ก่อนหน้านี้เขาเองก็คิดไม่ถึงว่า การทำเช่นนี้จะทำให้ลดเื่ยุ่งยากไปได้เยอะมาก ถึงแม้วันนี้ฮ่องเต้จะพาคนมาตรวจค้น แต่เขาก็ยังมีวิธีอื่นรับมืออยู่
“ตอนนี้ด้านนอกกำลังลือเื่นี้กันสนั่น เ้าวางแผนจะทำอย่างไร?”
สีหน้าของจี๋โม่หานยากจะคาดเดา “เื่นี้ข้ามีวิธีจัดการ แต่จะยุ่งยากเล็กน้อยเท่านั้น”
เขาพูดไปน้ำเสียงก็อ่อนลง ปลายนิ้วที่อยู่กลางฝ่ามือประสานเข้าหากันเบาๆ “วันนี้ที่ข้าออกมาก็เพื่อมาเจอเ้า ไม่อยากให้เ้าเป็ห่วง ที่สำคัญจะได้สารภาพกับเ้าและให้เ้าได้พบกับเชียนซวินจือด้วย”
พวกหลิงชวนที่อยู่ภายในห้องก็ไปพิงมุมห้อง ไม่มีหน้าจะมองต่อแล้ว พวกเขาไม่รู้เลยว่าองค์ชายสามที่อายุมากแล้วก็มีด้านที่อ่อนโยนด้วย
ซูิเยว่ยกยิ้ม “หม่อมฉันรู้แล้ว พอเห็นว่าท่านไม่เป็อะไร หม่อมฉันก็วางใจ แต่ว่า ตอนนี้ได้เจอท่านแล้ว หม่อมฉันก็มีเื่ที่อยากจะพูดกับท่านสักหน่อย”
“อืม?” จี๋โม่หานเลิกคิ้ว “เื่อะไรหรือ?”
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าแผนของท่านคืออะไร แต่ตอนนี้หม่อมฉันมีอยู่แผนหนึ่ง” ซูิเยว่พูดพร้อมรอยยิ้มลึกลับ
คนอื่นๆ ในห้องต่างก็อยากรู้ขึ้นมา
“ตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือหยุดข่าวลือด้านนอก หากใจของประชาชนไปทางไหนก็คือทิศทางของเื่นี้ ถึงแม้ตอนนี้ฮ่องเต้อยากจะลงโทษท่าน แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไร ดังนั้นควรรอจนข่าวลือนี้เงียบไป แล้วค่อยยืมมือบุคคลที่สามเบี่ยงเบนความสนใจไปทางอื่น เื่นี้ก็สามารถแก้ไขได้แล้ว”
เชียนซวินจือยื่นหน้าเข้ามาอย่างอยากรู้ “เช่นนั้นเ้าว่ามาสิว่า จะหยุดข่าวลือนี้ได้อย่างไร?”
ซูิเยว่เข้าใจสายตาของเขา “ตอนนี้ข่าวลือด้านนอกต่างพูดกันว่าองค์ชายสามฏทรยศแคว้นไม่ใช่หรือ มีแค่คนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะมีความคิดเช่นนี้ได้ จะเอาคนที่ตายไปแล้วมาแย่งตำแหน่งฮ่องเต้ก็เป็เื่ที่เปล่าประโยชน์”
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา ภายในห้องก็เงียบลงไปทันที แม้แต่สีหน้าของเชียนซวินจือก็แข็งค้างไป ทุกคนต่างถูกคำพูดตรงไปตรงมาของซูิเยว่ทำให้ตกตะลึงไป
นางเคาะนิ้วลงหนึ่งทีเพื่อดึงความคิดของทุกคนกลับมา “ไม่ใช่จะต้องตายจริงๆ ข้ามีวิธีทำให้องค์ชายสามดูคล้ายกับคนใกล้ตาย ขอแค่ข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ข่าวลือด้านนอกก็จะทำลายตัวเองไป อีกทั้งยังหาเวลาให้กับแผนอื่นๆ หลังจากนี้ได้ด้วย”
ทุกคนถอนหายใจออกมา
“แต่ว่า” คิ้วของเชียนซวินจือขมวดเข้าหากันอีกครั้ง “จากที่ข้ารู้ จะแกล้งตายต้องมียาที่ทำให้แกล้งตายได้ แต่ว่า หากทำให้ดูใกล้ตาย จะต้องทำอย่างไร?”
