ไข่ไก่ที่เขาขาย หนึ่งจินเพียงหกเหรียญทองแดง ข้าวปั้นเหล่านี้ทําจากข้าวและผักเท่านั้น แม้ว่าจะใช้ข้าวขาว แต่ขนาดไม่ใหญ่อะไร กินสองคําก็หมดแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะขายได้ถึงสองเหรียญทองแดง!
เขากล่าวในใจว่า ‘ย่อมไม่มีคนซื้อเป็แน่’
ทว่าผู้ใดจะไปรู้ ทันใดนั้นก็มีสตรีวัยกลางคนรูปร่างทั้งอ้วนและสูงสวมใส่กระโปรงสีฟ้า จ่ายเงินยี่สิบเหรียญทองแดงซื้อข้าวปั้นสิบสองก้อนกับสามีภรรยาเฒ่า
หลิวซื่อหยิบใบไผ่สองสามใบออกมาห่อข้าวปั้นอย่างแคล่วคล่อง ก่อนวางใส่มือของฮูหยินอ้วนพลางหัวเราะชอบใจ “กินหมดแล้ว เอาไว้มาซื้อใหม่นะเ้าคะ”
ขณะนั้นเองก็มีสตรีหน้ายาววัยกลางคนคนหนึ่งในมือถือปลาลิ่นครึ่งตัวไม่มีหัวเดินผ่านมาพอดี นางเอ่ยถาม “พี่หลิว ท่านรีบร้อนทำสิ่งใดกัน?”
“ตอนเที่ยงข้าจะไปดื่มสุราในตำบล ที่บ้านไม่มีคนทําอาหารให้คนแก่กับเด็กๆ ก็เลยซื้อข้าวปั้นผักให้พวกเขากิน จะว่าข้าเกียจคร้านไม่ได้ ข้าไม่สนพวกเขาหรอก เฮอะ” ฮูหยินอ้วนเชิดคางสองชั้นที่มีแต่เนื้อขึ้น แล้วรีบกลับไปส่งข้าวปั้นในอำเภอ
สตรีหน้ายาววัยกลางคนไม่ได้มีฐานะดีเท่าฮูหยินอ้วน แต่การทําอาหารทุกวันก็ทำให้เบื่อจะตายแล้ว ครั้นเห็นข้าวปั้นผักก็นึกได้ว่าวันนี้มีแขกมาที่บ้าน เพียงปลาลิ่นครึ่งตัวก็จะดูตระหนี่เกินไป จึงเอ่ยขึ้นว่า “ปลาลิ่นครึ่งตัวของข้าเพียงสิบทองแดงเท่านั้น ข้าวปั้นผักของพวกท่านหนึ่งก้อนควรขายหนึ่งเหรียญทองแดงถึงจะถูก”
นางแค่อยากซื้อข้าวปั้นผักในราคาถูก
“ขายไม่ได้” หลิวซื่อส่ายหน้า นางคิดเอาไว้นานแล้วว่า ทั่วทั้งเมืองมีเพียงพวกนางที่ขายข้าวปั้นผัก ไม่เห็นหรือว่าฮูหยินอ้วนซื้อข้าวปั้นทีเดียวถึงสิบสองก้อน? อืม เพราะฉะนั้นจะลดราคามาขายถูกๆ ไม่ได้
สตรีหน้ายาวมีสีหน้าไม่พอใจ ถือปลาลิ่นครึ่งตัวเดินออกไปไม่กี่ก้าว แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงหลิวซื่อสามีภรรยาเรียกให้กลับไป จึงทำได้เพียงหันหลังกลับมาซื้อข้าวปั้นผักสามก้อนหกเหรียญทองแดง นางจ่ายไปพลางเอ่ยขึ้นว่า “แพงเกินไป เหตุใดถึงแพงขนาดนี้?”
หลิวซื่อเป็คนรู้จักพูด หวังเลี่ยงก็ได้มาจากนาง หญิงชราหัวเราะพลางเอ่ย “ท่านไม่ต้องหุงข้าว ทําปลาเสร็จแล้วก็กินกับข้าวปั้นผักเป็พอ อร่อยยิ่งนัก”
“นั่นก็จะไม่พอกิน” สตรีหน้ายาวเอ่ยความจริงออกมาโดยไม่ทันคิด “บ้านข้ามีแขกมา ข้าจะใช้ข้าวปั้นนี้เป็อาหารหนึ่งสำรับ”
เหอะๆ ไม่เพียงแต่เป็อาหารยังใช้เป็อาหารหลักอีกด้วย แขกกินข้าวปั้นผักก็อิ่มท้องแล้ว ไม่จำเป็ต้องกินข้าว และนี่คืออาหารจานใหม่ไม่มีขายที่อื่น พูดออกไปย่อมเป็หน้าเป็ตา
นางช่างมีไหวพริบจริงๆ
ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงมีรอยแผลเป็ยาวที่แก้มซ้ายผู้หนึ่งเดินเข้ามา พลางเอ่ยถาม “ท่านลุง ท่านดูคุ้นหน้าคุ้นตา ท่านมาจากหมู่บ้านใดหรือ?”
