ศิษย์สายในอีกสี่คนที่สามารถต้านทานแปดฝ่ามือพิฆาตได้ ต่างก็พากันยืนนิ่งอยู่กับที่ และมองไปยังซากศพที่ล้มลงกองกับพื้นเงียบๆ
เยว่หยาง เป็ศิษย์สายในอันดับที่ 77 หรือพูดได้ว่าในบรรดาพวกเขาทั้งห้าคน เยว่หยางนั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่ตอนนี้เขากลับถูกสังหารอย่างง่ายดาย ถ้าเปลี่ยนเป็พวกเขาล่ะก็ คงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเทียบกับพวกเขา หลินเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก เพราะสามารถต้านทานการโจมตีของพวกเขาได้
เมื่อขบคิดเื่ที่เกิดขึ้น ในสายตาของพวกเขานั้นไม่มีแม้แต่ความประมาท เมื่อจ้องมองไปยังหลินเฟิง ขณะนั้นบรรยากาศรอบๆ ได้มีสายลมพัดผ่านเบาๆ จึงทำให้พวกเขารู้สึกเย็นะเื
“เมื่อพวกเ้าเหยียบย่ำชีวิตของผู้อื่น ก็น่าจะเตรียมใจไว้บ้างว่าจะถูกคนที่แข็งแกร่งกว่าเหยียบย่ำชีวิตของเ้าบ้าง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็สิ่งพวกเ้าที่เลือกเอง”
สิ้นเสียงของหลินเฟิง เขาก็เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง พร้อมกับคลื่นดาบอันแข็งแกร่งที่แพร่กระจายไปทั่วอากาศ
เม็ดเหงื่อพลันผุดขึ้นที่หน้าผากของทั้งสี่ เมื่อเห็นหลินเฟิงเดินเข้ามาพร้อมดาบ พวกเขารู้สึกได้ว่า คลื่นดาบของหลินเฟิงนั้นทรงพลังเป็อย่างมาก หรือว่าหลินเฟิงจะเป็นักดาบยอดฝีมือ?
ท่ามกลางอากาศที่ไร้รูปร่าง ดูเหมือนว่ากลิ่นอายของดาบกำลังส่งเสียงคำรามอยู่ แต่ละก้าวของหลินเฟิงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดาบที่ทั้งทรงพลัง แข็งแกร่งและหมายจะเอาชีวิตให้ได้
“ปล่อยให้เป็แบบนี้ต่อไปไม่ได้ คลื่นดาบนั่นทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ แต่ลมปราณของพวกเรากลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ รอต่อไปคงต้องตายแน่ๆ”
ทั้งสี่คนหันมาสบตากัน ก่อนจะตัดสินใจลงมือโจมตีหลินเฟิงพร้อมกัน
“ตายซะ”
หลินเฟิงพูดเสียงต่ำก่อนจะปลดปล่อยอำนาจของดาบที่ทรงพลังเพื่อกดดันฝ่ายตรงข้าม และในขณะเดียวกันเขาก็ขยับมืออย่างรวดเร็ว จนเกิดประกายแสงสว่างเรืองรองขึ้นมาในอากาศ
เืสองสายสาดกระเซ็นไปทั่วอากาศ เพียงแค่กวัดแกว่งดาบปลิดิญญาก็สามารถคร่าชีวิตได้อย่างง่ายดาย
ร่างของสหายทั้งสองคนร่วงลงไปกับพื้น ส่วนอีกสองคนที่เหลือจงใจชะลอความเร็วในการโจมตีเมื่อครู่ ทำให้สามารถหลบการโจมตีของหลินเฟิงเมื่อกี้ได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งสองคนจึงรอดมาได้
พวกเขาถึงกับทรยศสหายเพื่อเอาตัวรอด
ทุกคนรู้สึกถึงหัวใจของตัวเองที่กำลังสั่นสะท้าน โดยเฉพาะเหล่าศิษย์สายใน ทำไม… ทำไมหลินเฟิงถึงทรงพลังได้ขนาดนี้ เขาเป็เพียงแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 เท่านั้น แต่เขากลับเอาชนะผู้ที่มีรายชื่ออยู่บนผนังหินได้ ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“นั่นมันเคล็ดวิชาดาบมรณะ เคล็ดวิชาดาบมรณะเป็เคล็ดวิชาระดับลี้ลับ ท่าที่หนึ่งคือ ดาบปลิดิญญา ถ้าหากสามารถเข้าใจกระบวนท่านี้ได้ จะทำให้พลังโจมตีของดาบเพิ่มขึ้นหลายเท่า”
หลายคนต่างรู้จักเพลงดาบของหลินเฟิงดี แต่ไหนแต่ไรมาทุกคนล้วนคิดว่าเคล็ดวิชาดาบมรณะเป็ทักษะที่ไร้ประโยชน์ ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาดาบมรณะจะแข็งแกร่งและเป็เคล็ดวิชาลี้ลับระดับสูง แต่มีข้อกำหนดที่สูงมาก และแนวทางการฝึกก็ยากมาก ดังนั้นจึงมีคนสนใจฝึกเคล็ดวิชานี้น้อยมาก
แต่หลินเฟิงกลับสามารถใช้ดาบปลิดิญญา ที่เป็ท่าแรกของเคล็ดวิชาดาบมรณะได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“หนี!!!”