“เื่นี้ข้ามีวิธี” ซูิเยว่หันกลับไปมองจี๋โม่หาน “ท่านคิดว่าอย่างไร?”
ถึงแม้จี๋โม่หานจะนั่งฟังเงียบๆ ไม่พูดไม่จาอยู่ตลอด แต่แผนการของซูิเยว่นั้นสมบูรณ์แบบจริงๆ ลดความยุ่งยากลงกว่าแผนของเขาก่อนหน้านี้มาก
“สาวน้อย” จี๋โม่หานยกมือขึ้นไปบีบแก้มของซูิเยว่เบาๆ น้ำเสียงซ่อนความเอ็นดูเอาไว้ไม่อยู่ “เ้าจะทำให้ข้าประหลาดใจอีกกี่ครั้งกัน”
“ไม่เยอะ ไม่เยอะ ก็พอสมควรนะ” ตอนนี้สิ่งเดียวที่ซูิเยว่ใช้ได้ก็คือวิชาแพทย์ของตนเอง โชคดีที่ชาติก่อนถูกคนไล่ฆ่าจนมาเจอกับท่านอาจารย์ นางจึงได้เรียนรู้วิชาแพทย์ติดตัว
“เช่นนั้นเื่นี้ข้าก็จะฟังคำเ้าแล้วกัน”
“ได้เพคะ” ซูิเยว่ตอบรับด้วยความยินดี หากสามารถช่วยจี๋โม่หานได้ นางก็ดีใจแล้ว “หม่อมฉันรู้ว่ามีจุดฝังเข็มอยู่จุดหนึ่ง ขอแค่ใช้เข็มทองฝังลงไปก็จะส่งผลกระทบต่อชีพจรทั้งตัว ทำให้ชีพจรอ่อนลง ดูไปแล้วเหมือนคนใกล้ตาย บนโลกใบนี้มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ ดังนั้นแพทย์หลวงภายในวังพวกนั้นมองไม่ออกแน่นอน”
เื่นี้นางมั่นใจมาก ท่านอาจารย์ของนางในชาติก่อนเป็หมอสติเฟื่อง ถนัดเื่การวิจัย จุดฝังเข็มนี้ก็เป็ท่านอาจารย์ของนางเจอเข้าโดยบังเอิญ ดังนั้นบนโลกนี้มีไม่กี่คนที่รู้
“โลกใบนี้ยังมีวิชาที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้เชียวหรือ?”
เชียนซวินจือลูบคางด้วยใบหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ข้าอยู่ในยุทธภพมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เ้าเป็เด็กหญิงอายุไม่กี่สิบปีไปรู้ได้อย่างไร ข้าอยากรู้ว่าเื่นี้ใครสอนเ้ากัน?”
