ชิงอีเปิดประตูและออกไป เมื่อมองจากระยะไกลก็เห็นคนผู้หนึ่งนอนหลับลึกอยู่บนบัลลังก์ในลานตำหนักของตนเอง
“องค์หญิงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ”
เถาเซียงและต้านเสวี่ยเดินมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำ
ชิงอีส่งเสียงอืม ปล่อยให้พวกเขาล้างหน้าล้างตาและจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย จากนั้นจึงตรงไปที่ลานตำหนัก
ภายใต้แสงแดด สามารถเห็นได้ถึงไรขนบนใบหน้าหนุ่มน้อยได้อย่างชัดเจน หากไม่นับท่าทางการนอนที่อ้าปากกว้างอันแสนน่าเกลียด ถือว่าเป็ชายหนุ่มที่หล่อเหลาเลยทีเดียว
ชิงอีมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง “เขาอยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยหรือ?”
ต้านเสวี่ยพยักหน้าและพูดว่า “องค์รัชทายาททรงอุ้มองค์หญิงขี่หลังกลับมาเพคะ เอาแต่ตรัสไม่หยุดว่าทรงไม่ได้เป็ห่วง ทว่า ก็วางพระทัยไม่ได้อยู่ดีเลยประทับอยู่ข้างนอกทั้งคืน กว่าจะบรรทมฟ้าก็เกือบสว่างแล้วเพคะ”
“เอาน้ำมา”
เถาเซียงและต้านเสวี่ยมองกันและกัน จากนั้นจึงค่อยๆ หยิบกะละมังน้ำขึ้นมา
“ราดน้ำให้เขาตื่น”
สีหน้าของสาวน้อยทั้งสองเผยให้เห็นถึงความขมขื่น ทว่า เมื่อมองไปยังสีพระพักตร์ขององค์หญิงแล้วก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่ง จึงทำได้เพียงกัดฟันและเทน้ำในกะละมัง
“เฮ้ย!” ฉู่จื่ออวี้ะโโหยงขึ้นมาราวกับปลาคาร์พ มองไปทางซ้ายและขวาอย่างตื่นตระหนก ใช้เวลาอยู่นานกว่าสติของเขาจะกลับมา ดวงตาคมกริบมองไปยังนางกำนัลทั้งสอง
เถาเซียงและต้านเสวี่ยคุกเข่าลงบนพื้นด้วยเสียงตุ้บ “องค์รัชทายาท โปรดทรงยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะ!”
“พวกเ้าบังอาจนัก!”
“ข้าสั่งให้พวกเขาสาดเอง เ้ามีปัญหาอะไรหรือ?”
ฉู่จื่ออวี้ตะลึงงันไป และมองไปยังด้านข้าง ก็เห็นมีใครบางคนจ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“ท่านตื่นมาั้แ่เมื่อไร?”
“ก็ตอนที่เ้าหลับจนน้ำลายไหลไปทั่วพื้นนั่นแหละ”
ฉู่จื่ออวี้ยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าโดยไม่รู้ตัวกำลังจะปฏิเสธ ทว่า ก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่เขาเพิ่งประสบมาเมื่อครู่ขึ้นมาทันใด ใบหน้าหล่อเหลาก็แปรเปลี่ยนมืดมน “ฉู่ชิงอี ข้าเป็องค์รัชทายาทนะ! ท่านกล้าให้คนอื่นมาสาดน้ำใส่ข้าได้อย่างไรกัน!”
“อีกประเดี๋ยวข้าจะตีเ้าด้วย เชื่อหรือไม่?” ชิงอีจ้องมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม
เ้าเด็กน้อยนี่ช่างดื้อเสียจริง
“ท่าน...” ฉู่จื่ออวี้ระงับความโกรธลงเล็กน้อย เขาเชื่อ...
“พาองค์รัชทายาทไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” ชิงอีออกคำสั่ง
เถาเซียงและต้านเสวี่ยรีบลุกขึ้นจากพื้นทันที ฉู่จื่ออวี้ส่งเสียงฮึดฮัดก่อนที่จะเดินผ่านไป นางกำนัลทั้งสองเองเมื่อเห็นสีหน้าของเขาก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้เช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉู่จื่ออวี้ก็กลับมาพร้อมกับใบหน้ามืดมน
ในตำหนักเชียนชิวนี้ก็มีคนเพียงไม่กี่คน ชิงอีเองก็ไม่มีเสื้อผ้าผู้ชาย ตอนนี้จึงทำได้แค่บอกให้ชิวอวี่ไปยืมเสื้อผ้าจากองครักษ์มาให้เขาใส่ก่อน และมันเป็เื่ที่น่าอายสำหรับองค์ชายอย่างเขาเสียจริง
ฉู่จื่ออวี้ที่เดินเข้ามา เมื่อเห็นนางกลับมามีพลังเต็มเปี่ยมก็รู้สึกโล่งใจ
ขณะที่กำลังจะพูด จู่ๆ นางก็ยกมือขึ้นมาและโยนสิ่งของสองสิ่งให้เขา
ฉู่จื่ออวี้เอื้อมมือออกไปหยิบมัน และมันคือลูกปัดไข่มุกขนาดใหญ่หนึ่งเม็ดและขนาดเล็กหนึ่งเม็ด เขามองไม่ออกว่ามันคืออะไร รู้เพียงแค่เมื่ออยู่ในมือที่อบอุ่นกลับรู้สึกได้ถึงความสบาย “นี่คืออะไร?”
