ต้นไม้ใบหญ้ารับรู้ฤดูใบไม้ผลิ สายลมโชยผ่านสุขอุรา!
ดงไม้ไผ่เรียงราย ทำนองแห่งเจียงหนาน ศาลาน้ำที่สวยงามกลางลานบ้าน ซูจื่อเยี่ยกำลังพูดคุยกับเกาจิ่วอย่างไม่ได้ให้ความสนใจนัก
จิ้นเซี่ยวเหลือบมองคณะแสดงที่ร้องรำทำเพลงอยู่ตรงฟากดงไม้ไผ่ หางตากระตุกอย่างรุนแรง
ใบหน้าที่เคารพของเขานั้นดูเข้มขึ้น
ซูจื่อเยี่ยดูใจร้อนเล็กน้อย
“นายท่าน มีข่าวจากอั้นอี [1] พ่ะย่ะค่ะ!”
ซูจื่อเยี่ยยืดตัวขึ้น “ว่ามา!”
เสียงเยือกเย็นเหมือนบ่อน้ำในฤดูใบไม้ผลิ!
จิ้นเซี่ยวไม่กล้าคิดวอกแวกและรีบตอบ “ครอบครัวของนายท่านหลิว้าส่งเกี๊ยวดอกหยางไหวมาให้นายท่านชิม”
“อืม หากว่ามาเมื่อไร อย่าลืมเชิญมาพบข้า”
ซูจื่อเยี่ยหันไปเอ่ยกับเกาจิ่วด้วยน้ำเสียงเบาอีกครั้งว่า “เื่นั้นจัดการเช่นนั้นก่อน ให้คนไปจัดหาคณิกาชั้นสูงไม่กี่คนในเจียงหนานและทำตามแผน”
มุมปากของเขาฉีกยิ้มเยือกเย็น
“นายท่านมั่นใจได้ กระหม่อมจะจัดการให้เรียบร้อย และไม่ให้อีกฝ่ายสืบสาวมาถึงเราได้”
เกาจิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “นายท่าน ้าเก็บหลิวเหรินกุ้ยไว้อีกสักระยะหรือไม่?”
“หืม?” ซูจื่อเยี่ยเพียงแค่ปรายตามองเล็กน้อย แต่เกาจิ่วกลับรู้สึกถึงความเยือกเย็นที่แผ่ปกคลุมทั่วร่าง
เขารีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “นายท่าน บ้านคุณหนูรองกำลังจะจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่วันที่สิบแปดเดือนสาม กระหม่อมคิดว่าให้บ้านคุณหนูรองฉลองกันอย่างมีความสุขก่อน รองานฉลองจบลง ค่อยปล่อยหลิวเหรินกุ้ยไป”
ซูจื่อเยี่ยพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก
ขณะนี้ จิ้นเซี่ยวยังคงค้างอยู่ในท่าโน้มตัวทำความเคารพ เขาไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิด!
เมื่อเห็นว่าเ้านายของเขากําลังจะเพิกเฉยต่อตัวเอง จึงแอบมองไปที่เกาจิ่ว
เกาจิ่วยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “นายท่าน ท่านยายของคุณหนูรองหลิวซื้อที่ดินด้านตะวันตกของตำบล ซึ่งใช้เงินห้าสิบตำลึงที่จางอวี้เต๋อส่งมาให้”
“จางอวี้เต๋อเป็คนที่ห่วงใยครอบครัวเป็อย่างมาก ในอนาคตเ้าจะต้องไปมาหาสู่และต้องอยู่กับเขาอย่างปรองดอง”
จิ้นเซี่ยวรีบเอ่ยอยู่ด้านข้างว่า “นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ จางอวี้เต๋อผู้นั้นทำการค้าเก่งนัก เป็ถุงเงินของนายท่านเราในอนาคตเชียว!”
“หากว่าจางอวี้เต๋อเจริญรุ่งเรือง แน่นอนว่า ครอบครัวของคุณหนูรองหลิวก็จะดีขึ้น อาจารย์กัวในตำบลก็เคยชมเขา” เกาจิ่วพูดคล้อยตาม
จิ้นเซี่ยวไม่ใช่คนโง่ เมื่อเห็นว่าเกาจิ่วพูดวกไปวนมา เอาแต่เอ่ยชมสาวน้อยชนบทคนนั้น จึงรีบเอ่ยตาม “นายท่าน หรือไม่ กระหม่อมจะแอบไปสืบข่าวดู แล้วก็ นายท่านอาจจะลืมไปว่า เราพักอยู่ที่ที่พักของนายท่านเกาจิ่ว และไม่เคยบอกกับคุณหนูรองหลิว”
ดังนั้น...
