ร่างกายถูกรถยนต์พุ่งชนจนกระเด็นลอยขึ้นฟ้าภายในชั่วพริบตา สมองของโม่จ้านถูกปกคลุมด้วยแสงสีขาวโพลน
หากจะให้โม่จ้านใช้หนึ่งคำอธิบายชั่วชีวิตนี้ของตัวเอง นอกจากคำว่า ‘น่าเบื่อ’ ก็คงจะไม่มีคำอื่นอีกแล้ว นี่ถ้าหากพวกเพื่อนของเขาได้ยินเข้า ปฏิกิริยาตอบสนองแรกจะต้องเป็การกระโจนเข้ามาเตะต่อยเขาสักหนึ่งยกเป็แน่ --- เอ็งเคยแบกปืน เคยไปเรียนต่อต่างประเทศ เคยทำธุรกิจ ตอนอายุสามสิบก็ได้ลองผ่านประสบการณ์ที่คนอื่นไม่เคยพบเจอ ถ้าแบบนี้ยังเรียกว่าน่าเบื่อ แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าเร้าใจ?
แต่โม่จ้านกลับไม่ได้คิดแบบนั้น อันที่จริงเขาไม่มีความคิดเป็ของตัวเองมาั้แ่เด็ก จำความได้ก็ต้องก้มหน้าก้มตาตรากตรำร่ำเรียน ท้ายที่สุดสอบเข้าโรงเรียนตำรวจที่ไม่ค่อยชอบนักตามความเห็นของคนในครอบครัว แม้จะฝืนใจเรียนจนจบมาได้ ทว่าตัวเขาที่มีทุนทรัพย์และความสามารถอันน้อยนิดกลับไม่พอใจในชีวิตรากหญ้าที่ต้องหากินไปวันๆ เพื่อรอวันตาย สุดท้ายจึงตัดสินใจเลือกถอยออกมา หลังจากนั้นไม่นานโม่จ้านที่เป็คนหนุ่มไฟแรงก็ไปต่างประเทศ อาศัยความหนักเอาเบาสู้เข้าสู่วงการธุรกิจเป็เวลาสามปี ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่กว่าจะหาเงินอันน้อยนิดมาได้ ซ้ำร้ายกลับต้องมาเผชิญหน้ากับวิกฤตทางการเงิน จนแล้วจนรอดก็ต้องกลับประเทศมาตัวเปล่า
แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่พูดอะไร ทว่าเมื่อเห็นผลการเรียนที่สูงจนน่าใของน้องชายและน้องสาวที่คลุกคลีอยู่ในวงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์จนพอมีชื่อเสียงก็ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกไม่ดีไม่ได้ กระทั่งเมื่อหนึ่งปีก่อน โม่จ้านเพิ่งจะเปิดร้านเล็กๆ ภายใต้ความช่วยเหลือทางการเงินของคนในครอบครัว นับว่าได้สิ้นสุดชีวิตของคนว่างงานเสียที
สาเหตุการตายของโม่จ้านในครั้งนี้ คือ ระหว่างทางไปซื้อสินค้าเข้าร้านมีเื่หนักใจจนไม่ได้สังเกตถนนหนทาง ถูกรถบรรทุกสินค้าที่ฝ่าไฟแดงมาด้วยความเร็วสูงพุ่งชนจนกระเด็นไปหลายสิบหมี่[1]
ถ้าให้พูดตามตรง จนกระทั่งก่อนตาย สหายโม่ของพวกเราก็ยังหาจุดมุ่งหมายของตัวเองไม่เจอ ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงทิศทางของความเพียรพยายาม
โม่จ้านเผยยิ้มขมขื่นก่อนที่ร่างกายจะร่วงหล่นสู่พื้น จบเห่ไปทั้งอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือไง อย่างน้อยชาติหน้าก็คงไม่มีทางย่ำแย่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว หากชาติหน้ามีจริง เขาขอแค่หาเงินได้สักเล็กน้อยให้พอมีเงินเก็บและใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาทั่วไปก็พอแล้ว ไม่ต้องมัวนั่งคิดหาเป้าหมายของชีวิตั้แ่เช้าจรดเย็น เพราะด้วยดวงชะตาของตัวเขาแล้วนั้น คาดว่าคงจะไม่มีอะไรสำเร็จลุล่วงเลยสักอย่าง
.......
…………
………………
...ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ทำไมพอผมหลับตาลงเตรียมเผชิญหน้ากับสภาพไส้แตก ิญญาหลุดออกจากร่าง กลับรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองผมอยู่?
