หลังจากศิษย์น้องทั้งสองเดินหายวับไป ชิงจูหลับตาลงเพื่อทบทวนเื่ราวเมื่อครู่ พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนหันไปยังกองผักที่ซูเจินทำค้างไว้ แล้วหั่นต่อจนเสร็จ เพื่อให้ทันมื้อเย็นของทุกคน
“เหตุใดจึงยอมนาง นางเป็คนเช่นไรข้ารู้ดี แผลที่มือของเ้าเกิดจากฝีมือนางใช่ฤาไม่” ชิงเถาหันหน้าออกไปยังหน้าผากว้าง แล้วพูดออกมาในขณะที่ความโกรธยังไม่ลดลง
“ศิษย์พี่ชิงเถาเข้าใจผิดแล้ว แผลนี้เกิดจากข้าไม่ระวังทำตัวเอง อย่าได้โทษนางเลย” ซูเจินเดินตามหลังชิงเถาเข้ามา แล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“จะไม่ให้ข้าโทษนางได้อย่างไร ในเมื่อ...” เชิงเถาชะงักไม่พูดต่อ ก่อนจะหวนนึกถึงวันที่ชิงจูประกาศว่า หากซูเจินเข้ามาเป็ศิษย์ของสำนักฮุ่ยหวงเมื่อใด นางจะคอยกลั่นแกล้งทุกวี่วัน
“ศิษย์พี่ชิงเถาได้โปรดวางโทสะของท่านลงเถิด แผลนี้เกิดจากฝีมือข้าเอง มิได้เกี่ยวอันใดกับศิษย์พี่ใหญ่” ซูเจินยังคงอธิบายช้า ๆ อย่างตั้งมั่น เพื่อให้เขาคลายจากเื่เข้าใจผิด
“เ้ามิได้โกหกข้าใช่ฤาไม่” ซูเจินยกยิ้มบางเบาก่อนส่ายศีรษะ ในแววตายังคงฉายความเศร้าอยู่เสมอ ก่อนเสียงฝีเท้าของหานลู่จะเดินเข้ามา ชายชรายืนมองศิษย์ทั้งสองด้วยรอยยิ้มอ่อน แม้อดีตชิงเถาเคยทำผิดกับซูเจินไว้ หากแต่ยามนี้เขาดูแลเอาใจใส่นางเป็อย่างดี สามารถวางใจได้ระดับหนึ่ง เมื่อทั้งสองสังเกตเห็นชายชราจึงรีบทำความเคารพ
“อาจารย์ ในตอนเย็นแบบนี้อากาศค่อนข้างหนาว ท่านเดินออกมาที่ผานี้ทำไมกัน” ชิงเถาเดินเข้าไปประคองชายชรา ก่อนเ้าสำนักจะยกมือห้ามพลางยิ้มอ่อน
“ที่แห่งนี้ไม่ทำให้ข้าเจ็บป่วยได้ เ้าวางใจเถิด และข้าขอคุยกับซูเจินตามลำพัง มีเื่หลายอย่างที่อยากทำความเข้าใจกับนาง” ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวครู่หนึ่ง ก่อนก้มหน้ารับคำของอาจารย์แล้วถอยออกไป สายลมบางเบาบนยอดเขาอันสวยงาม พัดมาปะทะกายของทั้งสอง ก่อนชายชราหันมายิ้มให้กับศิษย์คนเล็กอย่างมีเมตตาเช่นเดิม
“เ้ามานั่งกับอาจารย์ตรงนี้” ชายชราเดินนำมายังโต๊ะไม้ แม้ร่างกายแสดงความไม่แข็งแรงให้เห็นเป็ระยะ แต่ชายชราไม่เคยกล่าวถึงความทุกข์ในวัยใกล้ดับสูญ เขาค่อย ๆ นั่งลงบนเก้าอี้ไม้อย่างระวัง ก่อนจะหยิบขวดยาออกมาจากซอกเสื้อ
“แบมือของเ้ามา” สิ้นคำพูดของชายชรา กิริยาของซูเจินแน่นิ่งไป เห็นเพียงสายตาของนางจับจ้องขวดยาในมือเขาด้วยดวงตาไหวระริก
“ขวดยานั่น...!” ซูเจินมองขวดยาตาไม่กะพริบ นางเห็นแล้วจำได้ทันทีว่าเป็ของยอดฝีมือ หญิงสาวค่อย ๆ นั่งลงด้านข้างแล้วมองขวดยาไม่วางตา
“เ้าคงมีคำถามหลายอย่างอยากถามข้าใช่ฤาไม่” ซูเจินเลื่อนสายตาขึ้นสบ แล้วพยักหน้ายอมรับ ขณะที่สายลมยังคงพัดมาเป็ระลอกกระทบกายทั้งสอง
