หลังจากพูดจบ เขาคิดแล้วเอ่ยอีก “สั่งให้คนเลี้ยงดูให้ดี ข้าจะนำกลับไปเมืองหลวงด้วย”
ขณะที่พูด ในใจของเขาก็ปรากฏภาพใบหน้ายิ้มแย้มที่กำลังนับเงินของแม่สาวน้อย ถึงกับกลั้นทำหน้าเข้มไม่ไหวอยู่ชั่วขณะ
เกาจิ่วแอบเห็นการแสดงออกของผู้เป็นาย ไตร่ตรองว่าหลังจากกลับไปต้องไปกำชับแม่เฒ่าจางอีกรอบ บอกให้นางต้องทำการค้ากับแม่สาวน้อยคนนั้นอย่างดี
“เกาจิ่ว เ้าอยู่ที่นี่คุ้นชินหรือไม่
เกาจิ่วได้รับความโปรดปรานพลันใ ผู้เป็นายที่เ็าจนเคยตัวกลับเป็ห่วงเป็ใยผู้อื่น
“เรียนนายท่าน กระหม่อมคุ้นชินแล้วขอรับ ขอเพียงนายท่านมีรับสั่ง จะให้กระหม่อมขึ้นเขาลงห้วยลุยไฟเช่นใดก็จะไม่โอดครวญ”
“เอาเถิด เก็บคำพูดของเ้าไว้” ซูจื่อเยี่ยไม่ได้ซาบซึ้งกับคำพูดของเขา
“ขอรับ กระหม่อมแค่เคยชินน่ะ จึงเก็บคำพูดไม่ทัน” นิสัยของคนอย่างเกาจิ่ว เห็นคนก็พูดภาษาคน เห็นผีก็พูดภาษาผี
ซูจื่อเยี่ยถูกใจตัวเขาในจุดนี้ ถึงได้วางให้เขาอยู่ในตำแหน่งนี้
“ข้าได้ยินมาว่าเหรัญญิกของเ้าทำงานไม่ค่อยสะอาดบริสุทธิ์หรือ?”
ทันทีที่คําพูดเหล่านี้ออกมา เกาจิ่วรู้สึกราวกับมีูเาใหญ่กดทับอยู่ หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา
พร้อมกับก่นด่าสาปแช่งหลิวเหรินกุ้ยในใจ
สีหน้าของซูจื่อเยี่ยดูนิ่งมากจนเมินเฉยใบหน้าหล่อเหลาของเขา
“เ้ามองว่าคนผู้นี้เป็เช่นไร?”
“นายท่าน กระหม่อมเห็นว่านิสัยของเขานั้นคล้ายกับกระหม่อมอยู่บ้าง การเป็เหรัญญิกต้องรู้จักอ่านสีหน้าคนเป็ ต้องแก้สถานการณ์ได้ไหลลื่น และไม่ทำให้ผู้ใดเคืองโกรธ โรงเตี๊ยมจึงเปิดได้ต่อ” เกาจิ่วแบกรับความกดดันที่มาจากซูจื่อเยี่ย และตอบตามความเป็จริง
ซูจื่อเยี่ยได้ยินดังนั้นและพินิจอีกรอบ หากว่าหลิวเหรินกุ้ยสูญเสียตำแหน่งงานนี้ เกรงว่าเขาคงต้องพาทั้งครอบครัวกลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลหลิวในบ้านนอก ถึงตอนนั้น จะไม่ใช่การที่เขาช่วยหลิวเต้าเซียงขจัดอุปสรรค หากแต่เป็การเพิ่มอุปสรรคใหญ่หลวงต่างหาก
พอนึกถึงท่าทีที่แผ่ขนซู่ของนาง หากว่านางรู้เข้า เกรงว่าคงใช้มีดมาฟันเขาทั้งเป็แน่นอน
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ซูจื่อเยี่ยก็ไม่สบายใจนัก ถึงอย่างไรก็มิอาจให้ ‘คนของตน’ ได้รับความลำบาก
“คิดว่าหากไล่เขาออกไป เ้าคงหาคนไม่ได้ในทันที หรือไม่เช่นนี้ก็แล้วกัน ปล่อยให้เขาทำงานไปก่อน ส่วนนิสัยชอบลักของติดไม้ติดมือ เ้าไปจัดการเอง อีกอย่าง ก่อนที่ข้าจะให้สัญญาณ ปล่อยให้เขาอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้ไปก่อน ถึงอย่างไรก็ยังได้ค่าแรงหนึ่งถึงสองตำลึง เห็นทีเขาคงไม่กล้าทิ้งงานนี้ไป”
