ยังไม่ทันรอให้เฉินไฮว่ชิงเอ่ยตอบกลับว่า ‘ข้าเองก็กินผักกาดขาวมาพอแล้ว’ อีกฝั่งหนึ่งก็ได้ยินเสียงอันน่าหงุดหงิดของเยว่เยียนเยียนดังขึ้น “นี่ คนตกปลากลับมากินข้าวได้แล้ว!”
“ข้าคิดว่าคงไม่...” คำพูดของเฉินไฮว่ชิงที่ยังไม่ทันได้เอ่ยออกจากปาก ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนความหมายไป ไม่ว่าจะพูดเช่นไร ตอนที่เยว่เยียนเยียนอยู่บ้านนางก็เป็คุณหนูสูงศักดิ์โดยแท้ มาอยู่ที่นี่ยังยอมลดตัวมาทำอาหารเลี้ยงท้องให้ผู้ชายตัวโตสองคนไม่ให้หิวโหยได้ ก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้วล่ะ แต่น่าเสียดาย นางดันมาเจอกับเหยียนเฟยคุณชายใหญ่จอมจู้จี้จุกจิกผู้นี้เสียได้
เฉินไฮว่ชิงก้มเก็บเบ็ดตกปลาของตัวเอง กำลังจะลุกขึ้นเดินไปกินข้าวที่กระท่อม แต่กลับเห็นเหยียนเฟยยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ที่เดิม ทั้งยังยกมือขึ้นกุมแก้มของตนเอาไว้ ราวกับ... จำใจยิ่ง
แน่นอนว่าอาจเป็เพราะความโกรธด้วย เฉินไฮว่ชิงเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ไปเถอะ มีกินก็ต้องดีกว่าไม่มีไม่ใช่หรือ?” เฉินไฮว่ชิงหยุดฝีเท้า แล้วชนแขนของเหยียนเฟยเบาๆ สื่อให้เขาเลิกต่อต้านเสีย ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้จะมีข้าวกินหรือไม่ก็คงบอกยากแล้ว
เหยียนเฟยไม่มีทางเลือก ได้แต่ผ่อนมือที่กุมหน้าลงอย่างจนปัญญา เอ่ยเสียงเบา “ข้าจะบอกท่าน นี่จะเป็วันสุดท้ายที่ข้าจะกินผักกาดขาวต้มน้ำเปล่าแล้วจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้ก็ต้องใส่เกลือลงไปสักนิด นี่คือคำขาดของข้า!”
เฉินไฮว่ชิงยักไหล่ เพื่อที่จะไม่ทำลายความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมของเหยียนเฟย เขาจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบไม่เอ่ยอะไรอื่น “เอาเถอะๆ ไปกันได้แล้ว!”
ด้วยความทั้งกล่อมทั้งปลอบของเฉินไฮว่ชิง เหยียนเฟยถึงได้ก้าวขาสูงยาวอันแสนเย่อหยิ่งของตนออกไป แล้วเดินตามกลับบ้านไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ
เมื่อมองเห็นผักกาดขาวต้มน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เฉินไฮว่ชิงก็ยังเริ่มอดทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน ดังนั้น ตอนที่เยว่เยียนเยียนเก็บกวาดข้าวของเสร็จแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะ เขาจึงเอ่ยปากถามขึ้นอย่างระมัดระวังเป็อย่างยิ่ง
“คือว่า... เยียนเยียน พวกเรากินผักกาดขาวต้มน้ำเปล่านี่ั้แ่เ้ามา อย่างน้อยๆ ก็ครึ่งเดือนได้แล้ว... พรุ่งนี้เ้าเปลี่ยนเป็อย่างอื่นบ้างดีหรือไม่?” เพื่อไม่ให้ดูเหมือนว่าตนไม่ชอบกินอาหารของเยว่เยียนเยียน เฉินไฮว่ชิงจึงรีบคีบผักกาดขาวกองใหญ่ใส่ชามตัวเองอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าคีบใส่ชามก็ยากมากแล้ว หากยังต้องกลืนลงคอให้ดูตรงนี้อีก เช่นนั้นก็คงจะเป็การบังคับฝืนใจกันมากเกินไป
เมื่อเห็นรอยยิ้มเอาอกเอาใจของเฉินไฮว่ชิงแล้ว เยว่เยียนเยียนก็เหยียดริมฝีปากอย่างเย่อหยิ่งเต็มประดา “แต่อาหารจานนี้ข้ายังฝึกฝนไม่สำเร็จเลยนะ รอให้ข้าฝึกเสร็จก่อนค่อยว่ากันเถอะ ท่านอาจารย์ ท่านรีบชิมดู ที่ทำวันนี้กับที่ทำเมื่อวานมีอะไรแตกต่างกันหรือไม่? ท่านรีบชิมดูเร็วเข้า ข้าฝีมือก้าวหน้าบ้างหรือไม่!”