ซูจื่อเยี่ยเหลือบมองเขาอย่างเ็า! หากเขาที่เป็นายจำไม่ได้ แล้วคนติดตามอย่างเ้าก็ไม่คิดเอะใจหน่อยหรือ?
จิ้นเซี่ยวกลืนน้ำลาย นี่กำลังบอกว่าตนเองทำการอย่างไม่ใส่ใจโดยละเอียดสินะ
“นายท่าน วางใจได้ กระหม่อมจะไปแอบดูที่ปากทางตำบลในวันรุ่งขึ้น แล้วก็ให้อั้นอีคิดหาวิธี ให้คุณหนูหลิวส่งเกี๊ยวมาให้นายท่าน”
จิ้นเซี่ยวไม่นับว่าโง่เกินไป เช่นนั้นก็ไม่ต้องลงโทษ
ซูจื่อเยี่ยโบกมืออย่างสบายๆ ให้เขาออกไปได้
จิ้นเซี่ยวโล่งใจ แต่ขณะที่กำลังจะเหยียดตัวตรง น้ำเสียงเยือกเย็นของซูจื่อเยี่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ช้าก่อน”
บรรพบุรุษตัวน้อย ข้าก็ทำคุณชดเชยแล้วมิใช่หรือ?
จิ้นเซี่ยวไม่กล้ารีรอ จึงรีบเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าลืมจัดเสื้อผ้าที่ข้าจะใส่ในวันรุ่งขึ้นให้ดีด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จิ้นเซี่ยวคิดกับตัวเองว่า ฤดูแห่งความรักของนายท่านมาถึงเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่?
เขาหวังว่าแม่สาวน้อยจะรีบเข้าใจเื่ระหว่างชายหญิงโดยเร็ว เพื่อให้นายท่านไม่ต้องอ้างว้างเดียวดายอยู่เป็พักๆ
แต่พอนึกถึงรูปร่างของหลิวเต้าเซียงแล้ว ช่างยากเย็น!
คงต้องรออีกนาน!
เช้าวันรุ่งขึ้น หลิวเต้าเซียงถูกความหอมหวนปลุกให้ตื่นพร้อมกับสลัดความง่วงทิ้งไป นางรีบลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องด้วยขาอันสั้น จากนั้นหลิวชิวเซียงที่อยู่ตรงประตูห้องครัวก็พูดหยอกล้อ “ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าขอเพียงหย่อนดอกหยางไหวลงไปลวก น้องรองต้องตื่นแน่นอน”
“ท่านพี่ ท่านล้อข้าอีกแล้ว ข้ารอมาตั้งนานเชียวนะ”
มนุษย์จิ๋วในใจของหลิวเต้าเซียงยกมือขึ้นคำนวณเวลาที่ข้ามมิติมา...
หลิวชิวเซียงหัวเราะเมื่อเห็นนางทำท่าดมกลิ่นดอกหยางไหวที่คลุ้งอยู่ทั่วบ้าน “ใช่ๆๆ เ้าแมวจอมหิวโหยของบ้านเรา คงจะอยากกินเกี๊ยวดอกหยางไหวแล้ว ท่านแม่บอกแล้วว่า บ้านเรากินตอนเช้า เมื่อนายช่างทั้งหลายมาก็กินบะหมี่ถ้วย อาหารเที่ยงค่อยทำเกี๊ยวดอกหยางไหวอีกครั้ง”
“ท่านพี่ กลิ่นดอกหยางไหวช่างหอมเหลือเกิน” ดวงตาคู่สวยของหลิวเต้าเซียงมีชีวิตชีวายิ่งนัก
หลิวชิวเซียงพูดไม่ออก หากนางรู้จักคําว่า ‘สายกิน’ ก็คงจะเอ่ยแซวหลิวเต้าเซียงสักที!
“วันนี้ท่านแม่ตั้งใจตื่นเช้าเพื่อไปซื้อหมูสามชั้นที่ปากทางหมู่บ้าน และห่อเกี๊ยวหมูดอกหยางไหวให้เรา ใช่สิ ท่านพ่อบอกว่าต้องทำเยอะหน่อย เพราะจะนำไปให้คุณชายซู แล้วก็เอาไปให้อาจารย์กัวและบ้านพ่อครัวจาง”
“ข้ารู้แล้ว เดี๋ยวข้าจะไปพร้อมกับท่านพ่อ ท่านพี่ ท่านจะไปด้วยกันหรือไม่ เราจะได้เดินเล่นกันด้วย”
ั้แ่หลิวเต้าเซียงย้ายออกจากบ้านหลังเดิม นางก็ได้กินอิ่มนอนหลับอย่างสบายใจเฉิบ หากไม่มีเื่อะไรก็มักจะออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนในหมู่บ้าน หรือไม่ก็ไปใช้เงินในตำบล
ชีวิตใน่นี้ผ่านไปอย่างไม่ต้องเอ่ยถึงว่าสนุกเพียงใด!
