมองไปรอบๆ ก็ดูเหมือนว่ามันขวางทางแล้วกลับไปยังห้องนอนของนาง
“คุณหนู โปรดรอสักครู่ บ่าวคนนี้จะจัดการให้เ้าค่ะ” หลังจากที่จื่อเซียงพูดจบ นางก็ก้มลงไปหยิบกล่องของกำนัลเ่าั้
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเห็นดังนั้นจึงรีบดึงนางกลับมา ก่อนจะชำเลืองมองกล่องของกำนัลตรงหน้านางอย่างนึกสนุกพลางยิ้มน้อยๆ “เ้าคิดว่าพวกเขาจะส่งกล่องของกำนัลมาเฉยๆ จริงหรือ?”
“คุณหนูหมายความว่าอย่างไรเ้าคะ” จื่อเซียงดึงมือออกแล้วหันไปมองมู่อวิ๋นจิ่น คุณหนูของนางเปลี่ยนไปมากจริงๆ ก่อนหน้านี้นางเต็มไปด้วยความน่าสงสารและน่าเห็นใจ แต่ตอนนี้นางกลับเต็มไปด้วยความน่าชื่นชม และน่าเกรงขามในเวลาแค่หนึ่งเดือนที่ผ่านมา
“าไม่สิ้นไร้เล่ห์กล ใครจะไปรู้ว่ากล่องของกำนัลเหล่านี้ถูกใส่อะไรแปลกๆ ลงไปบ้าง” มู่อวิ๋นจิ่นเย้ยหยัน “พวกเรากลับไปที่เรือนมวลบุปผากันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาดูกันว่าจะเกิดปัญหาอันใดกับกล่องของกำนัลเหล่านี้หรือไม่”
หลังจากพูดจบ มู่อวิ๋นจิ่นก็ออกจากประตูเรือนบุปผาภิรมย์ และมุ่งหน้าไปยังเรือนมวลบุปผา
ทันทีที่นางออกจากประตู มู่อวิ๋นจิ่นก็เห็นร่างร่างหนึ่งทำตัวลับๆ ล่อๆ แวบเข้ามาที่มุมห้อง นางอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากสบายๆ แล้วเดินไปจากไป
ย้อนกลับไปที่เรือนมวลบุปผา มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่ห้องของนางที่เกือบจะว่างเปล่า และนั่งลงบนพื้น พลันรู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากที่เดินทางมาทั้งวัน
เมื่อนึกถึงกล่องของกำนัลเ่าั้ จื่อเซียงก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ และพูดด้วยความประหม่าว่า “คุณหนู ถ้ามีอะไรผิดปกติกับของกำนัลเ่าั้จริง ฮูหยินคง้าชีวิตของคุณหนู ใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“เ้าคิดอย่างนั้นหรือ” มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เมื่อก่อนข้าอยู่ที่เรือนมวลบุปผา และไม่แม้แต่จะออกจากประตูเรือน ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยจะสนใจข้า แต่ตอนนี้ข้ากำลังจะแต่งงานกับองค์ชายหก ในฐานะแม่ของมู่หลิงจู นางจะไม่คิดหาทางกำจัดข้าได้อย่างไร?”
“ถ้าเป็เช่นนั้นจริง ฮูหยินกล้าหาญมากนะเ้าคะ นางไม่กลัวว่าองค์ชายหกจะตำหนินางหรอกหรือเ้าคะ?” จื่อเซียงถามอย่างเป็ห่วง
“ถ้าอยู่ๆ ข้าเกิดตายขึ้นมาจริงๆ นางก็จะแสดงให้เห็นว่าข้านั้นตายด้วยโรคร้ายแรงกะทันหัน ใครจะคิดว่าซูปี้ชิง จะฆ่าลูกสาวของตัวเอง!” มู่อวิ๋นจิ่นพูดพลางพิงกำแพงพูดอย่างมีเหตุผล
จื่อเซียงรู้สึกหวาดกลัวกับคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น อันที่จริงก่อนหน้านี้คุณหนูของนางอยู่แต่ในเรือนมวลบุปผา ไม่มีใครสามารถทำอันตรายนางได้ อย่างมากที่สุดก็แค่ถูกทำให้อับอายโดยฮูหยินรองและคุณหนูรองเท่านั้น ทว่าก็ไม่ได้เป็มากถึงชีวิตเช่นนี้
ั้แ่คุณหนูแสดงความสามารถในครั้งแรก ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
“คุณหนู หลังจากนี้จะไม่ถูกมุ่งแต่เอาชีวิตหรอกหรือเ้าคะ?” จื่อเซียงขมวดคิ้ว หวาดกลัวเล็กน้อย
