พิสูจน์ได้แล้วว่า ความคิดของหมี่หลันเยว่ถึงจะดูล้ำยุคไปบ้าง และการกระทำก็อาจจะดูไร้เดียงสาไปหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับชัดเจนเกินคาด ทุกวันที่เธอและพี่ชายผลัดเวรกันอยู่ที่ร้านหนังสือเล็กๆ จะมีขนมอร่อยๆ วางไว้บนโต๊ะหน้าประตู ไม่ว่าจะเป็คุกกี้ ลูกอม หรืออะไรก็ตาม แต่แน่นอนว่าหมี่หลันเยว่เลือกแต่ของที่ห่อเล็กที่สุดเท่านั้น
"หลันเยว่ ขอแบ่งคุกกี้ถุงหนึ่งได้ไหม ฉันหิวแล้ว"
กลิ่นหอมของคุกกี้ที่หมี่หลันเยว่กับหมี่หลันหยางเคี้ยวอยู่ยั่วยวนจนเพื่อนร่วมชั้นบางคนทนไม่ไหว หลังจากอดกลั้นมานาน ในที่สุดก็มีคนเอ่ยปาก คนแรกที่พูดคือเฉียนหย่งจิ้น
"อ๋อ พี่หิวเหรอ เอาไปกินสักชิ้นสิ"
ถ้าแค่รู้สึกอยากกินขึ้นมา การให้ไปสักชิ้นก็ไม่ได้เสียหายอะไร ยิ่งกว่านั้นเขาก็สนิทกับพี่ชายของเธอด้วย แล้วในเมื่อไม่อยากให้การขายของดูโจ่งแจ้งเกินไป ก็ต้องมีฉากนำบ้าง
"ขอโทษนะ แต่ฉันหิวจริงๆ ให้มาชิ้นเดียวไม่พอหรอก ถ้าจะให้อิ่ม สงสัยต้องกินหมดถุงนั่นแหละ แต่ว่าเธอกับพี่ชายจะเหลืออะไรกิน"
เด็กคนนี้ไม่เห็นแก่ได้ หมี่หลันเยว่รู้ถึงนิสัยของเขาดี จึงอยากคบค้าสมาคมด้วย
"อืม คุกกี้ถุงละสองเหมาแปดเฟิน พี่มีเงินติดตัวไหม ถ้าไม่มี พรุ่งนี้ค่อยเอามาให้ก็ได้"
สำหรับเด็กๆ แล้ว หมี่หลันเยว่ก็ยังรู้สึกไม่กล้าที่จะทำธุรกิจด้วยเท่าไหร่ แต่ว่านี่เป็ก้าวแรกที่สำคัญ ต้องก้าวออกไปให้ได้ ไม่งั้นแผนการต่อไปของเธอก็จะไม่มีทางเป็จริง
"มีๆ ฉันเอาเงินมาด้วย นี่ให้สามเหมาเลย"
ไม่นึกเลยว่าในกระเป๋าของเ้าหนูนี่จะมีของดีจริงๆ หมี่หลันเยว่รีบทอนให้เขาสองเฟิน แต่เขากลับไม่รับ "ฝากไว้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะมาขออ่านการ์ตูนอีกสองเล่ม"
"ก็ได้ งั้นฉันฝากเงินไว้ให้ก่อน แล้วจะจดไว้ให้ พอมาเอาตอนหลัง ฉันจะขีดออกให้ แต่ว่าในฐานะที่พี่เป็คนแรกที่ซื้อของจากพวกเรา ฉันแถมลูกอมให้เม็ดหนึ่งนะ"
หมี่หลันเยว่เปิดถุงลูกอมผลไม้ที่วางอยู่ข้างๆ หยิบออกมาเม็ดหนึ่ง ยื่นให้เฉียนหย่งจิ้น
ถ้าเด็กคนไหนช่างสังเกต ก็จะจับใจความได้จากคำพูดของหมี่หลันเยว่ ว่าของพวกนี้ขายได้จริงๆ ใครอยากได้ก็มาซื้อได้นะ นี่มันหนูน้อยหมวกแดงปะทะหมาป่าชัดๆ หมี่หลันเยว่ให้กำลังใจตัวเองอย่างขบขัน ‘คุณยายหมาป่า สู้ๆ’
