ภายในห้องพักฟื้น ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์กายภาพ ร่างของผมกับคุณหมอนั่งทานอาหารด้วยกันอย่างเรียบง่าย เป็ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เป็ความรู้สึกที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ และพยายามที่จะหลีกเลี่ยงโดยการฝึกกายภาพให้มาก เมื่อหายดีแล้วเราสองคนจะได้ไม่ต้องพบกันอีก ภวังค์ประหลาดอาจจะหายไปเมื่อห่างจากเขา
นานเท่าใดไม่รู้ รู้ตัวอีกที ร่างของผมถูกดูดเข้ามาในภวังค์ลี้ลับอีกครั้ง คราวนี้ผมก้มมองตัวเองที่อยู่ในชุดของโรงพยาบาล แล้วจำได้ว่าเพิ่งจะได้เอนหลังนอนลงบนเตียงไม่ถึงสิบนาที ความรู้สึกก็โผล่มาในภวังค์นี้อีก ทว่าคราวนี้ไม่เหมือนก่อน ผมเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งที่เจอมากขึ้น ไม่ตระหนกใเหมือนก่อน
‘ถ้าอยากให้รู้เื่ราวของคุณนัก ก็ขอให้เห็นั้แ่ต้นจนจบเลยแล้วกัน’ ความคิดของผมยังไม่ทันจบ ร่างของคุณมยุราในชุดรัดรูปสีชมพูอ่อน ตบแต่งด้วยเครื่องประดับมุข ม้วนผมเป็ลอนสีดำสนิท ทาปากด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อน ผมมองความงามของเธอด้วยความตกตะลึง ก่อนร่างของคุณภูมิพลที่อยู่ในชุดสูทสีเข้ม เดินตามลงมาจากชั้นบน
“ผมไปร่วมงานแค่ครู่เดียวนะ เดี๋ยวสามทุ่ม งานเลิกผมจะไปรับ” เขาพูดขณะที่เดินลงจากบันได ด้วยน้ำเสียงเฉยชาไร้ความรู้สึก ทั้งสองเดินขึ้นรถโบราณโดยมีผมตามขึ้นมาด้วย ระหว่างอยู่ในรถ พวกเขาสองคนแทบไม่คุยอะไรกัน ผมมองคุณภูมิพลที่สะท้อนจากกระจกมองหลัง ใบหน้าเขาเรียบเฉย ดูเหมือนไม่มีความสุข ส่วนคุณมยุราเองก็นั่งเงียบ คงรู้สึกอึดอัดไม่ต่างกัน สิ้นความคิด ร่างของผมก็ถูกดูดเข้าไปในร่างของเธออีกครั้ง
คราวนี้ผมเห็นความรู้สึกของเธอพลั่งพลูออกมา ที่นั่งเงียบเพราะไม่กล้าออกเสียง ไม่กล้าเอ่ยถาม ไม่อยากทำให้เขารำคาญ ขณะที่รถมุ่งตรงไป มยุราแอบหันมองไปยังภูมิพลเป็ระยะ ผมที่อยู่ร่างของเธอกลับไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงรักเขา ทำไมถึงยอมได้มากมายเพียงนี้ ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดแทน ก่อนรถโบราณจะเลี้ยวเข้ามายังโรงแรมขนาดกลาง ผมลงรถแล้วเดินตามคุณภูมิพลเข้าไปในงาน เป็งานเลี้ยงขนาดกลางไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป แเื่ทยอยเดินทางเข้ามา พ่อกับแม่ของมยุรายืนอยู่ไม่ไกลนักจึงพาคุณภูมิพลเข้าไปหา