โม่จ้านที่รู้สึกขนลุกอยู่ในใจกระอักกระอ่วนอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจลืมตาขึ้นมา
“...แม่เ้า คุณเป็ใครเนี่ย!”
ด้วยใบหน้าที่อยู่ใกล้กันในระยะประชิดทำให้โม่จ้านถึงกับสะดุ้งใถอยหลังหนีโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะพบว่ารอบด้านนั้นมืดสนิท ร่างกายของเขามีลักษณะกึ่งโปร่งใสลอยอยู่กลางอากาศ ไม่รอให้ได้ตั้งตัวโม่จ้านก็ถูก ‘คน’ ตรงหน้าคว้าลำคอเอาไว้ทันที
ตาขาวถูกแทนที่ด้วยสีดำ ั์ตาเรียวรีสีแดงดั่งโลหิต ผิวสีน้ำตาลคล้ำ บนหน้าผากมีเขาหนาใหญ่งอโค้งชี้ฟ้า กล้ามเนื้อแข็งแรงกำยำ ตลอดจนหมอกควันสีดำที่ล้อมรอบทั้งกาย...
...คือาาปีศาจใช่ไหม คงเป็าาปีศาจไม่ผิดแน่นอน คือาาปีศาจที่สังหารผู้คนมากมายและบีบบังคับให้ตัวเอกแทบเอาชีวิตไม่รอดในนิยายแฟนตาซีฝั่งตะวันตกใช่หรือไม่! กลิ่นอายแบบนี้ รูปร่างแบบนี้ ความรู้สึกหวาดหวั่นแบบนี้ ต่อให้โรงเรียนสอนแต่งหน้าพัฒนาไปอีกหลายร้อยปีก็ไม่มีทางทำได้!
โม่จ้านที่เริ่มเปิดโหมดวิจารณ์รูปร่างโดยไม่ได้ตั้งใจรู้สึกผ่อนคลายลงทันที เป็วาสนาไม่ใช่คราวเคราะห์ หากเป็คราวเคราะห์ก็หลบไม่พ้น เมื่อมองิญญาลอยเบาหวิวของตน คงเป็เพราะร่างกายประสบอุบัติเหตุเมื่อครู่จนเสียชีวิต แล้วตอนนี้ยังต้องโดนถูกฆ่าอีกรอบหรือ?
ให้ความจริงเป็เครื่องพิสูจน์ ไม่อาจฟันธงซี้ซั้ว เพราะเดี๋ยวไม่ช้าก็เร็วมันจะกลายเป็เื่จริงขึ้นมา
“เ้ามนุษย์ เ้าอยากตายอีกหนหนึ่งหรือไม่?”
น้ำเสียงดุจระฆังใหญ่ดังกังวานแทรกเข้ามาในิญญา โม่จ้านถึงกับสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม ตายอีกรอบ? หมายความว่ายังไง? ิญญาดับสลายงั้นหรือ? ลางสังหรณ์ในตัวััได้ถึงอันตรายรุนแรง ไม่ทันให้สหายโม่ของพวกเราได้คิดวิเคราะห์ความหมายแฝงในคำพูดนั้นอย่างรอบคอบ ร่างเปี่ยมกลิ่นอายกดดันตรงหน้าพลันพุ่งเข้ามาหาตัวเขา โม่จ้านถูกชนเต็มอกโดยไม่ทันตั้งตัว แต่กลับพบว่าร่างของทั้งสองฝ่ายต่างไม่ใช่ร่างจริง เป็เพียงร่างกึ่งโปร่งใสที่ซ้อนทับเข้าด้วยกัน
ส่วนลึกในใจของโม่จ้านกำลังขับไล่คนแปลกหน้า อ้อ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า ‘ััอันใกล้ชิดสนิทสนม’ ของาาปีศาจหน้าแปลก ความขุ่นเคืองหลอมรวมเป็พลังิญญาพุ่งตรงไปยังสมองของฝ่ายตรงข้าม ทว่ากลับต้องหยุดชะงักกลางคันเมื่อได้ยินประโยคหนึ่งของอีกฝ่าย
“เ้าไม่มีสิทธิ์เลือก ข้าเองก็ไม่มีเช่นกัน...”