“ข้อแรกข้ารู้ว่าเ้าโดนมีดบาดจากการทำอาหารโดยชิงจู ข้อสองขวดยานี้ท่านยอดฝีมือมอบไว้ให้ก่อนจากไป และเป็เครื่องยืนยันว่าเขาห่วงใยเ้ามากเพียงใด” น้ำตาของหญิงสาวหยดลงอย่างไม่ต้องบังคับ นางก้มหน้าลงแล้วปล่อยน้ำตามากมายออกมา ด้วยคิดถึงยอดฝีมือจับหัวใจ การพลัดพรากซ้ำแล้วซ้ำเล่าของบุคคลที่นางรัก ทำลายความรู้สึกและคล้ายเป็แผลบาดลึกไม่อาจรักษาได้ ก่อนมือหนาของชายชราจะเอื้อมมาปลอบ เขาหยิบขวดยาขึ้นมาดูพลางหวนนึกถึงคำฝากฝังขององค์รัชทายาท
“ยาพวกนี้เป็ยาที่ดีที่สุดจากนครใหญ่ ข้าหยิบมามากพอที่ซูเจินจะใช้ได้อีกนานแสนนาน” หานลู่หยิบยาขึ้นมาในขณะที่องค์รัชทายาทวางขวดยาสุดท้ายลงบนเก้าอี้ไม้ พลางสบตาชายชราอย่างตั้งมั่น
“ข้าฝากนางด้วย ยาพวกนี้อาจทำให้ซูเจินคล้ายกับเป็คนอ่อนแอ แต่ความจริงแล้วนางมีอายุไม่พ้นสามพันปีด้วยซ้ำ โลกภายนอกนางเดียงสานัก อีกทั้งความซุกซนก็เป็เหตุให้นางเจ็บตัวได้อยู่บ่อยครั้ง” หานลู่ตั้งใจฟังคำขององค์รัชทายาทโดยไม่ขัด
“แม้อายุเพียงเท่านี้ หากแต่นางมีความสามารถด้านการทำอาหาร และดนตรีเป็อย่างมาก อย่างที่ไม่มีสตรีนางใดในใต้หล้ามีได้เท่านาง” องค์รัชทายาทหันพระพักตร์มองตรงไปยังผาน้ำตกแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวถึงซูเจินเป็ครั้งสุดท้าย
“ข้ารับรู้เพียงแต่ว่านางผ่านความยากลำบากของชีวิตมาไม่น้อย สูญเสียพี่เลี้ยงและสูญสิ้นกำลังใจ หากนางทำอันใดผิดพลาด ขอท่านอย่าได้ถือสา แล้วข้าสัญญาว่าจะมารับนางกลับ” สายพระเนตรขององค์รัชทายาทในตอนนั้นดูอ่อนแอ ไม่ต่างจากซูเจินในตอนนี้เท่าไหร่นัก
ชายชรามองซูเจินที่กำลังนั่งร่ำไห้ พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะหญิงสาวด้วยความเมตตา
“หากท่านยอดฝีมือทำตามประสงค์ของเขาสำเร็จ เ้าสองคนก็จะได้พบกันอีก เขาแค่ฝากเ้าไว้กับข้าเพียงชั่วคราวก็เท่านั้น” น้ำเสียงอันเมตตาของชายชราพูดปลอบ เพื่อให้หญิงสาวคลายทุกข์ใจได้บ้าง
ยามเย็นใกล้อาทิตย์ตกดิน ดินแดนแห่งนี้ยิ่งดูสวยงามกว่ายามไหนทั้งหมด ท้องฟ้าทอสีอ่อนลงอีกทั้งดวงอาทิตย์ใกล้ลับแสง เสียงนกน้อยใหญ่ รวมถึงเสียงน้ำตกแห่งผาอีกฟาก ทำให้ดินแดนแห่งนี้เปรียบเสมือน์ ที่มองดูเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเบื่อ
ชิงจูหันเปิดดูหม้อข้าวดินเผาที่กำลังระอุ นางตักข้าวดูโดยละเอียดเมื่อพบว่าได้ที่ดีแล้ว จึงตักใส่ถ้วยเรียงกันให้ครบตามจำนวนคน แล้วหันมาคีบผัดผักใส่ถ้วยข้าวทีละถ้วย ก่อนหวนนึกถึงมื้อเช้าที่ซูเจินกินอาหารได้เพียงน้อยนิด อาจเพราะด้วยยังไม่คุ้นชินกับสำนักฮุ่ยหวงและไม่สบายใจในหลาย ๆ เื่ หากเป็เช่นนี้อาจไม่ดีต่อร่างกายของนางเท่าไหร่นัก ชิงจูจึงตักผัดผักใส่ถ้วยให้กับซูเจินมากกว่าศิษย์พี่ทุกคน
“ข้ามาช่วย” ชิงเถากลับมายังครัวไม้หลังเดิม หลังจากนั่งเงียบ ๆ คนเดียวมาพักหนึ่งเพื่อสงบโทสะ หากแต่อีกฝ่ายจัดสำรับเตรียมยกออก
“อาจารย์กับศิษย์น้องอยู่้ายอดผา ส่งมาให้ข้าช่วยเถิด” ชิงเถาเอื้อมมือรับถาด