“เ้าน่ะ ถ้าให้ท่านแม่รู้อย่างละเอียดคงโดนด่าอีก ข้าไม่ไปล่ะ หากเ้าไปก็ช่วยข้าซื้อเส้นด้ายกลับมาด้วย ข้ารู้ว่าเ้ามีเงิน ฮ่าๆ เช่นนั้นข้าก็ไม่ให้เ้าแล้วนะ”
หลิวชิวเซียงยิ้มและแตะหน้าผากของนางเบาๆ
ในอดีตที่เคยวานให้หลิวเต้าเซียงซื้อของ นางก็มักจะเอาเงินให้น้องรอง แต่ปรากฏว่าเด็กน้อยดันงอแง
“สิ่งที่พี่สาวของข้า้า ต่อให้เป็ดวงดาวบนท้องฟ้า ข้าก็จะสอยมันลงมา”
หลิวชิวเซียงยิ้มและเอ่ย “เ้าน่ะ เป็หญิงเป็นางแต่กลับแก่นแก้วเช่นนี้ ต่อไป น้องเขยข้าคงต้องอยู่อย่างอดทน”
หลิวเต้าเซียงไม่ได้นึกละอายใจเช่นกันและพูดกับนางว่า “ท่านพี่ นี่ท่านอ่านรักแรกแย้มในตำรานิยายหรือ?”
“ปากเล็กๆ ของเ้านับวันยิ่งร้ายกาจ ฮึ ข้าไม่คุยกับเ้าแล้ว”
หลิวชิวเซียงหน้าแดงเขินอาย หันหลังกลับและวิ่งหนี
จางกุ้ยฮัวกำลังห่อเกี๊ยวในห้องครัว เสร็จแล้วจึงเรียกหาหลิวชิวเซียงให้ช่วยก่อไฟ
หลิวเต้าเซียงเห็นดังนั้นก็หัวเราะคิกคักและตอบรับคำพูดของมารดา “ท่านแม่ ข้าทำเอง ท่านพี่ไปเก็บเตียงห้องปีกตะวันตกแล้ว”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ หลิวเต้าเซียงก็อายเล็กน้อยเช่นกัน แต่นางเป็คนี้เีมากนี่นา!
ผ้าห่มฤดูหนาวนั้นมีน้ำหนักมากกว่าสิบชั่ง พวกนางไม่เคยพับผ้านวมหนักเช่นนี้ในชีวิต พับอย่างไรก็พับได้ไม่ดี
“เ้าไม่ได้พับผ้าห่มอีกแล้วสินะ” จางกุ้ยฮัวไม่ได้ตําหนินาง ไม่อยากพับก็ไม่ต้องพับ อีกไม่กี่ปีหากมีแรงค่อยสอนก็ยังไม่สาย
มิฉะนั้น คนจะพูดเอาได้ว่าแม่ลูกคู่นี้พ่ายแพ้!
หนอนี้เีในตัวหลิวเต้าเซียงคือสิ่งที่สองสามีภรรยาเลี้ยงขึ้นมาเอง
“ท่านแม่ หากบ้านเรามีเงินก็ซื้อเด็กรับใช้มาปรนนิบัติ คนหนึ่งยกน้ำชาให้ท่านแม่ คนหนึ่งนวดเท้าให้ อีกคนก็ป้อนอาหารให้ท่านแม่”
จางกุ้ยฮัวนั่งอยู่หน้าเตาเพื่อก่อไฟ ถึงกับขบขันกับภาพที่นางวาดให้ “มีแต่เ้าที่คิดได้เช่นนี้ รอมีเงินแล้วซื้อเด็กรับใช้มา เ้าจะได้ไม่ต้องฝึกพับผ้าห่มสิไม่ว่า”
หลิวเต้าเซียงคล้อยตามคำพูดนั้น จึงวิ่งไปโอบแขนของมารดาและออดอ้อน “ท่านแม่ ท่านเป็แม่ของข้าอย่างแท้จริง เพื่อให้ข้าได้มีชีวิตที่มีบุญมากกว่านี้ เราต้องเลี้ยงไก่กับหมูให้ดี”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ จางกุ้ยฮัวจึงถามอีกครั้งว่า “พันธุ์ลูกไก่ที่เ้าบอกจะเชื่อใจได้หรือไม่ หากว่าไม่พอจริงๆ ข้ากับพ่อเ้าปรึกษากันว่า เงินที่จะซื้อแผ่นหินก็เลื่อนออกไปก่อน ในหมู่บ้านเรามีบ้านหลังหนึ่งที่เลี้ยงแม่ไก่สองตัว และมีการเลี้ยงเพื่อทำการค้าพันธุ์ลูกหมู ถึงตอนนั้นแม่จะหน้าด้านไปขอค้างจ่ายก่อน เห็นแก่คนร่วมหมู่บ้าน นางคงให้ค่ายืมมาได้ก่อนบ้าง ข้าจะรับลูกหมูของนางไว้ทั้งหมด และจ่ายเงินเพียงครึ่งเดียวก่อน ที่เหลือก็ติดค้างไว้ ถึงอย่างไรนางก็น่าจะพึงพอใจ”
หลิวเต้าเซียงกะพริบตาคู่กลมโตและมองไปทางมารดาอย่างตกตะลึง ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?