ซูิเยว่ยกยิ้ม “ความลับเ้าค่ะ”
นางพูดแล้วก็หันไปมองพวกหลิงชวน “เช่นนั้นก็รบกวนองครักษ์หลิงชวนช่วยข้าหาเข็มทองมาหนึ่งเล่ม”
“ได้ ข้าจะรีบไปหาขอรับ” ใบหน้าของจิ่งฉือดีใจอย่างมาก
ก่อนหน้านี้พวกเขายังยืนทำหน้าเป็กังวลกันอยู่ แต่พอได้ฟังแผนการของซูิเยว่ตอนนี้แล้วถึงได้วางความกังวลในใจลง พวกเขารู้สึกซาบซึ้งซูิเยว่จากใจ
ส่วนเื่ความสัมพันธ์ของซูิเยว่กับจี๋โม่หาน พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่จะใกับเื่เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้
เพียงไม่นานจิ่งฉือก็เอาเข็มทองกลับมา จากนั้นก็ส่งไปให้ซูิเยว่ “นี่ขอรับพระชายา”
วินาทีที่ซูิเยว่ยื่นมือไปรับเข็ม นางก็ถูกคำเรียกว่าพระชายาทำเอาเกือบลื่นไถล
นางอ้าปากแล้วมองจิ่งฉืออย่างทำตัวไม่ถูก จากนั้นก็มองไปทางจี๋โม่หาน ตอนที่คิดจะพูดอะไรบางอย่าง จี๋โม่หานก็เหมือนจะเข้าใจความคิดในใจของนาง น้ำเสียงจึงแฝงไปด้วยความขบขัน
“ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะ เป็พวกเขาที่เรียกเอง”
ซูิเยว่รู้สึกแค่ว่ากกหูร้อนขึ้นมา นางกระแอมไอเสียงแห้งเพื่อกลบเกลื่อน พอสงบจิตใจแล้วก็หันไปมองจิ่งฉือพลางกล่าว “เ้าเรียกข้าเหมือนแต่ก่อนเถิด”
จิ่งฉือหัวเราะแหะๆ สองที “อีกไม่ช้าก็เร็วจะมีเื่นี้เกิดขึ้นขอรับ”
เมื่อเห็นว่าจี๋โม่หานมีคนที่ชอบแล้ว เขานั้นดีใจยิ่งกว่าใคร ์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาผู้ที่อยู่เฝ้าองค์ชายสามที่ทำหน้าเ็าอยู่แต่ในจวนอ๋องทั้งวันนั้นน่าเบื่อแค่ไหน
“แต่ว่า....” ซูิเยว่รู้สึกไม่เป็ตัวของตัวเองสักเท่าไร “มันเร็วเกินไปแล้ว”
เมื่อวานนางเพิ่งจะสารภาพความในใจกับจี๋โม่หานไปเอง
“เอาล่ะ จิ่งฉือ” ในที่สุดจี๋โม่หานก็พูดขึ้นเสียที เขารู้ว่าเบื้องหน้าซูิเยว่ดูเป็คนใจเย็น แต่ในด้านความรู้สึกแล้ว หากจิ่งฉือพูดอีกสองสามประโยค คาดว่าหน้าของนางก็คงจะแดงก่ำแล้ว “เ้าออกไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” จิ่งฉือวางถุงเข็มไว้ตรงหน้าซูิเยว่แล้ววิ่งออกไป
ซูิเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปลี่ยนความคิดมาที่เื่สำคัญ นางหยิบเข็มทองออกมาหนึ่งเล่มจากในกระเป๋า จากนั้นก็คุกเข่าด้านข้างจี๋โม่หาน
“องค์ชายสาม หม่อมฉันจะฝังเข็มทองนี้เข้าไปแล้ว อาจจะเจ็บเล็กน้อย ท่านอดทนหน่อยนะเพคะ”
“ไม่เป็ไร” จี๋โม่หานพูดด้วยใบหน้าเรียบ
ซูิเยว่ยกมืออีกข้างขึ้นลูบตรงซี่โครงด้านข้างของจี๋โม่หาน เมื่อหาตำแหน่งที่จะฝังเข็มเจอแล้ว นางก็หยิบเข็มทองขึ้นมาก่อนจะแทงเข้าไป
เข็มทองจะหนากว่าเข็มเงินเล็กน้อย พอเข็มยาวขนาดนั้นแทงเข้าไป จี๋โม่หานไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว
“เรียบร้อย” ซูิเยว่ยืนขึ้น “เ้านี่ไม่ส่งผลอะไรกับร่างกาย ถึงตอนนั้น หากฮ่องเต้ไม่เชื่อแล้วส่งหมอหลวงมาตรวจท่าน ท่านก็แค่แสร้งทำเป็ป่วยก็พอ รอจนพวกเขาวางใจแล้ว หม่อมฉันจะเอาเข็มออกให้”
“ได้ ลำบากเ้าแล้ว” จี๋โม่หานหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินน้ำชาให้ซูิเยว่หนึ่งแก้ว
“ไม่ลำบากหรอกเพคะ” ซูิเยว่นั่งลงข้างกายจี๋โม่หาน นางยกน้ำชาขึ้นมาดื่มก่อนจะพูดต่อ “ต่อไปก็พึ่งท่านแล้ว อ๋อ ใช่!”