“อาหารจานหนึ่งทำมาครึ่งเดือนแล้วยังไม่รู้จักใส่เกลือสักนิด คุณหนูเยว่ หากทำเช่นนี้ก็ยากที่จะก้าวหน้าได้”
เฉินไฮว่ชิงยังไม่ทันได้เอ่ยคำเยินยอ ก็ถูกเหยียนเฟยชิงพูดตัดหน้าไปเสียก่อน โจมตีความมั่นใจของเยว่เยียนเยียนเข้าอย่างจัง
มือของเยว่เยียนเยียนที่ถือตะเกียบอยู่ค้างเติ่งกลางอากาศ ผ่านไปพักหนึ่ง นางก็ตบโต๊ะด้วยความโมโห “เ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ไม่ชอบใจว่าข้าทำอาหารไม่อร่อยสินะ! ฮึ!” เมื่อเยว่เยียนเยียนเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวเอาแต่ใจขึ้นมาไม่ว่าใครก็ขวางไม่อยู่ อย่าว่าแต่เหยียนเฟยเลย ต่อให้วันนี้เป็าา์มายืนอยู่ที่นี่บอกว่าเยว่เยียนเยียนทำอาหารไม่อร่อย นางก็กล้าขึ้นไปทะเลาะกับาา์บนโต๊ะได้ทันที
แน่นอนว่า การทะเลาะนั้นเป็เพียงแค่การประชันฝีปากกัน หากเป็การลงไม้ลงมือ เยว่เยียนเยียนย่อมต้องเสียเปรียบแน่นอน คนฉลาดหากรู้ว่าตัวเองจะเสียเปรียบ มีที่ไหนจะยังอ้าแขนรับอีกเล่า?
เมื่อเผชิญหน้ากับาอันตึงเครียดของเ้าตัวยุ่งทั้งสอง เฉินไฮว่ชิงก็แสดงท่าทีออกมา ข้าเหนื่อยจริงๆ เมื่อไรฮ่องเต้จะถอนราชโองการนั่นเสียที ให้เื่การแต่งงานของพวกเขาสองคนเป็โมฆะ แล้วให้พวกเขาแยกย้ายกันกลับบ้านไม่ได้หรืออย่างไร... หากยังก่อความวุ่ยวายเช่นนี้ต่อไป เฉินไฮว่ชิงแทบอยากจะซื้อห้องแถวในเขตตัวเมืองของเมืองหลวงพรุ่งนี้เลยจริงๆ แล้วตีความคำว่านักพรตแท้บำเพ็ญตนกลางนคร [1] เสียใหม่
สรุปว่าขอเพียงไม่ต้องบำเพ็ญตนอยู่กับพวกตัวยุ่งสองคนนี้ สำหรับเฉินไฮว่ชิงก็นับเป็การให้อภัยและปลอบโยนใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
“คือว่า... เยียนเยียนเอ๋ย เหยียนเฟยเขา...” เฉินไฮว่ชิงอย่างไรเสียก็ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง คงไม่อาจนั่งมองสองคนทะเลาะกันอยู่เฉยๆ โดยไม่สนใจได้หรอกไม่ใช่หรือ? อย่างน้อยก็ต้องเอ่ยเกลี้ยกล่อมบ้าง แต่ใครจะไปรู้ว่าคำพูดนั้นยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกเยว่เยียนเยียนตัดบทอย่างไร้ปรานี
“ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ท่านอาจารย์!” เยว่เยียนเยียนขมวดคิ้วเรียวเล็ก แล้วเอ่ยอีกครั้ง “ท่านจะบอกว่าเขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอกไม่ใช่หรือ? คำพูดนั้นท่านพูดซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งแล้ว ั้แ่ข้ามาที่นี่ก็เริ่มพูดั้แ่ข้าวมื้อแรก พูดมาจนถึงตอนนี้ อย่างน้อยๆ ก็สี่สิบกว่าครั้งแล้ว ท่านเป็คนพูดไม่เหนื่อย แต่ข้าฟังจนหน่ายแล้ว”
เ้าเด็กดวงกุดผู้นี้ ไม่เสียแรงที่ตนสอนสั่งมาจริงๆ เื่การคำนวณเองก็ชำนาญไม่เบาเลยทีเดียว? แต่เฉินไฮว่ชิงไม่มีเวลาจะมาภาคภูมิใจในตัวเองนัก เขาคิดที่จะเอ่ยอะไรอีกสองสามคำไม่นึกว่าครั้งนี้กลายเป็เหยียนเฟยที่ขี่ม้า
ออกศึก เอ่ยคำพูดหนึ่งตอกหน้าเฉินไฮว่ชิงเสียแทบหงาย “ก็นั่นน่ะสิ? พูดแต่ประโยคเดิมซ้ำๆ อยู่นั่นแหละ ท่านไม่กลัวคนอื่นรู้เข้าจะหัวเราะเยาะว่าอดีตยอดกวีแห่งเมืองหลวงฝีมือถดถอยลงหรืออย่างไร?”
...
