“นี่เป็อาการที่แม่นางน้อยผู้นั้นเพิ่งจะพูดเมื่อครู่มิใช่หรือ”
เด็กฝึกงานยืนอ้าปากค้างอยู่ข้างเถ้าแก่ เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของเ้านายก็หุบปากเงียบทันที คอยสังเกตสีหน้าเขาอย่างระมัดระวัง
“มัวแต่อึ้งอะไรกันอยู่ รีบไป รีบไปเชิญคนกลับมา”
เถ้าแก่ปาดเหงื่อบนหน้าผาก พลางสั่งการอย่างรีบร้อน
ดูท่านางจะเป็ผู้รู้จริง ดังนั้นเื่นี้ไม่อาจสบประมาท มิเช่นนั้นคงไม่อาจรักษาชื่อเสียงดีงามที่เพียรสั่งสมมาหลายปีไว้ได้แล้ว
“อ้า... ขอรับ ขอรับ ขอรับ”
เด็กฝึกงานรีบพยักหน้า แล้วหมุนตัววิ่งออกไปข้างนอก
“ท่านหมอหลิว ท่านรีบคิดหาหนทางเร็วเข้าสิ” บุตรชายของผู้ป่วยเร่งเร้าด้วยความร้อนใจ
“อย่าใจร้อน อย่าใจร้อน” สีหน้าของเถ้าแก่ลนลานกระสับกระส่าย แต่ก็รีบปลอบอีกฝ่าย
“นี่มันคำพูดประสาอะไร วันนี้หากเกิดอะไรขึ้นกับบิดาข้า พวกเ้าไม่ว่าใครก็อย่าหวังจะอยู่เป็สุข พวกเราพี่น้องจะรื้อป้ายหุยชุนถังของเ้าเสีย”
ชายผู้นั้นยื่นมือใหญ่เข้ามาฉวยสาบเสื้อด้านหน้าของเถ้าแก่แล้วจับยกลอยขึ้นจากพื้น กำลังวังชาของเขามากเสียจนน่าทึ่ง
จะว่าไปก็จริง ชีวิตคนผู้หนึ่งยังฝากอยู่ที่นั่น ทั้งยังเป็บิดาของเ้าตัว เขาจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร เวลานี้จึงไม่มีความเกรงใจอีกต่อไป
เถ้าแก่ย่อมเกิดความหวาดกลัว หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ลอบด่าเด็กฝึกงานว่าเหตุใดไม่พาคนกลับมาเสียที ทันใดนั้นน้ำเสียงอ่อนเยาว์ของสตรีก็ดังกังวานมาจากด้านหลัง
“หยุดนะ”
ิเป่าจูรีบเข้ามา เด็กฝึกงานที่ออกไปตามหาเดินตามอยู่ด้านหลัง กระบุงสะพายหลังเปลี่ยนไปอยู่ในมือของเขาแทน
ิเป่าจูเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็เข้าไปห้ามปรามทันที
คนไข้กำลังอยู่ในอันตราย แต่ทางนี้กลับมีเวลาทะเลาะวิวาทกัน
“เอ่อ... แม่หนู...” เถ้าแก่เห็นคนกลับมา ก็เอ่ยปากคิดจะกล่าวบางอย่าง แต่เมื่อถ้อยคำมาถึงริมฝีปากกลับอึกอักพูดไม่ออก
ท้ายที่สุดแล้ว คนที่ขับไสไล่ส่งผู้อื่นออกไปอย่างโหดร้ายคือเขา คนที่เชิญคนกลับมาก็เป็เขาอีก
คนสองสามคนอยู่ด้านข้างก็มองมา แววตามีความกังขา ไม่เชื่อถือ แต่ก็ไร้หนทางอื่น ใครให้แม่นางน้อยผู้นี้บอกอาการของโรคได้อย่างแม่นยำเองเล่า แม้แต่ท่านหมอหลิวก็ยังดูไม่ออก
“เ้าสามารถบอกอาการของโรคได้ถูกต้อง ก็น่าจะรู้ว่านี่คือโรคอะไร และรักษาอย่างไรกระมัง” เถ้าแก่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน
ิเป่าจูกลับไม่พูดอะไร และไม่สนใจอย่างอื่น นางเดินไปดูอาการของคนไข้
คนผู้นี้มีคราบโลหิตสีดำที่มุมปาก ลิ้นบวมจนคับปากแทบจะแลบออกมาอยู่รอมร่อ แขนขาทั้งสี่แข็งทื่อ แววตาเลื่อนลอย ดูท่าจะยุ่งแล้วจริงๆ
“เข็มเงิน” ิเป่าจูออกคำสั่งโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
ชั่วพริบตานั้น นางรู้สึกเหมือนได้กลับมาอยู่หน้าโต๊ะผ่าตัดในห้องตรวจ น้ำเสียงเหมือนตอนขอคีมผ่าตัด กับกรรไกรตัดไหมไม่มีผิด