“ไม่เป็ไร ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินรับ[1] พวกเขาจะคิดว่าข้าเป็ลูกพลับนิ่มจริงหรือ” มู่อวิ๋นจิ่นตะคอกอย่างเ็าในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก
เมื่อเห็นเช่นนั้น จื่อเซียงกลับรู้สึกโล่งใจอย่างอธิบายไม่ถูก นางคิดว่าบางทีหลังจากที่คุณหนูแต่งงานกับองค์ชายหกฉู่ลี่ ก็คงไม่ต้องเผชิญกับการต่อสู้ในจวนเสนาบดีมู่อีกต่อไป
…
ในตอนกลางคืน หลังจากที่จื่อเซียงหลับไป มู่อวิ๋นจิ่นที่เหมือนกำลังหลับอยู่ก็ลืมตาขึ้นเงียบ ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง และเดินออกไป
หลังจากออกจากเรือนมวลบุปผา มู่อวิ๋นจิ่นเดินอย่างเงียบๆ ไปยังทิศทางของตำหนักไป๋หลั่ว ร่างของนางเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในค่ำคืนที่มืดมิดไปกับเงาต้นไม้
ไม่นานมู่อวิ๋นจิ่นก็ปรากฏตัวบนหลังคาของตำหนักไป๋หลั่ว มีตะเกียงสลัวเพียงไม่กี่ดวงที่แขวนอยู่ในตำหนัก นางนอนอยู่บนหลังคามองลงมาผ่านแสงจันทร์
“เมี๊ยว...” ในคืนเดือนมืด มีแมวตัวน้อยๆ ส่งเสียงร้องทัก
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเสียงแมว นางหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็พลิกตัวร่อนลงบนพื้น และเดินไปทางต้นเสียง
หลังจากนั้นไม่นาน มู่อวิ๋นจิ่นก็พบแมวสีขาวราวกับหิมะ บนผ้าห่มนอกห้องนอนของซูปี้ชิง ว่ากันว่าแมวสีขาวตัวนี้เป็สัตว์เลี้ยงตัวโปรด เป็สมบัติล้ำค่าของซูปี้ชิง มันถูกมู่เซียงนำกลับมาจากนอกกำแพงเมืองจีนเมื่อสองปีที่แล้ว ซึ่งทั้งสองรักมันมาก
มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่แมวขาวพลางยิ้มเยาะก่อนจะก้มลงอุ้มกอดมันอย่างแ่เบา จากนั้นก็จากไปอย่างเงียบงัน
มู่อวิ๋นจิ่นนำมันไปยังเรือนบุปผาภิรมย์ มองไปที่กล่องของกำนัลทั่วพื้น และลูบขนปุยของมันอย่างเบามือ
จากนั้นนางก็โยนมันลงไปที่พื้น
“เหมียว...”
…
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นกลับไปที่เรือนมวลบุปผาอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ของจื่อเซียงจากด้านในห้อง มู่อวิ๋นจิ่นใและรีบวิ่งเข้าไปทันที
เมื่อนางเปิดประตูก็เห็นชายในชุดดำกำลังปิดปากของจื่อเซียงด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็บีบคอของจื่อเซียงเอาไว้ ในคืนที่มืดมิด จื่อเซียงกำลังเตะขาและพยายามดิ้นรนต่อสู้
“ใคร?” เมื่อเห็นเหตุการณ์นั้นแววตาของมู่อวิ๋นจิ่นก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันในทันที นางดึงมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมาและเหวี่ยงมันไปที่ชายชุดดำ
เมื่อชายชุดดำเห็นนาง แต่เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจนางเลยแม้แต่น้อย เขายังคงไม่ล้มเลิกและมุ่งแต่จะทำร้ายจื่อเซียง ขณะที่เขากำลังจะยกขาขึ้นเพื่อรับมีดสั้นของมู่อวิ๋นจิ่น เขาก็ได้ยินเสียงเย้ยหยัน จากนั้นก็เห็นแค่ร่างของนางแวบไปด้านหลังของตนเองอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า มู่อวิ๋นจิ่นะโข้ามไปข้างหลังของเขา...
