หลังจากส่งสองแม่ลูกลงสู่ขุมนรก บ้านเช่าหลังเก่าที่เคยเป็ภาระก็หมดความหมายลงโดยสิ้นเชิงไม่จำเป็ต้องจ่ายค่าเช่าอีกต่อไปเพราะเ้าของบ้านได้ตายจากไปแล้วยิ่งไปกว่านั้น ใน่เวลานี้เสวียนหนิงกลับมีเงินทองไม่ขาดมือ ทรัพย์สินเ่าั้ล้วนมาจากอันเหนียงสำหรับคนตาย…เงินทองไม่มีค่าใดหลงเหลือแต่สำหรับนาง มันก็เป็เพียง ค่าทำขวัญเล็กน้อย เพื่อชดเชยในสิ่งที่อีกฝ่ายเคยคิดจะพรากไปจากนางอย่างโหดร้าย
ยามเช้าในบ้านไม้หลังเดิมกลับดูแตกต่างจากวันวานโดยสิ้นเชิงกลิ่นอาหารอุ่น ๆ ลอยคลุ้งไปทั่วเรือน เสวียนหนิงยืนอยู่หน้าเตา มือจัดการอาหารเช้าด้วยท่าทีคล่องแคล่วราวกับคุ้นเคยกับชีวิตเช่นนี้มานาน
ม่อหรานนั่งอยู่ไม่ไกล สายตาของเขาจับจ้องไปยังแผ่นหลังของหญิงคนรักอย่างเงียบงันก่อนจะค่อย ๆ สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงรอบตัวของใช้ในเรือนเพิ่มขึ้น อาหารแห้งถูกจัดเก็บอย่างเป็ระเบียบข้าวสารเต็มไห น้ำมัน เครื่องปรุง ทุกอย่างพร้อมสรรพมากพอ…จนไม่ต้องกังวลถึงมื้อถัดไปอีกต่อไปความเงียบทอดยาวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ม่อหรานจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแ่ต่ำ
“เสวียนหนิง…การตายของท่านป้าเ้ามีส่วนเกี่ยวข้อง…ใช่หรือไม่”
มิใช่คำถามที่เต็มไปด้วยความระแวงหากเป็ความห่วงใยที่เขาไม่อาจปิดบังเสวียนหนิงชะงักมือเพียงครู่เดียว ก่อนจะหันกลับมามองเขาดวงตานั้นนิ่งสงบ ไม่หลบเลี่ยง ไม่หวั่นไหว
“ใช่เ้าค่ะ” นางตอบอย่างตรงไปตรงมา “ทั้งหมดนี้…เป็ฝีมือน้องเอง” นางเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ท่านพี่…ไว้ใจน้องหรือไม่” เสวียนหนิงไม่คิดจะหลอกลวงสามีเพียงแต่ด้านมืดของตน นางไม่อยากให้เขาต้องแบกรับไปด้วย
ม่อหรานนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะยกยิ้มอ่อนแววตานั้นไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีความลังเลมีเพียงความอบอุ่นและความเชื่อใจอย่างบริสุทธิ์
“เ้าดูแลข้าดีถึงเพียงนี้” เขากล่าวช้า ๆ “มีหรือที่ข้าจะไม่ไว้ใจเ้า”
เขาหยุดเล็กน้อย น้ำเสียงแ่ลงราวกับกลัวนางจะเ็ป “ข้าเพียงเป็ห่วง…กลัวว่าเ้าจะตกอยู่ในอันตราย”
เสวียนหนิงยิ้มบางเป็รอยยิ้มที่อ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมานางหันกลับไปทำอาหารต่อ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างมั่นคง
“ท่านพี่ไม่ต้องกังวลนะเ้าค่ะน้องจะไม่มีวันทำสิ่งใดเกินตัวเป็อันขาด”
ควันอุ่นจากเตาลอยขึ้นช้า ๆแสงยามเช้าสาดผ่านหน้าต่างไม้เก่าของบ้านหลังเล็กแม้ที่นี่จะเคยผ่านค่ำคืนอันมืดมนมาแล้วแต่ในยามนี้…กลับอบอวลด้วยความสงบความสงบที่ไม่เคยมีมาก่อน
เวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งเดือน
กระทั่งวันหนึ่ง คาราวานรถม้ากลุ่มหนึ่งเคลื่อนเข้าสู่หมู่บ้านชิงเหอเสียงล้อบดกับพื้นดินดึงดูดสายตาชาวบ้านโดยรอบผู้นำขบวนมีสีหน้าเคร่งเครียด แฝงความขุ่นเคืองไม่สบอารมณ์ชายผู้นั้นมีนามว่า จ้าวเฮยถู เ้าของหอคณิกาแห่งหนึ่งในเมืองหลวง
“มันเกิดอะไรขึ้นกับยายแก่นั่นกันแน่!” เสียงเขาห้วนต่ำ เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เวลาผ่านมาตั้งหลายวันแล้วเหตุใดไม่ส่งเด็กสาวมาให้ข้าเสียที!”