ศิษย์ที่เหลืออีกสองคนคิดในใจ ตอนนี้พวกเขาหมดกำลังใจจะสู้และเลือกที่จะหันหลังวิ่งลงจากลานประลอง
“ตาย”
ั์ตาของหลินเฟิงฉายแววเย็นะเื ดาบปลิดิญญาเปล่งประกายขึ้นอีกครั้งและฟันกลางอากาศ พริบตาเดียวร่างทั้งสองก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นทันที
ตอนนี้ศิษย์สายในทั้งห้าคนที่มีรายชื่ออยู่บนผนังหินได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง!
“เคล็ดวิชาดาบมรณะ แข็งแกร่งและทรงพลังเป็อย่างยิ่ง”
ศิษย์สายนอกหลายคนแม้กระทั่งศิษย์สายในมองไปที่หลินเฟิงอย่างบ้าคลั่ง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าถามและดูิ่เหวินเริ่นเหยียน พร์ของหลินเฟิงนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเหวินเริ่นเหยียนเลยสักนิด เพียงแต่ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงในตอนนี้ยังอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย หากให้เวลาหลินเฟิงอีกนิด เชื่อว่าเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าเหวินเริ่นเหยียนอย่างแน่นอน
ดวงตาอันงดงามของหลิ่วเฟยเบิกกว้างเพราะใ เ้าบ้านี่ ฆ่าศิษย์สายในทั้งห้าคน อีกทั้งยังเป็ศิษย์สายในอันดับที่ 81 ขึ้นไป?
“ดูเหมือนว่าความหวังที่ข้าจะแก้แค้นเขานั้น ช่างเลือนรางยิ่งนัก”
หลิ่วเฟยคิดในใจ ตัวนางเองนั้นยัง้าเพิ่มความแข็งแกร่งและมอบความพ่ายแพ้ให้กับเ้าบ้านี่ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าพร์ของเ้าบ้านี่จะแข็งแกร่งกว่านาง ดูเหมือนว่าการแก้แค้นนี้จะไม่มีความหวังแล้ว แต่ในใจของหลิ่วเฟยกลับไม่ได้รู้สึกสูญเสียขนาดนั้น
ส่วนหนานกงหลิงที่อยู่ตรงอัฒจันทร์กำลังยิ้ม
“เ้าเด็กนี่ถึงกับสังหารศิษย์สายในที่โดดเด่นถึง 5 คน ช่างไร้ศีลธรรมจริงๆ”
“ท่านประมุข แม้พร์ของเด็กคนนี้จะไม่เลว แต่เขาก็สังหารศิษย์ร่วมนิกายเดียวกัน เขาอาจกลายเป็ความหายนะของนิกายก็ได้นะขอรับ”
ม่อเสียขยับไปข้างๆ หนานกงหลิง และกระซิบตรงหูของหนานกงหลิงด้วยโทนเสียงต่ำ
หนานกงหลิงเหลือบมองม่อเสีย ในใจของเขารู้สึกผิดหวังและกล่าวว่า “ตอนที่เหวินเริ่นเหยียนและศิษย์ทั้งห้าคนนั้น ฆ่าศิษย์ร่วมนิกายเดียวกันทำไมเ้าถึงไม่พูด?”