เมื่อนั้นแม้แต่ตะเกียบในมือเฉินไฮว่ชิงก็ไม่อาจถือไว้มั่น เดิมคิดว่าพวกเขาสองคนมาเจอกันเพราะเป็คู่เวรคู่กรรมกัน แต่มาเห็นเช่นนี้ ดูเหมือนตนต่างหากที่เป็คู่เวรคู่อาฆาตและส่วนเกิน! เหตุใดไปๆ มาๆ ไฟไหม้ประตูเมืองเดือดร้อนถึงปลาในบ่อ? [2] เฉินไฮว่ชิงที่มองสถานการณ์ชัดเจนแล้วละทิ้งความเชื่อมั่นที่หลงเหลืออยู่ในใจไปสิ้นเชิง ก่อนก้มหน้าลงแสร้งเป็ใบ้เสียเลย ช่างปะไร!
“ท่านเองก็ด้วย คุณหนูใหญ่เยว่ ทำอาหารไม่เป็ก็หลีกทางไป ตาแก่เฉินไฮว่ชิงผู้นี้โสดสนิทมายี่สิบสามสิบปีแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทำแม้แต่ผักกาดต้มใส่เกลือไม่ได้ เหตุใดท่านจะต้องลงมือทำเองให้ลำบากกระเพาะของพวกเราด้วย?”
เหยียนเฟยเห็นเฉินไฮว่ชิงปิดปากเงียบ ก็พลันย้ายปากกระบอกปืนมาโจมตีเยว่เยียนเยียนเปรี้ยงปร้างไม่เหลือแม้แต่เศษซาก เยว่เยียนเยียนโกรธจนปากยื่น แทบจะแขวนกาน้ำเล็กๆ บนปากของนางได้อยู่แล้ว “เ้า… คนห่ามไร้เหตุผล! คนห่ามไร้เหตุผล!”
เยว่เยียนเยียนเกิดมาก็เป็คุณหนูใหญ่ผู้สืบทอดความรู้และประเพณีอันดีงาม จะคุ้นกับการต่อว่าเช่นนั้นของเหยียนเฟยได้อย่างไร? พูดแค่คำสองคำก็ทำให้เยว่เยียนเยียนพูดอะไรไม่ออกแล้ว ถึงขนาดลืมคำที่เตรียมเอาไว้ด่าอีกฝ่ายในหัวไปหมดสิ้น ผ่านไปครู่ใหญ่ก็แค่นออกมาได้เพียงคำว่าคนห่ามไร้เหตุผลเท่านั้น เหมือนเยวี่ยเจาหรานตอนที่เพิ่งเจอกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่มีผิด
“ได้ ข้าไร้เหตุผล ข้ามันคนห่าม ไม่เป็ไร เช่นนั้นท่านล่ะ แม่ครัวมรณะหรือ?”
ในเื่การด่าคน บังเอิญว่าเหยียนเฟยนั้นมีประสบการณ์มากเป็พิเศษ ถึงอย่างไรเขาก็ได้ลับฝีปากกับน้องสาวฝาแฝดมาั้แ่เด็กยันโต เดิมทีก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่แล้วนี่? เขากลอกตาทีหนึ่ง แล้วเอ่ยตอกกลับอย่างเ็า จบแล้วยังไม่ลืมเสริมไปอีกหนึ่งประโยค “ท่าทางของเ้าเช่นนี้ งี่เง่าไร้เหตุผลเสียยิ่งกว่าน้องสาวของข้าเสียอีก อย่างน้อยน้องสาวข้าหากทำอาหารไม่เป็ก็ยอมรับความจริงได้ ไม่ได้ทำเื่เดือดร้อนคนอื่นอยู่ทุกวี่ทุกวันเช่นนี้!”
“เ้า! เ้า! เ้า——!”
ความภาคภูมิในตัวเองของเยว่เยียนเยียนถูกโจมตีรุนแรงยิ่ง การโจมตีเช่นนี้อาจถึงตายได้เลยทีเดียว! และเยว่เยียนเยียนก็ถูกโจมตีจนเกินรับไหวแล้ว เพียงพริบตานางก็ตบโต๊ะ เอ่ยไปทางเหยียนเฟยอย่างจองหองมาดร้าย
“เ้า หากเทียบกับพี่ชายของข้าแล้ว ก็เป็ดั่งฟ้ากับเหว! แม้แต่เส้นผมสักเส้นของพี่ชายข้าก็ยังเทียบไม่ได้ ฮึ! คนห่าม! คนห่าม!”
ระหว่างการห้ำหั่นของทั้งสอง เฉินไฮว่ชิงเกิดการค้นพบที่น่าประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าตนจะฝืนกินผักกาดขาวต้มน้ำเปล่ากองใหญ่ ฝีมือของแม่ครัวมรณะเยว่เยียนเยียนลงไปได้หมด...
น่ายินดีปรีดา น่ายินดีปรีดาจริงๆ !
เชิงอรรถ
[1] นักพรตแท้บำเพ็ญตนกลางนคร (大隐隐于市) หมายถึงนักพรตที่แท้จริงบำเพ็ญตนได้โดยไม่สนสิ่งเร้ารอบข้าง
[2] ไฟไหม้ประตูเมืองเดือดร้อนถึงปลาในบ่อ (城门失火殃及池鱼) หมายถึงการมีส่วนพัวพันกับความเสียหายจากเื่ที่ตนไม่ได้ก่อ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้