การวางตัวสุขุมเป็ผู้ใหญ่เกินอายุของนางทำให้คนที่รายล้อมอยู่โดยรอบต่างมองนางราวกับเห็นผี
รออยู่นานก็ไม่มีความเคลื่อนไหว
ิเป่าจูเป็ห่วงคนไข้ ไม่สนใจไยดีพวกเขา หลังกวาดตามองปราดหนึ่ง ก็พบห่อเข็มเงินวางอยู่ไม่ไกลมือของตนเอง จึงยื่นมือไปดึงมาหนึ่งเล่ม แต่ข้อมือกลับถูกคนกดไว้
นางช้อนตาขึ้นมอง เป็เถ้าแก่
“เ้ามีวิธีจริงหรือ นี่ไม่ใช่ของเด็กเล่น”
ถึงแม้ว่านางมองทีเดียวก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้เป็ลมชัก แต่มิได้พิสูจน์ว่านางรู้วิชาแพทย์
เมื่อมองไปรอบด้าน คนอื่นๆ ต่างก็มีสายตาคลางแคลงสงสัยเหมือนกันหมด
“แม่หนูน้อย เ้า... มีความมั่นใจจริงหรือ”
บุตรชายของคนไข้ร้อนใจจนตาแดงแล้ว เขากลัวว่าบิดาของตนเองจะมีอันเป็ไปที่นี่ แต่เขาเป็บุตรกตัญญูอย่างแท้จริง
“หากไม่ฝังเข็ม ก็จะหมดหนทางช่วยชีวิตได้แล้วจริงๆ”
ิเป่าจูชักมือที่ถูกควบคุมไว้ออกมา ท่าทางจริงจังไม่เหมือนล้อเล่น
น้ำเสียงที่กล่าวก็สงบนิ่งเป็ที่สุด แม้ไม่มีใครเชื่อ แต่นางก็อยากลองพยายามให้ถึงที่สุดก่อน อย่างไรเสียนี่ก็เกี่ยวพันถึงชีวิตคน ลมหายใจของคนไข้ก็แ่จางลงไปมากแล้ว
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา ก็ไม่มีใครกล้าขัดขวางอีก
และในเวลาเดียวกันนี้ คนไข้ก็อาเจียนออกมาเป็โลหิตสีดำอีกครั้ง
“ท่านพ่อ” บุตรชายของคนไข้สูดหายใจลึก แล้วเปล่งเสียงออกมาราวกับตัดสินใจได้แล้ว “ได้! ให้เ้ารักษา”
สาวน้อยคนนี้ไม่น่าจะพูดเท็จ คนจะตายอยู่รอมร่อ ไยเขาต้องสนใจอะไรมากมาย
รักษาม้าตายดุจม้าเป็ [1] เขาไม่อาจเสียบิดาไปเช่นนี้
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ิเป่าจูถึงลงมือฝังเข็ม เมื่อเข็มฝังลงไปตามตำแหน่ง ใช้ปลายนิ้วบิดเบาๆ คนไข้ก็ไอออกมาทันที
มีการตอบสนองจริงๆ
ดวงตาของชายร่างใหญ่ฉายแววประหลาดใจแกมยินดี และไม่อยากเชื่อ เห็นสีหน้าของสาวน้อยกำลังใช้สมาธิ จึงไม่กล้ารบกวน เสียงร้องอุทานที่มาถึงริมฝีปากจึงถูกกลืนกลับลงไป
เมื่อเห็นนางลงมืออย่างคล่องแคล่ว เถ้าแก่ก็รู้สึกเหลือเชื่อ
เขามองเสื้อผ้าที่เก่าขาดซอมซ่อทั้งตัวนาง ก็พบว่ามันเล็กกว่าตัวถึงสองขนาด เห็นได้ชัดว่าเป็เด็กที่มีฐานะครอบครัวยากจน แล้วจะมีวิชาฝังเข็มที่เยี่ยมยอดเช่นนี้ได้อย่างไร
เถ้าแก่ไม่รู้ว่าการฝังเข็มเป็เพียงมุมหนึ่งของูเาน้ำแข็งในทักษะการแพทย์ของิเป่าจูเท่านั้น อีกไม่นานนางก็จะเปล่งประกายเจิดจรัสในเส้นทางนี้
ปฏิกิริยาตอบสนองของคนไข้เมื่อครู่อยู่ได้เพียงครู่เดียว ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก
เวลาล่วงเลยมานานเกินไป ิเป่าจูกลัวว่าคนผู้นั้นจะทนไม่ไหว จึงเลือกจุดฝังเข็มที่สามารถช่วยยื้อชีวิตเขาไว้ก่อน ส่วนอื่นๆ ก็ต้องค่อยเป็ค่อยไป
เวลาผ่านไปทีละน้อย
รอบด้านเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง ทุกคนต่างมีสีหน้าหนักใจ หายใจแรงก็ยังไม่กล้า ด้วยเกรงว่าจะพลั้งเผลอทำให้ดรุณีน้อยใจนเสียสมาธิ ทำให้การฝังเข็มผิดพลาด