โม่จ้านได้แต่ขบคิดปัญหาหนึ่งก่อนจะหมดสติไป ทั้งๆ ที่าาปีศาจแม้จะอยู่ในร่างิญญาก็ยังแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่ทำไมในเสียงหอบหายใจหนักที่ตนได้ยินกลับััได้ถึงความเหนื่อยล้าและ...สิ้นหวังอย่างถึงที่สุดกัน?
คาดไม่ถึงว่าจะได้คำตอบรวดเร็วถึงเพียงนี้
ครั้นโม่จ้านลืมตาขึ้นก็ถูกภาพเบื้องหน้าทำให้ตะลึงงันเสียแล้ว
กำแพงเบื้องหน้าเต็มไปด้วยภาพแกะสลักลายนูน แม้ว่าแสงไฟเหนือศีรษะจะขมุกขมัวเป็อย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจปิดบังความประณีตที่การแกะสลักลายนูนทั่วไปไม่อาจเทียบได้ด้วยตาเปล่า ห้องเล็กคับแคบไร้ซึ่งหน้าต่าง มีเพียงบานประตูหนาใหญ่ฉาบทองชั้นดี บนบานประตูถูกวาดไว้ด้วยวงเวทย์สลับซับซ้อน
สหายโม่ขยับตัวบิดร่างกาย แต่กลับไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย แขนทั้งสองข้างถูกโซ่เหล็กเส้นหนาพันธนาการ ตรึงเฉียงขึ้น้า ล็อกไว้กับหิ้งทรมานรูปตัว Y ทำจากโลหะ มีโซ่เหล็กพันรอบหน้าอกและต้นขาของเขาอย่างแ่า ร่างสูงใหญ่ถูกตรึงให้ลอยอยู่้าอย่างมั่นคง กระทั่งข้อเท้าก็ถูกพันธนาการไว้เช่นเดียวกัน ทั่วทั้งห้องขังเป็พื้นดินที่ยุบตัวลงไป ประตูอยู่เหนือพื้นดินประมาณครึ่งตัวคน บริเวณหน้าประตูก่อเป็ขั้นบันไดไล่ระดับลงมาด้านล่างตามขอบกำแพงเพื่อให้ผู้ที่เดินเข้ามาสามารถมาอยู่ตรงหน้าผู้ที่ถูกคุมขังได้
กระนั้นเมื่อก้มหน้าลงมองผิวสีเข้มของตน ผู้รักในการอ่านนวนิยายออนไลน์อย่างโม่จ้านได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา เห็นทีตัวเขาคงจะข้ามมิติมาแล้ว ไม่ใช่แค่ถูกบังคับให้ข้ามมิติ แต่ยังถูก ‘กำหนดเป้าหมายในการข้ามมิติ’ อีกด้วยซ้ำ
ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนอื่นข้ามมิติมาพร้อมกับดัชนีทองคำ [3] อย่างพวกระบบไม่ใช่เหรอ หรืออย่างน้อยๆ ก็ควรมีพร์ทักษะเชี่ยวชาญสักหน่อย หรืออย่างเลวร้ายที่สุดก็ควรจะเป็คุณชายผู้สืบทอดตระกูลหรือศิษย์ผู้สืบทอดสำนัก แล้วทำไมเขาถึงถูกขังอยู่ที่นี่ นอกจากนั้นยังถูกมัดเอาไว้อย่างแ่าแบบนี้อีก?
ในนาทีที่สองหลังมาถึงโลกนี้ โม่จ้านค้นพบปัญหาอันใหญ่หลวงอีกอย่างคือ ตนไม่มีความทรงจำของร่างนี้ ไม่มีแม้แต่นิดเดียว ร่างกายใหญ่โตขนาดนี้จะต้องเป็าาปีศาจตนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สถานการณ์ตรงหน้าในตอนนี้มันคืออะไรกัน? โม่จ้านพยายามสงบสติอารมณ์ลง ไม่บ่อยนักที่เขาจะเปิดโหมดใคร่ครวญเื่ชีวิต ทว่ากลับถูกคนที่เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
ตราเครื่องหมายพื้นแดงขอบทองและแถบผ้าแสดงให้เห็นว่าผู้มาเยือนคืออัศวินของคณะแห่งพระวิหาร [3] ผู้มีฐานะสูงส่ง กระบี่หนักกระทบกับหมวกเหล็กและเสื้อเกราะจนเกิดเป็เสียงเสียดสี สายตาหยิ่งยโสที่มองมานั้นคล้ายกับไม่เห็นทุกสรรพสิ่งอยู่ในสายตา นอกจากนั้นของขวัญในการพบกันครั้งแรกที่ท่านอัศวินมอบให้โม่จ้านก็ยังไม่เป็มิตรนัก นั่นคือมือที่สวมถุงเกราะหนักๆ ชกลงบนหน้าท้องไร้ซึ่งการป้องกันของาาปีศาจอย่างรุนแรง โม่จ้านทำได้เพียงเกร็งร่างกายพลางกัดฟันอย่างอดทนกับความเ็ปที่ได้รับอย่างกะทันหัน
“หากไม่ใช่เพราะคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปา ข้าก็อยากจะบั่นหัวตัวอัปลักษณ์เช่นเ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้! เพื่อจับเป็เ้า คณะแห่งพระวิหารต้องเสียกำลังคนไปกว่าครึ่ง บาปกรรมครั้งนี้ ต่อให้หั่นเ้าเป็พันเป็หมื่นชิ้นก็ไม่อาจทดแทน!”