“ท่านประมุข เอาหลินเฟิงไปเทียบกับเหวินเริ่นเหยียนได้อย่างไร?” ม่อเสียเถียงข้างๆ คูๆ
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” หนานกงหลิงขัดจังหวะที่ม่อเสียกำลังพูด ม่อเสียได้แต่ถอยร่น ความรู้สึกอยากฆ่าหลินเฟิงนับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้น หากปล่อยให้เด็กคนนี้มีชีวิตรอดต่อไปจะต้องเป็หายนะสำหรับเขาในอนาคตแน่ๆ
“หลินเฟิง”
หนานกงหลิงจ้องมองหลินเฟิงที่กำลังยืนอยู่บนลานประลองเป็ตาย พร้อมรอยยิ้ม
“ท่านประมุข”
หลินเฟิงหันหลังกลับ และแสดงความเคารพต่อหนานกงหลิง
“เ้าได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของเ้าแล้ว เ้าสามารถเข้าร่วมการจัดอันดับในครั้งนี้ได้ แต่ก่อนเข้าร่วมเ้าต้องทำสิ่งหนึ่งก่อน” พลันตรงมุมปากของหนานกงหลินปรากฏรอยยิ้ม ยิ่งมองหลินเฟิงก็ยิ่งพึงพอใจ เด็กคนนี้ไม่เพียงมีความแข็งแกร่งและพร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หยิ่งยโส อีกทั้งยังเป็เด็กที่มองการณ์ไกลอีกด้วย ในใจก็เกิดความรู้สึกประทับใจอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
อย่างที่หลินเฟิงได้กล่าวไว้ ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญา นับว่าเป็ตัวตนที่อ่อนแอในทวีปเก้า์อันกว้างใหญ่
ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของหลินเฟิง เขาจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
“อะไรหรือขอรับ?” หลินเฟิงถาม
“สวมเครื่องแบบศิษย์สายในของเ้าซะ”
หนานกงหลิงตอบพร้อมกับหัวเราะ หลินเฟิงมีพร์เช่นนี้แต่กลับสวมใส่เครื่องแบบศิษย์สายนอกต่อหน้าต้วนเทียนหลางและท่านประมุขนิกายคนอื่นๆ ได้อย่างไร
“ฮ่าๆๆ” หลินเฟิงหัวเราะขณะส่ายหน้า จากนั้นก็กล่าวกับหนานกงหลิงว่า “ข้ามิอาจสวมใส่เครื่องแบบศิษย์สายในได้ และข้าก็มิอาจเข้าร่วมการจัดอันดับของศิษย์สายในได้ ที่ข้ามายืนอยู่บนลานประลองเป็ตาย ก็เพียงเพื่อบอกกล่าวกับคนเหล่านี้ว่า สิ่งที่พวกเขาทำนั้นมันโง่เขลาแค่ไหน”
“หืม?” หนานกงหลิงขมวดคิ้วอย่างรู้สึกงงงวย และถามว่า “ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนี้?”
“ท่านประมุข ศิษย์สายนอกนั้น คำว่า ‘นอก’ มีความหมายว่ายังไม่ถือว่าเป็คนของนิกายอย่างแท้จริง และสามารถถอนตัวออกจากนิกายได้ใช่หรือไม่?”
คำพูดของหลินเฟิงทำให้หนานกงหลิงขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย แต่กลับพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่แล้ว”
“ท่านประมุข โปรดยกโทษให้ข้าที่ถือวิสาสะ ข้า หลินเฟิง หลังจากวันนี้ไป ขอถอนตัวออกจากนิกายหยุนไห่”
คำพูดของหลินเฟิงทำให้ใครหลายคนต่างรู้สึกใ ว่าหลินเฟิงจะออกจากนิกายหยุนไห่?