"ขอบคุณน้องสาวมากเลย งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ"
พอรับลูกอมไป เฉียนหย่งจิ้นก็ดีใจ รีบแกะกระดาษห่อแล้วโยนเข้าปาก ลูกอมแบบนี้เขาเคยเห็นในร้านค้า ขายเม็ดละหนึ่งเฟิน ไม่ถูกเลย
พอกลิ่นลูกอมในปากของเฉียนหย่งจิ้นลอยไปเตะจมูกของเด็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ หลายคนก็เริ่มนั่งไม่ติด ขยับตัวอย่างเบามือมาอยู่หน้าโต๊ะของหมี่หลันเยว่
"หลันเยว่ ขายลูกอมให้ฉันสองเม็ดได้ไหม"
พอเห็นหมี่หลันเยว่เงยหน้ามองตัวเอง แววตาดูไม่แน่ใจ เด็กชายคนนี้ก็คิดว่าหมี่หลันเยว่อาจจะไม่รู้ราคาลูกอม ไม่รู้ว่าจะขายยังไง เพราะท่าทางที่หมี่หลันเยว่วางไว้มันชัดเจนมาก ของกินพวกนี้ตั้งใจจะเก็บไว้กินเอง
เขาจึงกระซิบกระซาบปรึกษาหมี่หลันเยว่
"ฉันรู้ว่าลูกอมแบบนี้ในร้านขายเม็ดละหนึ่งเฟิน แต่ตอนนี้ฉันออกไปซื้อไม่ได้ จะแบ่งให้ฉันก่อนสองเม็ดได้ไหม ยังไงเธอก็มีเยอะแยะ ไม่ทำให้เธออดกินหรอก"
ได้ยินเ้าหนูช่วยหาข้ออ้างให้เสร็จสรรพ หมี่หลันเยว่ก็ยิ่งไม่ลังเลใจ ขายลูกอมให้เขาสองเม็ดอย่างใจกว้าง ผลปรากฏว่าเด็กๆ ที่อยากซื้อของมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องหาข้ออ้างว่าหิวอะไรอีกแล้ว แค่อยากกิน ก็ถือเงินมาซื้อที่โต๊ะของหมี่หลันเยว่ได้เลย
เด็กบางคนมีเงินติดตัวไม่มาก ก็รวมเงินกันซื้อสองสามคน แล้วแบ่งกันกิน แต่ใน่เวลานี้ หมี่หลันเยว่เน้นย้ำกับเด็กๆ หลายครั้งมาก ว่าห้ามนำเงินที่บ้านมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพ่อแม่เด็ดขาด
ถ้าใครโดนผู้ปกครองตามมาเอาเื่ พวกเขาก็จะไม่ให้เข้าร้านหนังสืออีกต่อไป จะไม่มีสิทธิ์เข้ามา นั่นหมายความว่าคนคนนั้นจะกลายเป็คนที่อยู่ในบัญชีดำของ ‘ร้านหนังสือริมทาง’ และจะไม่มีโอกาสได้มาอ่านหนังสือหรือคบเพื่อนที่นี่อีก
บทลงโทษนี้รุนแรงมาก ‘ร้านหนังสือริมทาง’ ของบ้านหมี่ไม่ได้เป็แค่ที่อ่านการ์ตูนสำหรับพวกเขาอีกต่อไป แต่ยังเป็ที่ที่พวกเขาได้คบเพื่อนที่ดี และบรรยากาศที่นี่ก็ดีมาก ผู้ปกครองหลายคนหลังจากรู้ว่าลูกมาเล่นที่นี่ ก็ทยอยกันมาสำรวจ และสุดท้ายก็พึงพอใจกลับไป