ชิงอีเหลือบมองไปที่ไข่มุกบุญกุศล และพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าหยิบมันขึ้นมาจากข้างถนนน่ะ เหมาะกับเ้าดีนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่จื่ออวี้ถึงกับอยากจะโยนทิ้ง
ไม่ไกลมากนัก ดวงตาของเ้าแมวอ้วนก็เกือบจะถลนออกมา อ้าปากกว้างและเตรียมพร้อมที่จะพูดแทรกนาง
“ถวายบังคมเซ่อเจิ้งอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเสียงขององครักษ์ดังขึ้น นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซียวเจวี๋ยก้าวเข้ามา
วันนี้เขาแต่งกายด้วยชุดราชสำนัก ปักลายัสี่กรงเล็บบนเสื้อคลุมสีคราม พร้อมกับกวานบนผมยาว ดูแล้วสง่างามและดุดันกว่าในวันที่ผ่านๆ มา
เมื่อพูดถึงออร่าของชายหนุ่มผู้นี้แล้วมักจะเหลือล้นอยู่เสมอ ทว่า หากพูดถึงความน่าเกรงขามจริงๆ ละก็ ฉู่จื่ออวี้ที่ยืนอยู่ข้ากายก็เหมือนกับลูกวัวแรกเกิดตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ
“พี่ใหญ่เซียว ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?” ฉู่จื่ออวี้ถามด้วยความประหลาดใจ
“วันนี้องค์รัชทายาทไม่เสด็จไปราชสำนักในตอนเช้า กระหม่อมไม่สบายใจเลยมาที่นี่” เซียวเจวี๋ยพูด พร้อมกับสายตาที่เป็ประกายเมื่อมองไปยังไข่มุกบุญกุศลในมือ และก้มลงมองบนชุดของเขา จากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “คนในวังทางตะวันออกบอกว่าเมื่อคืนองค์รัชทายาทไม่เสด็จกลับตำหนัก”
ฉู่จื่ออวี้ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย ไม่กล้าที่จะสบตาเขาตรงๆ พูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ข้า...”
เซียวเจวี๋ยขมวดคิ้ว “องค์รัชทายาท แม้ว่าองค์หญิงใหญ่กับท่านจะประสูติมาจากพระมารดาเดียวกัน ทว่า สุดท้ายแล้วชายหญิงมีความแตกต่างกันอย่างเคร่งครัด อีกทั้งที่นี่คือวังหลัง เพื่อชื่อเสียงของตัวท่านเองและองค์หญิงแล้ว ท่านไม่ควรอยู่ที่นี่ด้วยกัน”
ฉู่จื่ออวี้พยักหน้า เมื่อกำลังจะเปิดปากพูด ก็มีใครบางคนมาคว้าปกคอเสื้อไป เป็ร่างสวยงามที่ปรากฏขึ้นจากข้างหลัง
“น้องชายของข้า ท่านมีสิทธิ์มาสั่งสอนได้ั้แ่เมื่อไรกัน?” ชิงอีจ้องมาที่เขาอย่างเ็า “เซ่อเจิ้งอ๋อง วางอำนาจบาตรใหญ่ที่จวนของตนเองไม่พอหรือไร ตอนนี้ถึงได้มายุ่งกับองค์รัชทายาทด้วย? หรือว่าในภายภาคหน้า หากเขาขึ้นครองบัลลังก์ก็ยังต้องคำนับท่านด้วยสินะ?”
สีหน้าของเซียวเจวี๋ยที่เฉยเมย พร้อมกับสายตาที่มองนางมาด้วยความเ็า “เช่นนั้นหากเป็ไปตามที่องค์หญิงตรัส ไม่ว่าจะถูกหรือผิด หรือทั้งหมดจะเป็พระราชประสงค์ขององค์รัชทายาทหรือไม่ กระหม่อมทำได้แค่เพียงคล้อยตาม ถึงจะเป็หน้าที่ของกระหม่อมใช่หรือไม่?”
“เหตุใดข้าต้องไปสนใจหน้าที่ของเ้าด้วยล่ะ? สุนัขของข้า จะตีจะด่าก็มีเพียงข้าผู้เดียวที่สามารถทำได้” ชิงอีหัวเราะเยาะเย้าออกมา
ฉู่จื่ออวี้ที่อยู่ข้างๆ ยังไม่ทันได้มีความสุข เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองถูกเปรียบเทียบกับสุนัข เขากำลังที่จะโต้เถียงกลับไป ก็โดนตบเข้าที่หน้าผากเสียก่อน
“โอ๊ย! ตีข้าทำไม!”