ชายวัยกลางคนใบหน้ามีรอยแผลเป็คือคนขายข้าวผัด ตั้งแผงขายของอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าข้าวผัดก็ทําจากข้าวขาว ใส่น้ำมัน เกลือ และยังใส่ต้นหอม หนึ่งชามขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือราคาสองเหรียญทองแดง แต่ขายอย่างไรก็ขายไม่ดีเท่าข้าวปั้นผัก
ผู้เฒ่าหวังรู้ว่าชายผู้มีแผลเป็บนใบหน้าคนนี้ขายข้าวผัด นี่คือคู่แข่งของเขา ในใจพลันตื่นตัวขึ้นมา เขากล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “หมู่บ้านหวัง เ้ามาจากหมู่บ้านใดล่ะ?”
“หมู่บ้านสือโถวห่างออกไปห้าลี้ ข้านามว่าจางต้าหู่” จางต้าหู่ผู้ที่ใบหน้ามีรอยแผลเป็เอ่ยในใจว่า ‘ที่แท้สามีภรรยาเฒ่าก็คือคนจากหมู่บ้านหวัง อยู่ห่างจากอําเภอเหอกว่าบ้านของตนอยู่มาก’ เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้ามาขายข้าวผัดที่อำเภอทุกวันเช้าเย็น”
แต่ก่อน่เช้ายังไม่ถึงเที่ยงก็ขายข้าวผัดหมดแล้ว วันนี้คนตระกูลหวังขายข้าวปั้นผักก็มีลูกค้ามาซื้อ มาแย่งส่วนแบ่งการค้าของเขาไป ทำให้ไม่มีใครซื้อข้าวผัดของจางต้าหู่
ผู้เฒ่าหวังตอบรับหนึ่งเสียง แล้วยุ่งกับการห่อข้าวปั้นผักให้ลูกค้า
ชายชราอ้วนท้วมใบหน้าดําคนหนึ่ง สวมเสื้อคลุมผ้าไหมใหม่ถึงเจ็ดส่วน ฐานะทางบ้านดี ทว่าไม่มีคนทําอาหาร เขาเป็ลูกค้าเก่าของจางต้าหู่
วันนี้ชายชราอ้วนท้วมใบหน้าดําไม่ได้ซื้อข้าวผัด เขามาซื้อข้าวปั้นผักของผู้เฒ่าหวังสามีภรรยา และยังตั้งใจเอ่ยอธิบายกับจางต้าหู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า “ข้ากินข้าวผัดของเ้าเป็ประจำจนเบื่อแล้ว วันนี้จึงอยากเปลี่ยนรสชาติสักหน่อย”
“ท่านลุงมีความสุขก็เป็พอขอรับ” แม้ว่าในใจของจางต้าหู่จะโมโหจนหายใจไม่ทัน แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งสงบ
หลิวซื่อสูงกว่าจางต้าหู่ นางกดสายตาลงมองเขาเล็กน้อย พลางเอ่ยถาม “เมื่อวานบุตรชายสองคนของข้ามาขายไข่เค็มที่นี่ วันนี้มาขายข้าวปั้นผักที่นี่ั้แ่เช้า เ้าเห็นพวกเขาหรือไม่?”
“อ้อ ที่แท้บ้านพวกท่านก็คือครอบครัวที่ขายไข่เค็มบ้านนั้น มิน่าเล่าข้าถึงได้คุ้นหน้าพวกท่านนัก” จางต้าหู่คิดอะไรขึ้นได้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “บ้านพวกท่านขายไข่เค็มได้เงินมากขนาดนั้น ไฉนถึงได้มาขายข้าวปั้นผักเล่า?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ บุรุษที่ขายไข่ไก่อยู่ข้างๆ พลันมีสีหน้าไม่พอใจ เขากล่าวในใจตนเองว่า ‘เ้ากลัวว่าพวกเขาจะแย่งการค้า พวกข้าขายไข่ก็จะไม่กลัวเลยหรือ? น่ารังเกียจจริงๆ!’