แม้หมู่บ้านชิงเหอจะตั้งอยู่หน้าประตูเมืองหลวงแต่หญิงสาวจากที่นี่กลับมีผิวพรรณงดงามเป็พิเศษไม่ต่างจาก สินค้าชั้นดี สำหรับย่านโคมแดงที่ผ่านมา อันเหนียงเคยหลอกเด็กสาวจากหมู่บ้านนี้ไปขายให้เขานับครั้งไม่ถ้วนและใน่หลัง แขกในหอคณิกาเริ่มเบื่อหน่ายใบหน้าเดิม ๆ จ้าวเฮยถูย่อมต้องตอบสนองความ้าของลูกค้าไม่เช่นนั้น…เงินทองย่อมร่อยหรอ
เขากวาดสายตามองไปรอบหมู่บ้านอย่างไม่สบอารมณ์แต่แล้ว…สายตาก็หยุดชะงักหัวใจของเขากระตุกวูบร่างกายสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัวบ้านของยายแก่ผู้เป็แหล่งส่งสินค้า ให้เขามาโดยตลอดบัดนี้…เหลือเพียงซากเถ้าถ่านดำไหม้
ไม่มีร่องรอยของชีวิตมีเพียงกลิ่นไหม้จาง ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในอากาศ
“นี่มัน…” เสียงของจ้าวเฮยถูแ่ลงอย่างไม่เคยเป็มาก่อน “เกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
ชายผู้นี้ติดต่อค้าขายกับอันเหนียงมานานปีเขาไม่มีวันเชื่อโดยเด็ดขาดว่าสตรีผู้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความเ้าแผนการจะจบชีวิตลงง่าย ๆ เพียงเพราะทะเลเพลิงยิ่งคิด…ยิ่งไม่สมเหตุสมผลจ้าวเฮยถูจึงไม่รอช้าสั่งให้ลูกน้องกระจายกำลังออกไปสืบในทันทีว่าใครคือคนสุดท้ายที่อยู่กับครอบครัวของอันเหนียงไม่นาน รายงานก็ถูกส่งกลับมา
“นางชื่อ…เสวียนหนิงเป็หญิงสาวที่อาศัยอยู่กับสามีที่หมดสภาพ”
จ้าวเฮยถูหรี่ตาลง สีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยไม่ว่าจะฟังประวัติอย่างไรหญิงผู้นี้ก็เป็เพียงชาวบ้านธรรมดาไร้พลัง ไร้เื้ั ไร้สิ่งใดน่าสงสัยแต่…นั่นแหละกลับเป็สิ่งที่ทำให้เขาไม่สบายใจที่สุด
เพราะหากอันเหนียงตายและทุกอย่างเชื่อมโยงมาหยุดอยู่ที่หญิงสาวผู้นี้เพียงผู้เดียวก็ย่อมหมายความว่ามีบางสิ่งถูกซ่อนไว้อย่างแเีเกินไปไม่ว่าความจริงจะเป็เช่นไรเขาก็อยากจะพบหน้านางด้วยตนเองสักครั้งจ้าวเฮยถูใช้คนในหมู่บ้านนำทางมุ่งหน้าไปยังเรือนของเสวียนหนิงเพียงแรกเห็น…เขาก็ชะงักงัน
หญิงสาวกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านแสงแดดยามสายตกกระทบเรือนผมและผิวพรรณของนางอย่างพอเหมาะความงดงามนั้นไม่ฉูดฉาดหากแต่สงบ นุ่มนวล และดึงสายตาโดยไม่รู้ตัวงดงาม…จนจ้าวเฮยถูเผลอหยุดมอง
ทว่า ยังไม่ทันที่เขาจะได้เก็บรายละเอียดความงามนั้นให้ถี่ถ้วนสายตาของเขาก็หดวูบลงในฉับพลันเพราะด้านข้างของนางมีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นเพียงเห็นใบหน้านั้นหัวใจของจ้าวเฮยถูก็ร่วงวูบเหงื่อเย็นซึมขึ้นตามขมับ
“แม่ทัพ…ม่อหราน…” เขาพึมพำเสียงแ่ “เป็เขาจริง ๆ ข้าจำไม่ผิดแน่…”
ม่อหรานในอดีต ชื่อนี้เปรียบเสมือนขุนศึกคู่แผ่นดินแม้อายุยังน้อย หากผลงานในสนามรบกลับยิ่งใหญ่จนยากจะมีผู้ใดเทียบเขาได้รับตำแหน่งพระราชทานเป็ถึง แม่ทัพ ขุนนางกังฉินในราชสำนักเพียงได้ยินชื่อก็ล้วนหวาดผวารวมไปถึงพวกเ้าพ่อโคมแดงเช่นจ้าวเฮยถู
แต่บัดนี้…ทุกสิ่งกลับแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงขุนพลผู้เคยสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คนทั้งแผ่นดินกลับกลายเป็เพียงชายพิการร่างกายหมดสภาพ นั่งอยู่บนรถเข็นไม้เก่า ๆ และในสายตาของคนภายนอกยังต้องพึ่งพาสตรีผู้หนึ่ง เพื่อประคองชีวิตให้ผ่านพ้นไปแต่ละวัน
อยู่ใต้ชายกระโปรงของสตรี คือถ้อยคำที่จ้าวเฮยถูใช้สรุปสถานะของอดีตแม่ทัพผู้นี้อย่างดูแคลนเมื่อรวบรวมความกล้าได้เพียงพอจ้าวเฮยถูจึงก้าวออกมาพร้อมลูกน้องสีหน้าฉายชัดถึงความระแวดระวังปนความคะนองความกลัวในอดีตยังหลงเหลือแต่ถูกกลบด้วยความคิดว่า อีกฝ่ายไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว
มันยกมุมปากขึ้นเป็รอยยิ้มเยาะก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความดูถูกถากถาง
“ข้าไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าหมู่บ้านที่แร้นแค้นเช่นนี้…จะได้มาพบท่านแม่ทัพอยู่ที่นี่”
คำพูดนั้นฟังดูสุภาพแต่ทุกถ้อยคำกลับแฝงไปด้วยหนามแหลมคมเป็การเหยียบย่ำศักดิ์ศรีอย่างจงใจ สายตาของจ้าวเฮยถูเลื่อนมองรถเข็นในดวงตาของมันอดีตขุนศึกผู้เกรียงไกรบัดนี้…ไม่ต่างจากซากเสือไร้เขี้ยวเล็บ
