ขบวนรถจอดที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมทดลอง เ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลงมาจากรถด้านหลัง แล้วควบคุมทางเข้าโรงเรียนอย่างแ่า
เมื่อผ่านเส้นทางเล็กๆ ซูอินที่รีบวิ่งมาก็ถูกกันตัวไว้
“ลุงตำรวจคะ หนูมาเรียนค่ะ”
ขณะที่พนักงานรักษาความปลอดภัยยกมือให้สัญญาณ ซูอินก็รีบหยุดทันทีพร้อมเอ่ยอย่างจนใจ
ชุมชนที่ตระกูลหลิงอยู่นั้นห่างจากโรงเรียนมัธยมทดลองราวๆ หนึ่งกิโลเมตร ถือเป็ระยะทางที่ไม่ไกลมาก แต่่นี้เธอทำงานที่ร้านชานม ซึ่งดูเหมือนเป็งานสบาย แต่กลับเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายทุกส่วนเป็อย่างดี ตลอดทางที่วิ่งมา เธอไม่มีท่าทีหอบเลยสักนิด มีเพียงใบหน้าที่แดงระเรื่อและเหงื่อออกเล็กน้อย
ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า เด็กสาวหุ่นเพรียว ใบหน้าเล็กๆ ที่มีสีแดงระเรื่อน่าหยิก เข้ากันกับดวงตาโตสดใส ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนร้าย
เ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งทำหน้าที่ปิดถนนได้รับการฝึกฝนมา มองออกว่าเด็กสาวไม่ได้โกหก สาวน้อยที่ไม่เป็พิษเป็ภัย อีกทั้งหน้าตาสะสวย เขาจึงไม่ได้ไล่ออกไปตามกฎระเบียบ
และยังพูดอธิบายอย่างใจเย็น “ที่นี่กำลังถูกควบคุมอย่างเข้มงวด รอให้จัดการเื่ต่างๆ ให้เสร็จก่อนค่อยมาอีกครั้งจะดีกว่า”
เ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่มีท่าทีผิดปกติ แต่แสดงออกมาด้วยวิธีที่อ่อนโยน
เป็ความอ่อนโยนที่ยืดเวลาของซูอินออกไปอีก
การเข้าตรวจสอบในครั้งนี้นำทีมโดยโจวโฮ่วเซิง เลขาธิการผู้อำนวยการกองการศึกษาจากมณฑล D
ทว่ามีหลายคนไม่รู้จักตัวเขาอีกด้านหนึ่ง หลายสิบปีก่อนเขาเคยเป็เลขาลับของคุณท่านตระกูลฉิน ทำงานในท้องถิ่นอยู่หลายปี มุ่งมั่นกับการออกกำลังกายมาตลอด ถึงแม้อายุจะเกินห้าสิบปีแล้ว แต่ร่างกายไม่แก่ลงตามวัยเลย เมื่อดูแผ่นหลังของเขาก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีที่เพิ่งจะเกณฑ์ทหาร
ในความเป็จริงสมรรถภาพของเขาอ่อนกว่าอายุจริงมาก เมื่อลงจากรถเขาก็เห็นการเคลื่อนไหวอยู่ตรงปากทางเข้าโรงเรียน
“เกิดอะไรขึ้น” เขาเดินเข้ามาดู
ผู้ทำหน้าที่นำหน้ารถหรูระดับไฮเอนด์นิ่งไปชั่วขณะ ครูใหญ่หลี่สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างที่หลังรถ แม้ว่าเขาจะเห็นใบหน้านั้นผ่านกระจก แต่ก็จำได้ดีว่าท่านผู้นี้เคยทำหน้าที่เป็ผู้นำ ด้วยจากการเห็นหน้าบ่อยบนเวทีต่างๆ ของมณฑล
ถึงแม้จะมีการแจ้งอย่างกะทันหันว่าท่านเลขาธิการผู้อำนวยการกองจะเดินทางมาด้วยตนเอง แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าผู้ที่เดินทางมาจะมีตำแหน่งใหญ่มากที่สุดเช่นนี้
หากสามารถได้รับการชื่นชมจากท่านผู้นี้ได้…
การหายใจของครูใหญ่หลี่เริ่มเร็วขึ้น เขามองผ่านกระจกหน้าต่างด้วยใบหน้าเยิ้มจากการตากแดดมานานครึ่งชั่วโมง จ้องคนผู้นั้นแทบจะไม่กะพริบตา
ในทางกลับกัน หลี่อวี้จือรู้สึกร้อนใจมาก เธอจำเลขาธิการผู้อำนวยการกองท่านนี้ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่ลืมด้วยว่าเครื่องสำอางบนหน้าของตนเองกำลังไหลเยิ้ม
ทำอย่างไรดี เธอร้อนใจจนเหมือนกับมดบนกระทะร้อน[1]
ป๋าที่กระตือรือร้นและสาวน้อยที่ร้อนใจมองไปทางโจวโฮ่วเซิง ก่อนจะตามสายตาของเขาไป ขณะนั้นเองเธอก็เห็นซูอินซึ่งถูกเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขวางอยู่
“หลิงอิน!”