เขาล้อเล่นหรือเปล่า? หลินเฟิงยืนอย่างสง่างามอยู่บนลานประลองเป็ตาย ประหนึ่งขุนศึกผู้ห้าวหาญ ทั้งยังได้รับความสำคัญจากท่านประมุข แต่ในเวลานี้เขาได้กล่าวเื่ที่ไม่คาดฝันขึ้นมาว่า เขา้าออกจากนิกายหยุนไห่ เื่นี้ทำให้ฝูงชนต่างประหลาดใจ
ทุกคน้าคำอธิบายว่า ทำไมหลินเฟิงถึงได้ทำเช่นนี้
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งดังขึ้น ต้วนเทียนหลางปรายตามองหนานกงหลิงด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ง่ายนะที่จะได้เห็นศิษย์ที่มีพร์ของนิกายหยุนไห่ แต่เขากลับ้าถอนตัวออก ช่างน่าขันยิ่งนัก”
“หลินเฟิงใช่ไหม? ถ้าเ้ายินยอม เ้าก็สามารถเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้ เ้าจะได้รับการเลี้ยงดูเป็อย่างดี”
“หลินเฟิง ข้าเป็ผู้นำของหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน ถึงแม้ว่าข้าจะรับแต่จิติญญาน้ำแข็ง ถ้าหากเ้ายินยอมก็สามารถเข้าหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานได้ และได้กลายเป็ศิษย์หลักทันที”
“และนิกายเฮ่าเยว่ของข้า ถ้าหากเ้าเข้าร่วม ข้าก็จะเลี้ยงดูเ้าเป็อย่างดี”
ท่านประมุขหลายๆ คนต่างเชิญชวนหลินเฟิงให้เข้าร่วมนิกายของตัวเอง แต่คำพูดของพวกเขา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหล่าศิษย์ของนิกายหยุนไห่ถึงรู้สึกอิจฉาตาร้อน นี่มันช่างน่าอับอายเป็อย่างมาก
“แล้วข้าจะเก็บไปพิจารณา” หลินเฟิงยิ้มให้กับท่านประมุขหลายๆ ท่าน
“เดรัจฉาน! ท่านประมุข ทำไมถึงไม่ฆ่าเด็กคนนี้ ศักดิ์ศรีของนิกายหยุนไห่ได้ขายหน้าก็เพราะมัน!” ม่อเสียกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว แต่หลินเฟิงในตอนนี้กลับรนหาที่ตายให้ตัวเองเสียจริง
“หุบปาก” หนานกงหลิงกล่าวอย่างเ็า จึงทำให้ม่อเสียใ หลังจากที่เขาเห็นสีหน้าของหนานกงหลิงที่เย็นะเื ก็ถึงกับทำให้เขาสั่นเทาในทันที
“หลินเฟิง เมื่อสามวันก่อนข้าให้เ้ากลายเป็ศิษย์สายใน ในเวลานี้เ้ากลับเรียกตัวเองว่าเป็ศิษย์สายนอก และยังขอถอนตัวออกจากนิกาย เ้ามีเหตุผลอะไรถึงได้ทรยศนิกายเช่นนี้?”
หนานกงหลิงนั้นพยายามทำให้ตัวเองสงบนิ่ง มันไม่ง่ายเลยที่นิกายจะมีอัจฉริยะมาปรากฏ หรือว่าจะถูกคู่แข่งแย่งชิงไป?
“ทรยศนิกาย? ท่านประมุข คำว่า ‘ทรยศ’ คำนี้ ท่านใช้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก ข้านั้นไม่เคยทรยศนิกาย แต่เป็นิกายต่างหากที่ได้ทอดทิ้งข้า นิกายหยุนไห่นั้นไม่ใช่สถานที่ที่ข้าจะยืนหยัดอยู่ได้”
“ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนี้?” หนานกงหลิงถามอย่างสงสัย
“ก่อนอื่น หลินเฟิง้าถามไม่กี่คำถามแก่ท่านประมุขได้หรือไม่?”
“ได้สิ”
“ท่านประมุข ในฐานะที่เป็ศิษย์สายนอก ไม่เคยมีใครอบรมสั่งสอน การฝึกฝน ล้วนต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมดใช่หรือไม่?” หลินเฟิงกล่าวถาม
“ใช่” หนานกงหลิงพยักหน้า เป็ความจริง… ถึงแม้ว่าจะเป็ศิษย์สายในแต่ก็มีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับการสั่งสอนหรือชี้แนะ
“ท่านประมุข ในฐานะศิษย์สายนอกสามารถเข้าไปยังชั้นแรกของหอซิงเฉินเพื่อเลือกเคล็ดวิชาและทักษะ ซึ่งเคล็ดวิชาและทักษะเหล่านี้ล้วนเป็ระดับเหลือง ใช่หรือไม่?”
“ใช่” หนานกงหลิงพยักหน้าอีกครั้ง
“ถ้าเป็เช่นนั้น ข้าหลินเฟิงก็สามารถพูดได้ว่าการบ่มเพาะของข้าในตอนนี้ ความสำเร็จของข้าในวันนี้ ทั้งหมดล้วนเป็ความพยายามของข้าเอง ไม่เกี่ยวข้องกับนิกาย พูดได้ว่านิกายนั้นแทบไม่ได้ทำอะไรเลยใช่หรือไม่?”