แม้แต่ผู้ปกครองบางคน พอเห็นหนังสือในร้านหนังสือ ก็ชอบใจจนวางไม่ลง กลายเป็ลูกค้าประจำอีกกลุ่มของร้านหนังสือ ตอนนี้ผู้ใหญ่ที่มาอ่านหนังสือใน ‘ร้านหนังสือริมทาง’ ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่จะเช่าหนังสือกลับไปอ่านที่บ้าน พออ่านจบแล้วค่อยเอามาเปลี่ยนเล่มใหม่ที่ร้านหนังสือ
ผู้ใหญ่ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่นี่เหมือนเด็กๆ นั้นมีน้อยมาก ถ้ามีก็เพื่อมานั่งเป็เพื่อนลูก แต่พอมีผู้ใหญ่พวกนี้แล้ว ขนมของหมี่หลันเยว่กลับขายดีมากขึ้นไปอีก ผู้ใหญ่มีเงินติดกระเป๋าอยู่บ้าง จะปล่อยให้ลูกตัวเองมองคนอื่นกินได้ยังไง
ขนมบนโต๊ะขายได้ราบรื่นพอสมควร แถมยอดขายยังเพิ่มขึ้นทุกวัน ตอนนี้จึงได้แบ่งพื้นที่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ จัดวางขนมพวกนี้ต่างหาก ขนมที่เอามาขายก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กๆ ในบ้านใกล้เรือนเคียงก็รู้กันหมดแล้วว่าในร้านหนังสือมีขนมขาย
อยากกินเมื่อไหร่ก็มาซื้อที่ร้านหนังสือได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปซื้อที่ร้านขายของชำที่อยู่ไกลแสนไกล สะดวกสบายจริงๆ แถมพอมาหลายครั้งเข้า ก็พบว่าที่นี่ยังขายอุปกรณ์การเรียนของนักเรียนด้วย ไม่ว่าจะเป็สมุดเล่มเล็ก ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด เวลาที่้าใช้ด่วน ที่นี่ก็สะดวกกว่าการไปร้านค้าแน่นอน
การหาซื้อของพวกนี้เข้ามา ก็ทำให้หมี่หลันเยว่ต้องออกแรงไปไม่น้อย ขนมเป็ของที่หมี่หลันเยว่พาพี่ชายไปซื้อคืนมาในปริมาณน้อยจากบริษัทการค้า [1] บริษัทการค้าในสมัยนี้ยังเป็ของรัฐทั้งหมด แม้แต่ร้านค้าเล็กๆ ใกล้บ้านก็ยังเป็ของส่วนรวม
ดังนั้นจึงไม่มีแผนกค้าส่งให้เห็นทั่วไปเหมือนในยุคหลังๆ แต่หมี่หลันเยว่รู้ว่าสินค้าจำพวกขนมพวกนี้มาจากบริษัทการค้า เธอต้องไปซื้อของที่บริษัทการค้า ถึงจะได้ราคาที่ถูกลง แต่จะให้ซื้อของจากร้านค้ากลับมาแล้วขายในราคาเดิมก็คงไม่ไหว
ซื้อมาในราคาเดียวกัน แล้วขายออกไปในราคาเดียวกัน มันไม่คุ้มที่จะเสียแรงเปล่า ของในสมัยนี้ ราคาในตลาดเป็ราคาเดียวกันหมด ไม่มีใครโง่พอที่จะมาจ่ายเงินเพิ่มให้เธอ ดังนั้นก็ต้องคิดหาทาง บริษัทการค้าคือทางออกเดียว เพื่อที่จะซื้อของจากบริษัทการค้าได้ หมี่หลันเยว่ก็ต้องใช้สมองพอสมควร