ศัตรูตัวฉกาจในรอบสิบปี ในใจรู้สึกโกรธจนทำให้หลี่อวี้จือะโออกไปโดยไม่รู้ตัว
เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นชื่อเด็กคนนี้นัก สีหน้าของโจวโฮ่วเซิงเกิดความสงสัย ก่อนที่เขาจะพลันคิดออก นี่คงเป็เด็กสาวที่ตระกูลฉินไหว้วานให้เขามาตรวจสอบอย่างแน่นอน
โรงพยาบาลที่เสี่ยวหรุยรักษาตัว ก็เป็เขานี่แหละที่โทรศัพท์มาที่เมืองผิงให้จัดการ
เมื่อเขาได้รู้ต้นสายปลายเหตุก็สบายใจขึ้นมาก เขามองสาวน้อยคนนั้น อดไม่ได้ที่จะใส่ฟิลเตอร์เข้าไป ใบหน้าเล็กๆ ที่แต่งแต้มด้วยสีแดงดอกกุหลาบ ช่างดูเหมือนดวงอาทิตย์ตอนแปดหรือเก้าโมง ทำให้ชายชราอย่างเขามองแล้วรู้สึกสบายตาจริงๆ
โดยเฉพาะดวงตาสดใสคู่นั้น ในชีวิตโจวโฮ่วเซิงเห็นคนมานับไม่ถ้วน โดยทั่วไปแล้วเขาสามารถมองคนออกโดยใช้แค่สายตา เด็กสาวผู้มีดวงตาเช่นนี้ จะต้องเป็คนไม่เลวอย่างแน่นอน
แค่พบหน้า โจวโฮ่วเซิงก็มีความประทับใจที่ดีต่อซูอิน และกล่าวออกไปอย่างใจดีว่า
“แม่หนู มาเรียนสายหรือ”
ซูอินมองชายวัยกลางคนร่างสูงเบื้องหน้า ใบหน้าที่ไม่มีใครเทียบได้ของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในหัว ทั้งที่ไม่ได้คล้ายกันแม้แต่น้อย แต่เธอกลับคิดว่าทั้งคู่ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างเหมือนกันมาก
ความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นทำให้เธอก้มหน้าด้วยท่าทีละอาย “นอนหลับเพลินค่ะ”
มือสองข้างประสานกัน ก่อนที่เธอจะอธิบาย “แต่หนูมีเหตุผลค่ะ เมื่อคืนร้านที่หนูทำงานอยู่ค่อนข้างยุ่งมาก จนสี่ทุ่มถึงจะปิดร้าน”
เป็การดีที่ตัวเธอสำรวจตัวเองก่อน จากนั้นจึงได้ให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผล และไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ ดีที่โจวโฮ่วเซิงคอยจับตาดู
ทำงาน?