ทันใดนั้นพลันปรากฏแสงวูบวาบในความมืด เป็มีดสั้นของมู่อวิ๋นจิ่นที่เสียบเข้าด้านหลังที่คอของชายชุดดำ ทำให้เืไหลทะลักออกจากร่างของชายผู้นั้นทันที ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสักพัก ก่อนที่เขาจะล้มลงกับพื้น
“จื่อเซียง เ้าาเ็ตรงไหนหรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นจุดเทียนในห้อง และมองไปที่จื่อเซียงอย่างเป็ห่วง
จื่อเซียงรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก หลังจากที่หลุดพ้นจากพันธนาการของชายชุดดำแล้ว นางยังคงหอบหายใจ เมื่อเห็นภาพที่ชายชุดดำตกตายต่อหน้าต่อตา เืไหลนองเต็มพื้น นางอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเครือ
“คุณหนู เราควรทำอย่างไรต่อดีเ้าคะ”
มู่อวิ๋นจิ่นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเืบนมีดสั้นเบาๆ แล้วเดินไปด้านข้างชายชุดดำ และก้มลงถอดผ้าคลุมออก
หลังจากเห็นใบหน้าของชายชุดดำแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็หรี่ตาลงพร้อมกับเจตนาฆ่าฟันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง “เป็เขานี่เอง"
ชายชุดดำบนพื้นคือหัวหน้ากลุ่มโจรที่นางพบในย่านชานเมืองในวันนั้น
ดูเหมือนว่านี่คือคนที่มู่หลิงจูส่งมา
มู่หลิงจูผู้นี้แทบจะอดรนทนไม่ไหว ถูกทำให้อับอายในตอนกลางวันแค่นั้น ตกตอนกลางคืนกลับลอบส่งนักฆ่ามาสังหารนางอีก
อีกฝ่ายประเมินมู่อวิ๋นจิ่นผู้นี้ต่ำเกินไปแล้ว!
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องตอบโต้นางบ้างแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นพูดช้า ๆ
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มีบ่าวมาส่งข่าวให้มู่อวิ๋นจิ่นไปที่โถงด้านหน้า
ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นก้าวเข้าไปในห้องโถง นางก็พบกับอัครเสนาบดีมู่ที่นั่งอยู่ข้างใน ใบหน้าของมู่หลิงจูและซูปี้ชิงดูไม่ค่อยสู้ดีนัก แม่ลูกคู่นี้กำลังกอดกัน ดวงตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
เมื่อมองไปที่พื้น หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นว่าชายชุดดำถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว และอีกด้านหนึ่งคือแมวตัวโปรดของซูปี้ชิง ซึ่งในขณะนี้กลายเป็ซากแมวสีดำปนม่วงเพราะมันมีอาการติดพิษ
“เกิดอะไรขึ้น?” เห็นดังนั้นมู่อวิ๋นจิ่นจึงเงยหน้ามองอัครเสนาบดีมู่
อัครเสนาบดีมู่จ้องมู่อวิ๋นจิ่นด้วยแววตาสับสน ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ชายชุดดำคนนี้ถูกพบเป็ศพในหอมุกดาของจูเอ๋อร์เมื่อเช้า เมื่อพิจารณาจากสภาพการตาย คอของเขาถูกแทงด้วยมีดสั้น และตายในที่เกิดเหตุ”
“ ส่วนนี่คือสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของแม่เ้า ซากของมันถูกพบในเรือนบุปผาภิรมย์เมื่อเช้าเหมือนกัน มันถูกวางยาพิษ”
มู่อวิ๋นจิ่นแสร้งทำเป็ใเมื่อนางได้ยินคำพูดเ่าั้ และหันไปมองมู่หลิงจู “น้องสาวข้า เ้ายังสบายดีหรือไม่? ไม่ได้รับาเ็อันใดใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำทักทายอย่างเ้าเล่ห์ของมู่อวิ๋นจิ่น มู่หลิงจูรู้สึกได้ถึงความขมขื่นในลำคอ นางกำมือแน่น และมองไปยังใบหน้าที่สดใสตรงหน้านาง
เฉาผานหรือชายชุดดำนั้น เป็คนสนิทของนางซึ่งรู้จักกันมานานหลายปี เมื่อวานนี้นางส่งเฉาผานไปฆ่ามู่อวิ๋นจิ่น้าที่จะกำจัดนางให้ตกตายไปซะ
แต่ไม่คาดคิดว่าเมื่อนางตื่นขึ้นมาในตอนเช้า กลับเห็นเฉาผานตกตายในบ้านของตัวเอง
มู่อวิ๋นจิ่นเคยพบเฉาผานมาก่อน มู่หลิงจูจึงเข้าใจได้ทันทีว่ามู่อวิ๋นจิ่นกำลังยั่วยุนางด้วยการโยนศพเฉาผานไปที่สวนของนาง