เธอเริ่มจากการหาเพื่อนร่วมชั้นที่มีแม่ทำงานอยู่ที่นั่น ติดสินบนเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็เดินเข้าไปในบริษัทการค้าอย่างสบายใจ ไปหาคุณป้าที่เพื่อนร่วมชั้นส่งข่าวให้ แต่ตัวเองยังไม่เคยเจอ เพื่อซื้อของ ดูเหมือนจะเป็เื่ยาก แต่จริงๆ แล้วมันง่ายมาก ไม่ได้ไปเอาเปล่าๆ นี่นา จ่ายเงินสด แลกเปลี่ยนสินค้า มันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากมาย
พอมีครั้งแรกก็มีครั้งที่สอง หมี่หลันเยว่ก็คุ้นเคยกับพวกลุงๆ ป้าๆ ในบริษัทการค้าอย่างรวดเร็ว พอไปซื้อของอีกครั้งก็ไม่ยากแล้ว เพราะหมี่หลันเยว่อายุน้อย ไม่มีใครคิดว่าเธอจะเอาของพวกนี้ไปทำอะไร แถมสินค้าที่เอามาก็ไม่ได้อยู่ในแผนกเดียวกัน ต่างคนต่างไม่รู้ว่าหมี่หลันเยว่เอาสินค้าไปเท่าไหร่ แค่คิดว่าที่บ้านเธอมีคนเยอะ ใช้เยอะ อีกอย่างหนูน้อยหมี่หลันเยว่ก็ปากหวาน ขยันขันแข็ง พวกเขาเลยคิดว่า ทางบ้านคงวางใจให้เธอมาแทน
ส่วนอุปกรณ์การเรียนก็ง่ายกว่านั้นอีก แต่ละเมืองเพื่อการดำเนินงานของร้านค้า จะจัดตั้งสถานีค้าส่งระดับสูงขึ้นไป นั่นก็คือสถานีค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ด เพียงแค่มีเงินสดติดตัว ก็สามารถไปซื้อของได้ทันที ไม่ต้องใช้ตราประทับและชื่อร้าน หมี่หลันเยว่ก็เจาะช่องโหว่นี้ ไปซื้อเครื่องเขียนมาเยอะแยะ
สมุดการบ้าน สมุดแบบฝึกหัด และอื่นๆ ไปซื้อส่งจากโรงพิมพ์ แต่ละเล่มได้กำไรหนึ่งเฟิน อย่าเพิ่งคิดว่าหนึ่งเฟินมันน้อย เพราะในเวลานี้ สมุดการบ้านเล่มหนึ่งขายแค่สองเฟิน สามเฟิน กำไรขนาดนี้ถือว่าเยอะมากแล้ว หมี่หลันเยว่พอใจมาก
เพื่อไม่ให้พ่อแม่เข้ามาแทรกแซงเื่นี้ เงินทุนทั้งหมดเธอและพี่ชายเอามาจากเงินส่วนตัวของตัวเอง พอเห็นเงินในสมุดบัญชีลดลงไปเยอะขนาดนั้น เธอเจ็บใจจริงๆ แต่ว่าเงินหายไปเร็ว เงินกลับมาก็เร็วเหมือนกัน ไม่กี่เดือน เงินในบัญชีของหลันเยว่และพี่ชายก็กลับมาอย่างรวดเร็ว แถมยังมีเพิ่มขึ้นอีกเยอะแยะ
"ไม่นึกเลยว่าเื่นี้ลูกจะทำสำเร็จจริงๆ"
หวังหย่วนฉิงถือสมุดบัญชีของลูกสาว มองดูตัวเลขข้างในอย่างเหม่อลอย รายได้นี้มากกว่าร้านเช่าหนังสือเสียอีก สองพี่น้องคู่นี้ ตอนนี้มีรายได้ต่อเดือนเกินร้อยแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลย
"ไม่ต้องสนใจเงินของลูกๆ หรอก จะทำอะไรก็มีความเสี่ยงทั้งนั้น ตอนแรกเธอก็ไม่กล้าแบกรับความเสี่ยง ตอนนี้มีกำไรแล้ว เราก็ไม่ควรจะหน้าด้านไปขอแบ่งนะ ลูกๆ จะคิดยังไง ขนาดเงินทุน ลูกๆ ก็ออกกันเองนะ"
หวังหย่วนฉิงค้อนสามี "คุณคิดเล็กคิดน้อยเกินไปแล้ว ฉันจะใจแคบขนาดนั้นเลยเหรอ แม้แต่ผลประโยชน์ของลูกๆ ก็ปล่อยวางไม่ได้? ขนาดนั้นเลย? ฉันว่าเป็คุณต่างหากที่ใจเต้นแล้ว"
โดนภรรยาตอกกลับมา หมี่จิ้งเฉิงก็แค่หัวเราะแหะๆ เขารู้ว่าภรรยาแค่ล้อเล่น
"ก็ถือว่าเป็ธุรกิจของลูกๆ แล้วกัน ยังไงซะ ก็ไม่ได้เสียการเรียนนี่ ปล่อยให้พวกเขาทำไปเถอะ"
ไม่ปล่อยให้พวกเขาทำแล้วจะทำยังไง สองคนนี้เป็คนฉลาดเกินคน ไม่อยู่ในขอบเขตการปกครองของพวกเขาเลย
"แม่คะ ร้านขายขนมในร้านหนังสือของบ้านเรา ตอนนี้ก็เป็รูปเป็ร่างแล้ว ดูเหมือนจะดีขึ้นแล้วนะคะ แล้วนี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ข้ามปีแล้วด้วย ไม่เห็นมีอะไรไม่เหมาะสมเลย งั้นหนูขอให้ที่บ้านกลับมาจัดการเื่นี้ต่อนะคะ แม่เพิ่มของใช้ทั่วไปเข้าไปด้วย ทำเป็ร้านค้าเล็กๆ กันดีกว่า"
สองสามีภรรยาเพิ่งพูดถึงเื่นี้เมื่อตอนกลางวัน ไม่นึกว่าลูกสาวจะมาคุยกับตัวเองเื่นี้ในตอนเย็น พอได้ยินว่าลูกสาวจะมอบส่วนของขนมคืนให้ นั่นก็คือจะไม่ยึดรายได้ส่วนนี้ไว้อีกต่อไปแล้ว หวังหย่วนฉิงและหมี่จิ้งเฉิงก็ต้องชื่นชมในความมีน้ำใจของลูกสาวตัวเองอย่างมาก ใครมีตาก็มองเห็น นี่เป็ผลประโยชน์ที่มากมายขนาดไหน
"ลูกไม่เสียดายจริงๆ เหรอ นี่เป็ผลงานที่ลูกกับพี่ชายพยายามทำมานะ แม้แต่เงินทุนพวกเราก็ไม่ได้ช่วยเลย"
"ของพวกเราก็คือของที่บ้านอยู่แล้วนี่คะ ตอนแรกที่หนูบอกว่าไม่ต้องให้พวกแม่จัดการ ก็แค่กลัวว่าจะมีเื่ยุ่งยากตามมา ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรยุ่งยากแล้ว ก็ต้องให้พวกแม่ดูแลถึงจะดี พวกแม่ต่างหากที่เป็เ้าบ้าน"
ในมือรับบัญชีรายรับรายจ่ายและรายละเอียดช่องทางการซื้อของที่ลูกสาวส่งมาให้ มองดูว่าบ้านกำลังก้าวหน้าไปอีกขั้น
เชิงอรรถ
[1] บริษัทการค้า หมายถึงหน่วยงานรัฐที่ดูแลด้านการจำหน่ายปลีกสินค้าให้ประชาชนใน่ยุค 60 - 80 เช่น ของกินของใช้ประจำวัน