“ไม่จำเป็ กับข้าวพวกนี้ข้าเป็คนทำแต่ผู้เดียว เหตุใดจะยอมให้เ้ายกไปเพื่อเอาหน้ากับอาจารย์” ได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มจึงหลับตาลงแล้วพ่นลมหายใจ เก็บความอึดอัดในคำพูดนั้นไว้ไม่ตอบโต้ ยืนมองหญิงสาวยกสำรับเดินออกจากห้องครัวไป
“อาจารย์ข้าวมาแล้ว” น้ำเสียงราบเรียบบอกกับชายชราก่อนจะวางถาดอาหารลง ซึ่งทั้งหมดมีเพียงสี่ถ้วยเท่านั้น การกินข้าวแบบไม่มีถ้วยกับข้าวแยกเป็การกินที่อาจารย์ฝึกลูกศิษย์มาเสมอ เพื่อประหยัดวัตถุดิบ บนยอดเขามีพื้นที่ในการเพาะปลูกอย่างจำกัด มีนาผืนน้อยและแปลงผักอีกสองสามแปลงเพียงเท่านั้น ใกล้ ๆ ยังมีสระไว้เก็บน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งไม่ใหญ่มาก ในนั้นมีปลาอาศัยอยู่ตามธรรมชาติพอให้ได้จับกิน
ชิงเถาเดินตามเข้ามาแล้วนั่งลง ก่อนสังเกตเห็นความผิดปกติในถ้วยข้าวทั้งหมด พลางนั่งมองอย่างเงียบ ๆ พร้อมความอดทนที่เหลืออยู่น้อยนิดใกล้หมดเต็มที ชิงจูพยายามหาเื่กลั่นแกล้งซูเจินตลอดเวลาไม่เว้นแม่แต่เื่เล็กน้อย เขายกชาขึ้นดื่มพร้อมสายตาเฉียบคมยังคงจับจ้องยังถ้วยข้าวทั้งหมดที่มีผัดผักอยู่ไม่เท่ากัน
“อาจารย์วันนี้ข้าเก็บผักมาได้เท่านี้ ท่านทานเยอะ ๆ จะได้แข็งแรง” ชายชราพยักหน้ารับถ้วยข้าวมา ก่อนส่งรอยยิ้มเมตตาให้ชิงจูเช่นเคย
“ส่วนนี่ของเ้า” ชิงจูยื่นถ้วยข้าวปกติให้กับชิงเถา แล้วหันมองถ้วยข้าวที่เหลือ ซึ่งเป็ถ้วยที่มีผัดเยอะที่สุด และอีกถ้วยที่ผัดน้อยที่สุด ชิงเถาไม่ยอมแตะอาหาร เขาจ้องมองมือของศิษย์พี่ด้วยสายตาแน่นิ่ง
ก่อนดวงตาคมจะเบิกกว้าง เมื่อพบว่าชิงจูยกถ้วยข้าวมีผัดเยอะกว่าให้กับซูเจิน นางวางถ้วยข้าวไว้ตรงหน้าสาวงามอย่างเบามือ แล้วหันมาหยิบถ้วยข้าวที่มีผัดน้อยให้กับตัวเอง สิ่งนั้นทำให้ชิงเถาแทบไม่เชื่อสายตา จนเผลอเกือบทำตะเกียบในมือร่วงหล่น
“วันนี้ข้ารู้สึกท้องไม่ดี เลยไม่อยากกินกับข้าวเยอะ” ชิงจูรู้ตัวว่าถูกศิษย์น้องอย่างชิงเถาจับตามอง จึงแก้เก้อด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ ก่อนจับจ้องไปยังซูเจินแล้วมองถ้วยข้าวของนาง
“อาหารบนนี้หายาก ทุกอย่างต้องปลูกเอง ดังนั้นเม็ดข้าวทุกเม็ด กับข้าวทุกอย่างต้องรู้คุณค่า กินให้หมดห้ามเหลือแม้แต่เม็ดเดียว หากเ้ากินเหลือแบบเมื่อเช้าอีกล่ะก็ ข้าจะให้เ้าไปปลูกผักกินเอง”
“ซูเจินเ้ากินเถิด ชิงจูเป็คนพูดจาห้วน แลประจบคนไม่เก่ง อย่าได้ใส่ใจนาง” ชายชราพูดพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ก่อนทุกคนจะลงมือทานอาหารเย็นร่วมกัน สายลมอ่อนพร้อมแสงอาทิตย์ยามเย็นเป็ภาพที่ทำให้ซูเจินลืมความเ็ป เสียงบรรดานกน้อยที่บินผ่านและเสียงน้ำตกไกล ๆ ดังลอดเข้ามาเป็ระยะ ทำให้หญิงสาวเบี่ยงใบหน้าทอดสายตามองดููเาไกลลิบจาง ๆ นั้นด้วยความคิดใครบางคนอย่างจับหัวใจ