“สวัสดีครับ” เขายกมือไหว้พ่อตาแม่ยาย
“ลูกเขยมาก็ดีเลย” ผมเห็นกำนันเทิ้งดึงมือคุณภูมิพลเข้าไปในงานด้วยความภูมิใจ ผมที่อยู่ในร่างของมยุราก็เดินตามไป พบกับใครบางคน ก่อนกำนันเทิ้งจะแนะนำให้คุณภูมิพลรู้จัก
“นี่คือผู้กำกับสมภพ” คุณภูมิพลรีบยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
“ส่วนนี่ลูกเขยผมเอง ร้อยตำรวจโทภูมิพล ผมฝากลูกเขยผมด้วยนะครับ มีตำแหน่งให้เลื่อน ก็นึกถึงลูกเขยผมบ่อย ๆ ฮ่า ๆ” ตอนนี้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วล่ะ เหมือนที่ปู่ผมพูดไว้ ว่าความเหมาะสมสำหรับสายตาผู้ใหญ่สำคัญแค่ไหน คุณภูมิพลและคุณมยุราก็แค่ต้องอยู่ในโอวาทของผู้ใหญ่เพื่อผลประโยชน์เท่านั้น
ผมที่อยู่ในร่างของมยุรามองตรงไปยังคุณภูมิพลตลอดเวลาไม่ละสายตา ที่บอกว่าจะมางานเพียงครู่เดียวนั้น ลากยาวเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าเขาจะฝากฝังตัวกับผู้หลักผู้ใหญ่เสร็จสิ้น
“คุณจะไปไหนคะ” เธอหันมองมายังสามีแล้วเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เพราะเขาเดินดุ่ม ๆ ตรงไปยังรถ ที่จอดไว้ด้านหน้าอย่างรีบร้อน
“บอกแล้ว ว่าจะอยู่ครู่เดียว คุณก็อยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวสามทุ่มมารับ”
“แล้วจะให้ฉันบอกคุณพ่อว่ายังไง” ดวงตากลมฉายแววสงสัยขึ้นมา หากแต่คุณภูมิพลเปิดประตูรถแล้วตอบกลับ ด้วยน้ำเสียงเฉยชาเหมือนเดิม
“ตอบว่า ผมไม่สบาย” เขาพูดจบก็ปิดประตูรถแล้วขับออกไป ปล่อยให้มยุราเดินกลับเข้าไปในงานแต่ผู้เดียว ผมที่หลุดออกจากร่างของมยุราั้แ่เมื่อใดไม่ทันสังเกต รู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่เบาะหลังของคุณภูมิพล เขาเอื้อมไปเปิดเพลงสมัยโบราณที่ผมไม่คุ้นหูเหมือนเดิม
‘ไหนว่าป่วย ทำไมไม่เข้าไปพักที่บ้านล่ะ’ ผมคิด แล้วมองไปยังทางเข้าบ้านที่เพิ่งเลยมา ไม่นานนักรถคันนี้ก็ค่อย ๆ จอดข้างทาง คล้ายกับลงไปซื้ออะไรบางอย่าง ผมมองตามแล้วพบว่าเขายืนเลือกดอกไม้ที่เป็กุหลาบ สีหน้าตึงเครียดเมื่อครู่ผ่อนคลายกลายเป็มีรอยยิ้ม ก่อนเขาจะหันกลับมา แล้วก้มมองดอกกุหลาบในมืออย่างมีความหมาย พลันยกขึ้นหอมช้า ๆ ไม่รู้ทำไมกิริยาของเขา ทำให้ผมต้องคิ้วก็กระตุก เขาเดินขึ้นรถแล้วนำกุหลาบสีแดง ที่เพิ่งซื้อมาวางไว้ด้านข้างคนขับ เสียงเพลงโบราณนั้นยังดังคลออยู่ตลอดเวลา จนผ่านไปสักพัก รถที่แล่นอยู่ก็ค่อย ๆ จอดเทียบขอบถนน ร่างของหญิงสาวงดงามก็เปิดประตูรถขึ้นมา