“ทำเื่ขายหน้าจนคนนอกต้องมาสั่งสอน เ้ายังจะมีหน้ามาโวยวายอีกหรือไร?!” ชิงอีเตะก้นของเขาอีกครั้ง “กลับไปที่วังฝั่งตะวันออก จากนั้นก็หันหน้าเข้ากำแพงแล้วคิดเกี่ยวกับมันซะ ต่อไปหากกล้าที่จะมาตำหนักเชียนชิวของข้าโดยไม่มีเื่อะไรอีก และหากว่าเห็นเ้า เ้าโดนตีแน่!”
ฉู่จื่ออวี้ที่ถูกนางตีจนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากโต้ตอบกลับนะ ทว่า ใครจะไปรู้ว่าชิงอีจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ และมันก็น่าใจนทำให้เขาไม่มีแรงที่จะสู้กลับ สุดท้ายจึงทำได้เพียงหลบอยู่ข้างหลังเซียวเจวี๋ย และขอความช่วยเหลือจากพี่เขยในอนาคต
“เ้าโง่ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ...”
ชิงอียกมือทั้งสองขึ้นสูงและพยายามดึงเขาออกมา ทว่า จู่ๆ ก็ถูกจับเอาไว้ พร้อมกับการเผชิญหน้ากับใบหน้าที่หล่อเหลาของเซียวเจวี๋ย
ราวกับว่าถูกกดปุ่มหยุดชั่วคราวไปชั่วขณะ
ดวงตาของเขาสบเข้ากับนางอย่างจัง เพียงชั่วพริบตาก็เผยให้เห็นถึงสิ่งที่น่าประหลาดใจบางอย่างใน่เวลาหลายพันปี ไม่ว่าจะพูดอย่างไรใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดเช่นนี้ยังคงดูงดงามและน่าทึ่ง เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเขา หัวใจของชิงอีก็กลับเต้นรัวอย่างอธิบายไม่ถูก...
รู้สึกเหมือนตัวเองเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง
คุ้นเคยเป็อย่างมาก!
ทว่า นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก!
“หยุดซนได้แล้ว” น้ำเสียงของเซียวเจวี๋ยทุ้มต่ำเล็กน้อย ทว่า เมื่อฟังแล้วกลับดูหมดหนทาง และรอยยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็น
บางที...แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้
เซียวเจวี๋ยมองไปที่นาง พลางคิดว่านิสัยถือหางปกป้องเช่นนี้ ไม่รู้ว่านางไปได้มาจากใครกัน?
ทว่า ดูเหมือนนางจะเห็นว่าฉู่จื่ออวี้เป็น้องชายของนางจริงๆ เมื่อวานก็ช่วยฮ่องเต้เหยียนเพื่อเด็กคนนั้นเช่นกัน แม้แต่ไข่มุกบุญกุศลที่ได้มาก็ยังยกให้เขาอีก
เวลาชั่วช้าสามานย์อย่างสุดขีด แวบแรกก็มองออกว่านางคือน้องสาวของเย่เหยียน
ทว่า อย่างไรก็ตาม...
ดวงตาของเซียวเจวี๋ยสั่นไหวเล็กน้อย จู่ๆ ก็หวังว่าทั้งภายนอกและภายในของนางก็คงเหมือนกัน มันไม่ได้ทำให้คนอื่นประหลาดใจหรือ...แปลกขนาดนั้น
ทว่า ก็อดไม่ได้ที่อยากให้...อยากให้รู้จักมากขึ้น...
นางเป็คนแบบไหนกันแน่? หรือต้องพูดว่าเป็ผีแบบไหน?
ในขณะที่บรรยากาศน่าอึดอัด ทันใดนั้น จิ๋วกุ่ยก็วิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน
“องค์หญิง องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ! ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าา ฝ่าา ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อฟื้นแล้วงั้นหรือ!” ฉู่จื่ออวี้รีบออกไป
“ยังไม่ปล่อยมือข้าอีก” ชิงอีจ้องเขาอย่างเ็า
ทันทีที่เซียวเจวี๋ยปล่อยมือ สีหน้าก็กลับไปไม่แยแสดังเดิม “ในเมื่อฝ่าาทรงฟื้นแล้ว เช่นนั้นข้าเองก็ขอตัวลาก่อนเช่นกัน”
ชิงอีมองดูเขาเดินออกไปข้างนอก ทันใดนั้น ก็นึกถึงพลังที่ตนเองใช้ไปได้ และตอนนี้โอกาสก็มาถึงที่แล้ว!
“เซียวเจวี๋ย!”
ในขณะที่ชายตรงหน้ากำลังจะหันหลังกลับ ชิงอีตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะวิ่งเข้าไปจูบอย่างรุนแรงอีกครั้ง
“พี่หญิง!” องค์รัชทายาทที่จู่ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง
ชิงอีที่หยุดฝีเท้า จนเกือบหกล้มหน้าคะมำ
เมื่อเซียวเจวี๋ยหันกลับมาเห็นท่าทางของนาง ก็มีรอยยิ้มที่ยากจะสังเกตได้พาดผ่านในดวงตา เมื่อครู่นางเรียกเขาเพื่อจะทำอะไรกัน
ในใจของชิงอีเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง โอ๊ย! ไอ้เด็กเวรนี่สมควรตายจริงๆ! กลับมาช้ากว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?