เมื่อเห็นว่ามู่หลิงจูพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นจึงหันไปมองแมวอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองอัครเสนาบดีมู่และซูปี้ชิง “ของกำนัลที่ท่านนำมาคืนข้าเมื่อวาน กีดขวางทางกลับไปที่ห้องของข้า ข้ารู้สึกอ่อนเพลียเพราะมัวแต่เที่ยวเล่นเลยี้เีเก็บกวาด ข้าจึงกลับไปพักที่เรือนมวลบุปผา”
“แล้วแมวตัวนี้มันยังไงกันหรือ? มันถูกวางยาพิษจนตายในเรือนบุปผาภิรมย์ได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่นพูด อัครเสนาบดีมู่ก็เหลือบไปมองนาง และชี้ไปที่พื้น “เื่นี้เกี่ยวข้องกับเ้าหรือไม่”
“เหตุใดท่านพ่อถึงคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับข้าเล่า” มู่อวิ๋นจิ่นถามกลับ
หลังจากพูดจบมู่อวิ๋นจิ่นก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ สายตาเหลือบมองซูปี้ชิงและมู่หลิงจู “ที่ศาลต้าหลี่ไม่มีผู้ตรวจการหรืออย่างไร? ข้าบริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว ท่านพ่อส่งข้าไปสอบสวนคดีเลยก็ยังได้”
เมื่อได้ยินอวิ๋นจิ่นพูดสีหน้าของซูปี้ชิงและมู่หลิงจูก็เปลี่ยนไปกลายเป็พูดอะไรไม่ออก
“ข้าต้องหาให้ได้ว่ามีเื่แปลกประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นในจวนของเราได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นต่อไปจวนเสนาบดีของข้าคงได้วุ่นวายเป็แน่”
หลังจากที่มู่เฉิงเซี่ยงพูดจบก็ตบโต๊ะผาง “ไปเชิญเฉินพู่แห่งศาลต้าหลี่มา”
“ขอรับ”
บ่าวที่ได้รับคำสั่งรีบวิ่งออกจากจวนอย่างรวดเร็ว มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่ซูปี้ชิงและมู่หลิงจูพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย
“ ท่านทั้งสองไม่ต้องกลัวไปหรอก ข้าได้ยินมาว่าผู้ตรวจการจากศาลต้าหลี่มีความรู้ความสามารถเก่งกาจ ข้าเชื่อว่าจะได้รับความยุติธรรมในไม่ช้า”
หลังจากพูดจบ มู่อวิ๋นจิ่นก็เหลือบมองซากแมวบนพื้นอีกครั้งด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ “จริงสิ แมวตัวนี้คือผู้ช่วยชีวิตของข้า ถ้าไม่เป็เพราะมันละก็ ข้าคงเป็คนที่นอนอยู่ที่นี่แทนมันไปแล้ว”
ซูปี้ชิงและมู่หลิงจูไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป ก่อนที่ซูปี้ชิงจะลุกขึ้นและกอดปลอบประโลมมู่หลิงจู “เมื่อเช้านี้ข้ากับจูเอ๋อร์ใมากจริงๆ และตอนนี้พวกเราก็รู้สึกเหนื่อยมาก อยากจะพักผ่อนเต็มที”
“เอาล่ะ พวกเ้าสองคนไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ” อัครเสนาบดีมู่กล่าวด้วยใบหน้ากังวล
ทั้งสองพยักหน้าและเดินออกไป
…
หลังออกมาจากห้องโถงด้านหน้า มู่หลิงจูก็หมดความอดทนก่อนจะรีบดึงซูปี้ชิงไปยังมุมที่เงียบสงบพร้อมกับขมวดคิ้ว “ท่านแม่ มู่อวิ๋นจิ่นรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะทำอะไร”
“ใช่ ข้าเองก็สงสัยเหมือนกัน! ข้าต้องใช้ความพยายามกับกล่องของกำนัลพวกนั้น แต่นางคล้ายกับล่วงรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร แถมนางยังฆ่าแมวของข้าอีก” เมื่อซูปี้ชิงนึกถึงแมวสุดที่รักของนาง ก็พลันรู้สึกขุ่นเคืองเดือดดาลขึ้นมา
“แล้วเราควรทำอย่างไรดี? ถ้าผู้ตรวจการจากศาลต้าหลี่มาถึงจวน เขาจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดแน่ๆ หากพบว่าเป็ท่านแม่กับข้าล่ะ?” มู่หลิงจู่ถามอย่างประหม่า
ซูปี้ชิงถอนหายใจพลางมองมู่หลิงจู ก่อนจะพูดว่า “ข้าเตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้ว คราวนี้ถ้านางยังรอดไปได้อีกล่ะก็ ข้าก็คงจะหมดหนทางแล้วจริงๆ ”
—-----------------
[1] ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินรับ สำนวน มีความหมายว่าไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้