‘ที่แท้ก็มารับพรรณีหรอกเหรอ เหอะ!’ ผมทำได้แต่หัวเราะในลำคอ แล้วส่ายศีรษะให้กับการกระทำของคุณภูมิพล
“ออกมาแบบนี้ คุณมยุราเธอไม่สงสัยเหรอคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานของเธอเอ่ยถาม ทำให้ผมหันไปสังเกตสีหน้าของคุณภูมิพล เขาแสดงความเฉยชาออกมาทันที แล้วส่ายศีรษะเบา ๆ
“เราต่างรู้ ว่าแต่งงานกันเพราะอะไร” ก่อนเขาจะหยิบกุหลาบสีแดงที่ตั้งใจซื้อมา ยื่นให้กับพรรณีพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่น
“ผมหิวแล้ว เราไปร้านเดิมกันนะ” พรรณียิ้มแล้วพยักหน้าเบา ๆ ผมมองทั้งสองคนอย่างเงียบ ๆ สังเกตได้ว่า่เวลาที่คุณภูมิพลอยู่กับคุณพรรณี เขามีความสุขมากกว่าอยู่กับมยุรา ทั้งสองพูดคุยกันพร้อมหัวเราะอย่างมีความสุข ก่อนมือของคุณภูมิพลจะเอื้อมมาจับมือของพรรณีเบา ๆ แล้วกุมมือนั้นไปตลอดการเดินทาง ไม่รู้ทำไมผมเห็นภาพนี้แล้วต้องน้ำตาไหล นึกสงสารคุณมยุราจับหัวใจ หากผมเป็เธอก็ไม่รู้ว่าควรรับมือกับเื่นี้ยังไง
ไม่นานนักรถก็แล่นมาจอดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมที่อยู่ในชุดของโรงพยาบาลก็เดินตามพวกเขาเข้าไป ภายในร้านเป็บรรยากาศเรียบง่าย หันมองไปรอบ ๆ รู้สึกเหมือนอยู่ในละครย้อนยุค ที่ผู้คนแต่งตัวด้วยแฟชั่นสีสันสดใส คุณภูมิพลพาพรรณีเดินมายังมุมหนึ่งของร้าน ที่ดูเหมือนพนักงานเข้าใจดีว่ามาบ่อย พวกเขาจึงรีบจัดที่ให้
“เอาอาหารอย่างเดิมใช่ไหมคะคุณตำรวจ”
“ครับ เอาแบบเดิม” ผมเดินมานั่งใกล้ ๆ พวกเขา เพิ่งสังเกตคุณพรรณีชัดเจนก็คราวนี้ เธอเป็ตัวเล็กผิวขาว ใบหน้าจิ้มลิ้ม ขนาดผมเป็คนสมัยใหม่ ยังมองว่าเธอเป็คนสวยมาก ๆ จะว่าไปแล้วหน้าตาก็มีส่วนคล้ายกับมยุราเหมือนกัน เธอยกกุหลาบสีแดงขึ้นหอมซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณเอาเก็บไว้ใช้นะ” คุณภูมิพลยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้เธอ ทว่าแววตาของพรรณีมองเงินแล้วนิ่งเงียบ
“คุณเอาเก็บไว้เถอะค่ะ ฉัน....” ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“เดี๋ยวนี้ ได้ข่าวว่าขายของไม่ดีไม่ใช่เหรอ เงินนี้ผมให้คุณก็ไม่ได้ลำบากอะไร เอาเก็บไว้ใช้เถอะนะ อีกอย่างไม่รู้ว่าจะมีเวลามาเจอคุณได้ตอนไหน ความจริงวันนี้ผมว่าจะไม่มางานแต่งแล้ว แต่เพราะผู้หลักผู้ใหญ่มากันมาก ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ ใจจริงอยากอยู่กับคุณตลอดทั้งวันมากกว่า” เขายัดเงินจำนวนหนึ่งใส่มือเธอ และผมที่นั่งมองอยู่ใกล้ๆ ก็ได้แต่นึกสงสารคุณมยุรา หากว่าไม่รักกันแล้ว ทำไมต้องตบแต่งให้เป็เื่เป็ราว เพียงเพราะความเหมาะสม ก็เลยกล้าที่จะทำร้ายผู้หญิงพร้อมกันสองคนงั้นเหรอ