“เธอชื่ออะไร”
คำถามนี้เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ซูอินรู้สึกสับสน แต่ในใจเธอเชื่อว่าตำแหน่งของอีกฝ่ายจะต้องไม่ธรรมดา จึงตอบไปอย่างว่าง่าย “ซูอินค่ะ ซูที่มาจากซูตง อินที่มาจากอินเยวี่ยค่ะ”
“เมื่อกี้ฉันได้ยินคุณครูเรียกเธอว่า หลิงอิน”
“นั่นเป็ชื่อของฉันก่อนหน้านี้ค่ะ ที่บ้านเกิดเื่ หนูไม่ใช่ลูกในสายเืของสามีภรรยาคู่นั้น จึงเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของพ่อแม่ที่ให้กำเนิด ที่คุณครูเรียกแบบนั้นคงเพราะความเคยชินค่ะ”
เื่ที่ตระกูลหลิงอุ้มลูกมาผิดคนสร้างความโกลาหลอย่างมาก หากอยากรู้ให้ลองไปสอบถามใครสักคนก็จะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ซูอินจึงบอกโดยไม่ปิดบัง
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้…
โจวโฮ่วเซิงนึกถึงข้อมูลที่ได้จากฉินหล่าง การเงินของตระกูลหลิงสามารถติดอันดับหนึ่งในสิบของเขตเมืองผิง หากเป็บุตรสาวคนเดียวของพวกเขา อีกไม่นานจะถึง่สอบขึ้นชั้นมัธยมปลาย เธอจะออกไปทำงานใน่เวลาที่สำคัญนี้ได้อย่างไร
เื่นี้ไม่สมเหตุสมผลเลย
แต่เมื่อมีคำอธิบายจากเด็กสาวคนนี้ เขาก็พอจะคาดเดาเื่ราวทั้งหมดได้ไม่ยาก
มือใหญ่ล้วงกระเป๋ากางเกง ในนั้นมีใบแจ้งหนี้หนึ่งใบ นอกจากใบแจ้งหนี้ก็มีจดหมายที่ฉินหล่างเขียนด้วยมือตัวเองหนึ่งฉบับ หลังจากได้รับเมื่อวานนี้ ตัวเขารู้สึกสับสนมาก แต่ในตอนนี้เข้าใจมากขึ้นแล้ว
จะต้องเกิดเื่น่าขายหน้าอย่างแน่นอน
เขายกมือจับหน้าผาก รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก…
แต่ในขณะนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือจัดการกับปัญหาที่ถูกเขียนส่งมาทางจดหมาย เขาตั้งสติอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปมองสาวน้อยตรงหน้าอีกครั้ง
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร มาสายก็ต้องถูกทำโทษ”
เหตุผลนี้ก็เป็เื่จริง ซูอินก้มหน้าด้วยท่าทีที่รอฟังคำสั่งสอน
เป็เด็กที่น่ารักจริงๆ…โจวโฮ่วเซิงมีบุตรชายหลายคน ทุกคนต่างมีหลานให้เขาแล้ว แต่ไม่มีหลานสาวสักคน เมื่อได้เห็นเด็กสาวหน้าตาดีอีกทั้งยังว่านอนสอนง่าย ก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน
แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญยิ่งกว่า คือเด็กสาวคนนี้ช่วยเหลือหลานชายของท่านประธานไว้ แค่ในส่วนนี้โจวโฮ่วเซิงก็ควรไว้หน้าเธอ
“ฉันคิดว่า…การลงโทษนั่นก็คือช่วยพาฉันเยี่ยมชมโรงเรียนนี้”
นี่คือการลงโทษหรือ
ซูอินเงยหน้าด้วยความใ หางตาของเธอเห็นการแสดงออกที่ประหลาดใจอย่างมากของครูใหญ่หลี่และหลี่อวี้จือ โดยเฉพาะหลี่อวี้จือที่ตอนนี้แต่งหน้าอย่างกับผี
เมื่อได้เห็นแววตาเช่นนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มมุมปาก ดวงตาเป็ประกายระยิบระยับ
---------------------------------------------------------------------------
[1] มดบนกระทะร้อน เป็การเปรียบเปรยอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว นั่งไม่ติด