ไร้สาระ จับคนอื่นมาแล้วยังจะไม่ยอมให้ขัดขืนอีกหรืออย่างไร? โม่จ้านลอบวิจารณ์ในใจ เศษสวะอย่างพระสันตะปาปาเพื่อที่จะได้จับเป็าาปีศาจ ถึงขั้นยอมสละชีวิตสุนัขรับใช้ของตนไปกว่าครึ่ง ก็คงจะไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน
“เผ่าปีศาจกับเ้า...มีความแค้นอะไรต่อกันงั้นรึ?” โม่จ้านพบว่าเสียงของเขาแหบพร่าผิดปกติ ลำคอแห้งผากถึงขีดสุด ประโยคแรกที่เอ่ยหลังจากข้ามมิติมาช่างทรมานถึงเพียงนี้ ทว่าท่านอัศวินกลับไม่คิดเมตตา เริ่มโต้กลับเสียงดังด้วยท่าทางถูกต้องเที่ยงธรรม “เดิมทีพวกเผ่าปีศาจที่นำพาภัยพิบัติและความชั่วร้ายมาสู่มวลมนุษย์นั้นไม่สมควรปรากฏบนโลกใบนี้! ในฐานะที่ข้าไหลเจ๋อเอ่อร์เป็หนึ่งในกลุ่มอัศวินผู้คุ้มครองพระวิหารและประชาชน แน่นอนว่าจะต้องกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก!”
พอกันที แม้แต่อัศวินก็ยังเป็คนโง่หัวคร่ำครึที่ถูกคำสอนทางศาสนาน่ารำคาญล้างสมองไปอีกคน เห็นทีแล้วชีวิตเขาต่อจากนี้คงจะมีแต่ความทรมานให้ต้องเผชิญ โม่จ้านถอนหายใจหนึ่งเฮือก เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับความเ็ปทรมานที่จะเกิดขึ้น
ทว่าท่านอัศวินกลับหยุดมือ ดวงตาสีทองอ่อนกดลงมองจากเบื้องหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันคล้ายกำลังให้ทานาาปีศาจผู้อ่อนแอ “จงซาบซึ้งใจเถิด อีกห้าวันให้หลังก็จะถึงพิธีตัดสินแล้ว ครานี้บรรดาผู้คนจะได้เห็นสมเด็จพระสันตะปาปาส่งเ้าลงนรกด้วยตาของตนเอง ปีศาจชั่วร้ายเช่นเ้าจักต้องถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกินเท่านั้นจึงจะสามารถขจัดบาปที่เ้าก่อเอาไว้ทั้งหมดได้”
...ให้ตายเถอะ!
เชิงอรรถ
[1] หมี่ 米 คือหน่วยวัดระยะ เท่ากับเมตร
[2] ดัชนีทองคำ金手指 หรือสูตรโกง เป็คำที่เอาไว้ล้อไอเท็มโกงเหมือนติดแอ็กชันรีเพลย์ของพวกตัวละครเอก
[3] คณะแห่งพระวิหาร 圣堂骑士团 ทหารผู้ยากแห่งพระคริสต์และพระวิหารแห่งโซโลมอน (ละติน: Pauperes commilitones Christi Templique Solomonici) หรือที่รู้จักกันในชื่ออัศวินเทมพลาร์หรือคณะแห่งวิหาร (ฝรั่งเศส: Ordre du Temple หรือ Templiers) เป็คณะทหารคริสเตียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด คือองค์กรที่คงอยู่เกือบสองศตวรรษในสมัยกลาง