‘คุณมันเห็นแก่ตัวนะ คุณภูมิพล’ ผมทำได้แค่พูดคนเดียวเบา ๆ แล้วมองเขาทั้งสองใช้เวลาด้วยกัน แทบนับไม่ได้เลยว่าคุณภูมิพลยิ้มไปกี่ครั้ง สายตาของเขามีความสุขจนแทบล้นทะลักออกมา
“พรรณี” เสียงเรียกของคุณภูมิพลทำให้ผมหันมองเขา มือหนาเอื้อมไปกุมมืออีกฝ่ายเบา ๆ พร้อมสายตาสั่นไหว และตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าเขารักพรรณีมากแค่ไหน เพราะอยู่ ๆ น้ำตาเขาก็ไหล ราวกับกำลังพยายามระบายความอัดอั้นในใจออกมา เหมือนว่าการแต่งงานกับมยุราทำให้เขาตกนรกทั้งเป็อย่างนั้น
“คุณอย่าเพิ่งทิ้งผมไปนะ ผมยังไม่พร้อมเสียคุณในตอนนี้”
“คำพูดนั้น ฉันควรเป็พูดมากกว่า” เขาเงยหน้ามองหญิงสาว แล้วยกมือเธอขึ้นหอมเบา ๆ
“ผมรักคุณนะ”
“คุณรักฉัน แล้วคุณมยุราล่ะคะ เธอจะยอมเหรอ?” เมื่อนึกได้ ผมก็เลยหันมองไปยังนาฬิกาข้อมือของพรรณีที่บอกเวลาว่าถึงสามทุ่มแล้ว งานแต่งที่โรงแรมกำลังเลิก แต่ดูเหมือนคุณภูมิพลจะไม่ใส่ใจเท่าใดนัก เขายังคงกอบโกย่เวลาให้ตัวเองได้อยู่กับคนที่รักมากที่สุด แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ร่างของผมก็ถูกดูดกลับมายังโรงแรมที่จัดงาน แเื่ในงานค่อย ๆ ทยอยแยกย้าย เหลือเพียงร่างของมยุรายืนรอด้านนอก
“ให้พ่อไปส่งไหม?” มยุรายิ้มแล้วส่ายศีรษะ
“เดี๋ยวคุณภูมิพลก็มาค่ะ พ่อกับแม่กลับบ้านดี ๆ นะคะ” ผมยืนมองเธออยู่ใกล้ ๆ เห็นผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาแวะทักทายพอเป็พิธีแล้วเดินจากไป จนบริเวณนั้นเริ่มหมดผู้คน ไฟที่เปิดสว่างค่อย ๆ ดับลงทีละดวง เธอยังคงตั้งมั่นยืนคอยสามีด้วยใบหน้าราบเรียบ ไม่มีความโกรธหรือหงุดหงิดใจแม้แต่น้อย
‘ดึกขนาดนี้แล้ว ให้คนไปส่งคุณดีไหม จะยืนรอคุณภูมิพลไปทำไม เขาไม่ได้นึกถึงคุณซะหน่อย’ ผมรู้แหละว่าเธอไม่ได้ยิน แต่ก็ยืนเป่าหูเธออยู่อย่างนั้น จากที่ยืนรอก็ค่อย ๆ นั่งลงกับบันได พร้อมตบยุงที่บินมาเกาะแขนเป็ระยะ เห็นแล้วทำให้ผมรู้สึกโกรธแทนยังไงไม่รู้