ผู้เฒ่าหวังเอ่ยอย่างภูมิใจ “ไข่เค็มก็ขาย ข้าวปั้นผักก็ขายด้วย”
“พรุ่งนี้บ้านพวกท่านขายไข่เค็มเป็ดี” จางต้าหู่ยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าข้าวปั้นผักทําไม่ยาก แม้แต่น้ำมันก็ไม่ใส่ ต้นทุนต่ำกว่าข้าวผัดเสียอีก จึงแอบกล่าวในใจ ‘เฮอะ คอยดูเถิด’
ชายที่ขายไข่ไก่ถลึงตาจ้องจางต้าหู่หนึ่งที
หลิวซื่อไม่รู้ว่าจางต้าหู่กำลังตั้งปณิธานอันใหญ่หลวงที่จะเอาชนะการค้าของตระกูลหวังในวันพรุ่งนี้ จึงเอ่ยถาม “สรุปแล้วเ้าเห็นบุตรชายของข้าหรือไม่?”
“เห็นขอรับ พวกเขาตามเสี่ยวเอ้อร์ของเซียงเยวี่ยไจเข้าไปในอำเภอ” จางต้าหู่เอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งก่อนจะหมุนกายเดินจากไป เขาต้องรีบไปขายข้าวผัดให้หมด ขายหมดก็กลับบ้านไปทำ...
“เป็เสี่ยวเอ้อร์ของเซียงเยวี่ยไจจริงๆ หรือ เ้าไม่ได้มองผิดกระมัง?” แม้ว่าหลิวซื่อจะเป็เพียงหญิงชาวบ้าน แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของเซียงเยวี่ยไจ ร้านค้าหลักของเซียงเยวี่ยไจอยู่ที่เมืองเซียง มีร้านสาขาย่อยที่อำเภอเหอและตำบลชาง
เสียงของจางต้าหู่ลอยมาจากด้านหน้า “สายตาข้ายังดี มองไม่ผิดแน่”
ผู้เฒ่าหวังสามีภรรยามองหน้ากัน ในความทรงจําไม่เคยติดต่อกับเซียงเยวี่ยไจ ไข่เค็มไม่ได้ขายให้กับคนของเซียงเยวี่ยไจ พวกเขาเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “เกิดเื่อันใดขึ้น?”
ผู้เฒ่าหวังคิดจะไปดูที่เซียงเยวี่ยไจสักหน่อย ทว่าการค้าข้าวปั้นผักนั้นขายดี ลูกค้าทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสาย หลิวซื่อรับมือคนเดียวไม่ได้ จึงได้แต่ขายข้าวปั้นผักก่อนแล้วค่อยว่ากัน
พวกเขาขายอยู่หนึ่งชั่วยาม บัดนี้จวนจะยามอู่แล้ว
ข้าวปั้นผักในตะกร้าไม้ล้วนขายหมดแล้ว ผู้เฒ่าหวังสามีภรรยากําลังจะเข้าอำเภอเพื่อไปยังเซียงเยวี่ยไจ ก็เห็นหวังจื้อกับหวังเลี่ยงเดินโซเซออกมาจากประตูเมืองพอดี
จางต้าหู่กําลังหดหู่ใจที่ข้าวผัดยังขายไม่หมดอยู่พอดี ครั้นเห็นหวังจื้อพี่น้อง จึงรีบชิงเดินเข้าไปหาผู้เฒ่าหวังสามีภรรยาแล้วเอ่ย “ท่านถามพวกเขาดูสิว่าได้ตามเสี่ยวเอ้อร์ของเซียงเยวี่ยไจเข้าไปในอําเภอหรือไม่”
ไม่รอให้สองสามีภรรยาเฒ่าเอ่ยถาม หวังเลี่ยงก็เอ่ยสารภาพออกมาทั้งหมดแล้ว “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าวปั้นผักของพวกข้าขายหมดแล้ว พวกข้าไปที่เซียงเยวี่ยไจมา หลงจู๊ของเซียงเยวี่ยไจมาพบพวกข้าขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางต้าหู่พลันมีสีหน้าตึงเครียด รีบเอ่ยถาม “หลงจู๊ของเซียงเยวี่ยไจมาพบพวกเ้าเพราะเหตุใด ้าซื้อสูตรข้าวปั้นผักหรือ?”
เป็ที่ทราบกันดีว่าเซียงเยวี่ยไจรับซื้อสูตรอาหาร
จางต้าหู่ที่จิตใจเต็มไปด้วยข้าวปั้นผักเอ่ยในใจ ‘ตระกูลหวังเพียงครอบครัวเดียวก็พอแล้ว เซียงเยวี่ยไจยังจะขายข้าวปั้นผักอีกหรือ ต่อไปการค้าของข้าก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว
์โปรดเมตตา ข้ายังหวังทำอาหารหาเงินให้บุตรชายแต่งลูกสะใภ้ หาเงินสินเดิมให้บุตรสาวอยู่นะ’
“ไม่ใช่ข้าวปั้นผักขอรับ” หวังเลี่ยงส่ายหน้า พินิจมองจางต้าหู่ คิดในใจว่า ‘นี่มิใช่พี่ใหญ่ขายข้าวผัดหรือ เหตุใดถึงมาสนใจเื่ของครอบครัวพวกเราได้?’