เมื่อหลินเฟิงเริ่มถามคำถาม สีหน้าของหนานกงหลิงดูซีดเซียว และคนอื่นๆ ของนิกายหยุนไห่ จู่ๆ ก็มีความรู้สึกแปลกๆ แวบเข้ามาในใจ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของหลินเฟิง เพราะที่หลินเฟิงพูดมาล้วนเป็เื่จริงทั้งหมด
เมื่อเป็เช่นนี้หนานกงหลิงจึงได้แต่พยักหน้า และกล่าวว่า “เ้าพูดถูก สำหรับเ้าแล้วนิกายแทบจะไม่มีความหมาย แต่อย่างไรเสียเ้าก็เป็ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ เพราะไม่มีความหมายก็เลยจะถอนตัวออกจากนิกาย ดูเหมือนว่าเป็การบังคับให้มาอยู่นิกายหยุนไห่ แต่ถ้าหากเ้าออกจากนิกายนี้เพื่อผลประโยชน์ นั่นก็หมายความว่าเ้านั้นเนรคุณต่อนิกาย”
“ท่านประมุข ได้โปรดฟังข้าพูดให้จบก่อน”
“พูดสิ” หนานกงหลิงกล่าว
“ครั้งแรกที่ข้ากับท่านประมุขพบเจอกันคือลานประลองเป็ตาย วันนั้นข้ายังไม่โด่งดังเป็แค่คนธรรมดา และคุณชายต้าเผิงแห่งนิกายเฮ่าเยว่ กับหลินเชียนแห่งนิกายหยุนไห่ต่างก็้าตัวข้า เพราะข้าเป็แค่ศิษย์สายนอก ส่วนผู้าุโม่อเสียได้ทำข้อตกลงกับอีกฝ่าย โดยมอบข้าให้กับอีกฝ่าย แต่ท่านประมุขไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยถึง ถ้าหากไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ปริศนามาช่วยไว้ ข้าหลินเฟิงอาจจะไม่ได้มายืนอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่?”
“วันนั้นเป็ความผิดของข้าเอง” หนานกงหลิงกล่าวอย่างซื่อสัตย์และยอมรับผิดต่อหลินเฟิง จึงทำให้หลายๆ คนรู้สึกประทับใจเล็กน้อย
จิตใจของหนานกงหลิงนั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาลเป็อย่างมาก
“ท่านประมุข เมื่อตอนที่เกิดคลื่นสัตว์อสูรขึ้น ข้าได้เดินทางไปที่หุบเขาเฮยเฟิงเพื่อฆ่าสัตว์อสูร แต่ผู้าุโม่อเสีย ข้าแค่ถามคำถามกับเขาเื่ความแค้นที่อยู่ในใจ ส่วนข้านั้นเป็แค่ศิษย์สายนอก มิหนำซ้ำเขายังได้ส่งข้าไปเป็อาหารให้แก่สัตว์อสูร แต่โชคดีที่ข้ารอดชีวิตมาได้ เื่นี้หลายๆ คนทราบกันดี และข้าเชื่อว่าท่านประมุขก็ต้องทราบ แต่ม่อเสียก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีแม้แต่การลงโทษ เพราะข้านั้นเป็ศิษย์สายนอกที่อ่อนแอจึงไม่ได้จัดการเื่นี้ใช่หรือไม่?”
เมื่อหนานกงหลิงได้ยินหลินเฟิงพูดถึงเื่นี้จึงไร้คำพูดทันที นี่เป็ครั้งที่สองที่หนานกงหลิงเป็หนี้บุญคุณหลินเฟิง ถ้าหลินเฟิงไม่โชคดี เขาคงตายคามือม่อเสียไปแล้วก็ได้
เมื่อคิดเกี่ยวกับเื่นี้ หนานกงหลิงจึงจ้องเขม็งไปที่ม่อเสีย หลินเฟิง้าออกจากนิกายหยุนไห่ และดูเหมือนม่อเสียจะปฏิเสธความรับผิดชอบใดๆ
“เื่นี้ก็เป็ความผิดของข้าเหมือนกัน” หนานกงหลิงยังคงยอมรับผิด “แต่หลินเฟิงเ้าอาจจะรู้ เพราะเื่นี้ทำให้ผู้าุโเป่ยโกรธเกรี้ยวมาก จึงไปโจมตีผู้าุโม่อเสีย แม้กระทั่งเกือบจะฆ่าม่อเสีย ผู้าุโเป่ยนั้นโปรดปรานเ้าเป็อย่างมาก ข้าคิดว่า ผู้าุโเป่ยคงไม่อยากเห็นเ้าออกไปจากนิกายหยุนไห่”