‘เขาไม่มารับคุณง่าย ๆ หรอก ตอนนี้เขากำลังมีความสุขกับคนรักของเขา ให้คนของโรงแรมไปส่งก็ได้ นั่นไง มีคนผ่านมาแล้ว คุณบอกเขาสิ ให้เขาไปส่ง’ ที่ผมเฝ้าเป่าหูเธออยู่นานไม่เป็ผล เธอยังคงชะเง้อรอรถเขา ไม่รู้ทำไมผู้หญิงสมัยนี้ถึงได้จมปลักนัก ตัวผมเองก็ดูเหมือนจะไปไหนไม่ได้ จึงย่อตัวลงนั่งใกล้กับเธอ ผมมองเธอั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า มยุรามีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับพรรณีอยู่ไม่น้อยจริง ๆ แตกต่างตรงที่เธอมีฐานะดีกว่าเท่านั้นเอง ผมเงยหน้ามองขึ้นบนยอดไม้ สมัยนี้น้ำค้างแรงกว่าสมัยปัจจุบันอยู่มาก อากาศก็เริ่มหนาวแล้ว ผมยังคงนั่งเฝ้าเธออยู่แต่ไม่รู้สึกง่วง ในภวังค์ที่ผมเริ่มคุ้นชินหันมองไปยังนาฬิกาข้อมือของเธอ บ่งบอกว่าเป็เวลาเกือบตีสองแล้ว
แน่นอนว่าตอนนี้ผมรู้สึกโกรธคุณภูมิพลมากขึ้น อยากต่อยหน้าเขาสักหมัด ให้ได้สติว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควร
‘คุณ! เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่าคุณจะเดินกลับบ้านอะ คุณจะบ้าเหรอ นี่มันดึกมากแล้วนะ ถนนก็เปลี่ยวจะกลับยังไง?’ ผมต่อว่าเธอ ทั้งที่เธอไม่ได้ยิน พร้อมกับเดินตามเธอไปติด ๆ หญิงสาวรูปร่างบอบบางตัดสินใจ เดินออกจากโรงแรมเพื่อกลับบ้าน โดยที่ผมไม่รู้ว่าอยู่ไกลแค่ไหน
‘หึ! ที่งี้กล้า ทีกับคนนิสัยไม่ดีอย่างภูมิพล ทำไมคุณไม่กล้าต่อว่าเขา เอาความกล้ามาใช้ในทางที่ผิดแท้ ๆ เดินเข้าไปได้ยังไง ผมเป็ผู้ชายแท้ ๆ ยังไม่กล้าเดินเลย’ รู้แหละว่าเธอไม่ได้ยิน แต่เก็บไว้ในใจมันอึดอัด ไม่เพียงเท่านี้ผมยังคงต่อว่าเธอไปตลอดทาง แต่เริ่มรู้สึกแปลก ๆ ตรงที่เธอเริ่มเดินช้าลง
‘คุณเป็ไรอะ’ ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เลยเดินเข้าไปใกล้ เสี้ยววินาทีนั้นตัวผมก็ถูกดูดเข้าไปในร่างของเธอ ความรู้สึกของเธอทั้งหมดถ่ายทอดมายังผม
ที่ไม่พูดไม่ใช่ว่าไม่เจ็บ แต่เจ็บจนพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกที่รับมา ทำเอาผมน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว แม้พยายามต่อต้านความรู้สึกของเธอแล้ว แต่เหมือนมีบางอย่าง้าให้ผมรับรู้ ตลอดทางเดินกลับบ้าน ในหัวมีแต่คำถามมากมายตลอดเวลา เธอก็แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่คิดว่าตบแต่งแล้วเขาจะดูแลใส่ใจมากกว่าที่เคย แม้ไม่เคยเรียกร้อง แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะละเลยถึงขนาดเป็ตายร้ายดียังไงก็ช่าง ปล่อยให้รอคอยราวกับว่าเธอไม่มีตัวตน