จนกระทั่งเข็มทั้งหมดถูกใช้หมดแล้ว ิเป่าจูถึงหยุดมือ นางพรูลมหายใจออกมาทางปาก ไม่ง่ายเลยจริงๆ
บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพรายบางๆ หนึ่งชั้น แต่ิเป่าจูยังไม่หยุดแค่นี้
นางมองไปที่โกร่งบดยาบนโต๊ะหน้าตู้ยา แล้วหยิบโลหิตหงส์ออกมาจากกระบุงสะพายหลังที่อยู่ในมือของเด็กฝึกงาน ก่อนบดอย่างคล่องแคล่วจนกระทั่งกลายเป็น้ำ จากนั้นก็ให้คนไข้ดื่มเข้าไป
“ไปต้มยาตี้หวง [2] มา” ิเป่าจูออกคำสั่ง
เด็กฝึกงานไม่ขยับเขยื้อน ยังจมอยู่ในภวังค์การทำงานที่คล่องแคล่วดุจเมฆเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหลของิเป่าจู จนกระทั่งรั้งสติกลับมาได้ก็มองเถ้าแก่อย่างระมัดระวัง
“รีบไป” เถ้าแก่ถลึงตาใส่ เวลานี้แล้วจะมองเขาไปทำไม
เด็กฝึกงานได้ยินเช่นนั้น ถึงวิ่งไปห้องยาด้านหลังเพื่อต้มยา
ยาตี้หวงเป็ตำรับยาธรรมดาทั่วไป เป็ยาที่ช่วยบำรุงอินและขจัดความร้อน ใช้รักษาโรคที่เกิดจากสภาวะพร่องธาตุอินทำให้เกิดความร้อนภายในร่างกาย ตอนที่เขามาฝากตัวเป็ศิษย์ที่หุยชุนถัง ก็เรียนรู้ตำรับยานี้เป็อย่างแรก
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าตำรับยาที่แสนจะธรรมดาเช่นนี้จะสามารถรักษาโรคที่อยู่เบื้องหน้าได้
แท้จริงแล้วสิ่งที่เขาใคร่รู้ก็คือโรคนี้เรียบง่ายนักหรือ เหตุไฉนเถ้าแก่ถึงไม่รู้เล่า
อย่าว่าแต่เด็กฝึกงาน เถ้าแก่เองก็ยังประหลาดใจ โรคที่ซับซ้อนยากต่อการวินิจฉัยเช่นนี้ แม้แต่เขาที่เป็หมอพเนจรในยุทธภพมาสิบปียังดูไม่ออก เด็กสาวคนนี้ถึงกับกล้าใช้ยาตี้หวง
คนอื่นๆ ไม่รู้หลักโอสถ มองสายสนกลในไม่ออก ถึงปล่อยให้แม่นางน้อยคนหนึ่งฝังเข็ม นับประสาอะไรกับแค่ยาต้มหม้อเดียว ย่อมไม่มีข้อกังขา
ิเป่าจูมองออกว่าั์ตาของเถ้าแก่มีคำถามที่สงสัย แต่กลับไม่อธิบาย และไม่จำเป็ต้องอธิบาย
แม้ยาตี้หวงจะธรรมดาแต่ฤทธิ์ยาก็ตรงกับโรคพอดี เมื่อประสานกับโลหิตหงส์ กล่าวได้ว่าเป็การผสมผสานสมุนไพรที่สามารถขจัดต้นตอของโรคได้อย่างดีเยี่ยม
เด็กฝึกงานนับว่าชำนาญในการต้มยาตี้หวง ไม่ช้าก็ยกน้ำแกงยาออกมา
“ประคองเขาขึ้นมานั่ง” ิเป่าจูรับถ้วยยามา เป่าไปก็พูดไป
ชายร่างใหญ่วางมือรองหลังคนไข้แล้วยกตัวเขาขึ้นมา ก่อนนั่งลงที่ขอบเตียง ดูสาวน้อยป้อนยาเข้าปากบิดาเขาทีละช้อน
น้ำแกงยาเห็นก้นชามอย่างรวดเร็ว ิเป่าจูเช็ดคราบโลหิตดำที่กำลังจะแห้งกรังรอบปากของผู้ป่วยอย่างพิถีพิถัน
“หลังดื่มยานี้แล้ว อีกหนึ่งเค่อ [3] ก็น่าจะฟื้นแล้วล่ะ”
เชิงอรรถ
[1] รักษาม้าตายดุจม้าเป็ เป็การเปรียบกับเื่ที่มีความหวังเลือนราง แต่ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ มักใช้ในความหมายของความพยายามครั้งสุดท้าย
[2] ยาตี้หวง เป็ชื่อตำรับยาจีน มีสรรพคุณขจัดความร้อน ล้างสารพิษ ทำให้เืเย็นลง สลายการแข็งตัวของเื
[3] เค่อ คือ หน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ เท่ากับ 15 นาที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้