จางกุ้ยฮัวดูเหมือนจะเข้าใจสายตาคู่เล็กของบุตรสาว จึงยื่นมือออกไปตบก้นเล็กๆ “ในละแวกนี้ก็ทำเช่นนี้ บ้านใครก็ต้องมี่ขัดสนกันบ้าง แล้วมีบ้านไหนที่ไม่เคยติดหนี้กันบ้างเล่า”
ปากเล็กๆ ของหลิวเต้าเซียงพูดคำว่าโอ นางไม่เคยรู้เื่นี้จริงๆ
คนสมัยใหม่อาศัยอยู่ในอาคารสูง ต่างคนต่างไม่รู้จักกัน แม้ว่าจะรู้จักบ้านตรงข้าม แต่ก็ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีก็คงปล่อยเช่าหรือขายไป ไม่รู้ว่าแต่ละคนจะไปอยู่ที่ไหน แล้วยังจะวาดหวังกับการยืมเงินจากเพื่อนบ้านได้หรือ?
ตื่นเถิด!
“เอาไป” จางกุ้ยฮัวสั่งให้หลิวเต้าเซียงทำงาน ช่วยก่อไฟ!
“ท่านแม่ ช่างไม่เกรงใจกันเลย!” หลิวเต้าเซียงทำหน้าขมขื่น นางยังคิดว่าตัวเองจะได้รอกินอย่างเดียวเสียอีก!
จางกุ้ยฮัวยิ้ม “เ้าพูดเองนะ แม่ไม่ได้รีบหรือบังคับเ้า”
นางชอบหยอกล้อบุตรสาวคนรอง
คิดว่าบุตรสาวคนโตอ่อนโยนขึ้นทุกวัน แต่ว่ารู้เื่เกินไป จางกุ้ยฮัว้าให้นางออดอ้อน แต่นางก็คงทำไมเป็!
ส่วนหลิวชุนเซียง?
ช่างเถิด นางยังเด็กเกินไป คงยังเป็เสี่ยวเหมียนอ๋าวที่เอาใจไม่ได้
หลิวเต้าเซียงก่อไฟอยู่หน้าห้องครัวอย่างตั้งใจ เพียงแต่ว่าหากไฟไม่แรงเกินไปก็คือเบาเกินไป
ยังดีที่ขอเพียงน้ำต้มให้เดือด จึงไม่สนว่าไฟจะแรงหรือเบา
เมื่อเกี๊ยวพร้อมแล้ว หลิวซานกุ้ยก็กลับมาพร้อมกับจอบ
หลิวเต้าเซียงจ้องมองพ่อผู้แสนดี แอบคิดว่าเขาต้องคำนวณเวลากลับมาเป็แน่
“หอมจัง กุ้ยฮัว ข้าเดาว่าเกี๊ยวที่เ้าห่อคงสุกแล้ว”
“ที่นาเป็เช่นไรบ้าง หลายวันนี้ข้าไม่มีเวลาไปที่นาเลย”
จางกุ้ยฮัวถามขณะที่กำลังใส่น้ำมันหมูลงไปในชามแต่ละถ้วย จากนั้นหยดซีอิ๊วขาวลงไปไม่กี่หยดแล้วโรยด้วยต้นหอม ตักน้ำแกงที่ต้มเกี๊ยวราดลงไป ในห้องครัวจึงมีแต่กลิ่นหอมของต้นหอมโชยมา
“ท่านแม่ เกี๊ยวของบ้านเราเสร็จแล้วหรือ?”
หลิวชิวเซียงตามกลิ่นหอมเข้าไปในห้องครัว
-----
เชิงอรรถ
[1] อั้นอี 暗一 ในย่อหน้านี้หมายถึงชื่อเรียกขององครักษ์สายลับของซูจื่อเยี่ย คำว่า อั้น暗 แปลว่าความมืด อี一 แปลว่าหมายเลขหนึ่ง ซึ่งในเื่สายลับทั้งหมดที่รับใช้ซูจื่อเยี่ยจะถูกเรียกตามหมายเลข เช่น อั้นอี(สายลับหมายเลข1), อั้นเอ้อร์(สายลับหมายเลขสอง) เป็ต้น