เกาจิ่วเข้าใจทันที ไม่รู้ว่าหลิวเหรินกุ้ยคนนี้ไปทำให้นายท่านเคืองโกรธได้อย่างไร
“ขอรับ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”
“ข้าไม่ค่อยชอบคนผู้นี้เท่าใด คนที่ไม่ถนอมรักใคร่แม้กระทั่งคนในครอบครัว ส่วนมากแล้วมักเป็ผู้ที่ไร้น้ำใจ เ้าต้องระวังให้มาก อย่าได้ปล่อยให้ล่มจมเพราะเขา”
เกาจิ่วตื่นตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ซูจื่อเยี่ยกําลังบอกใบ้เขา ในโรงเตี๊ยมมีลูกค้าประจำมากขึ้น อย่าได้ปล่อยให้ถูกหลิวเหรินกุ้ยโน้มน้าวไป แม้ว่าจะถูกโน้มน้าวไป ก็ต้องไม่ใช่ลูกค้าประจำ
เมื่อคิดถึงเื่นี้ เขาก็ตระหนักว่าเขาไม่ได้ไปที่โรงเตี๊ยมมาระยะหนึ่งแล้ว
นายท่านกำลังเตือนตนเองอยู่หรือ?
“นายท่าน วางใจได้ขอรับ จากนี้กระหม่อมจะไปโรงเตี๊ยมบ่อยกว่านี้”
ซูจื่อเยี่ยพยักหน้าและพูดว่า “หลักสำคัญคือรสชาติ ความหอม สีสันของอาหาร หากว่าทำสิ่งเหล่านี้ได้ดี จึงจะสามารถสะกดกระเพาะของลูกค้าที่มาได้ และจะยิ่งได้ข่าวคราวมากขึ้น”
“ขอรับ นายท่านรับสั่งให้กระหม่อมอยู่ที่แห่งนี้ เพราะเชื่อในความสามารถของกระหม่อม กระหม่อมจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง”
ซูจื่อเยี่ยพอใจมากกับคําตอบของเขา หลังจากตอบรับก็ไม่ได้เอ่ยถึงเื่นี้อีก จากนั้นหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาแล้วพูดคุยกันเื่อื่น
ส่วนหลิวเต้าเซียง ในขณะนี้กำลังแบกเงินด้วยความสุขใจแล้วเดินอ้อยอิ่งไปตามถนน ขายหนููเาได้มาแปดตำลึง หักของซูจื่อเยี่ยไปหนึ่งครึ่ง นางยังมีสี่ตำลึง บวกกับที่มีเก็บก่อนหน้านี้ แล้วหักหนึ่งอีแปะที่จะนั่งรถเข็นวัวขากลับ ทั้งหมดมีอยู่เจ็ดตำลึงกับหนึ่งร้อยห้าสิบห้าอีแปะ
การมีเงินคือสิ่งที่ดี เวลาเยื้องย่างก็เริ่มมีมาดคนมีเงินขึ้นมา
หลิวเต้าเซียงคิดว่าในอีกหนึ่งเดือนจากนี้ นางจะสามารถกอดเงินนอน แค่คิดก็มีอารมณ์เบิกบาน
เมื่อมีเงิน ไม่ว่าจะไปอยู่ในร่างของยายเฒ่าวัยเจ็ดสิบหรือแม้กระทั่งเป็เด็กเจ็ดขวบอย่างหลิวเต้าเซียง ก็คิดอยากเที่ยวเตร็ดเตร่ จากนั้นก็จับจ่ายซื้อของที่อยากได้
ตอนนี้คือเดือนพฤษภาคม หลิวเต้าเซียงกำลังคิดอยากซื้อผ้าฝ้ายบางเพื่อตัดชุด ทำเป็ชุดที่สวมใส่เบาสบาย แล้วก็เอาผ้าลินินมาทำเป็มุ้งกันยุง
ข้ออ้างนั้นคิดไว้อยู่แล้ว ซึ่งก็คือเงินสองตำลึงที่ได้มาจากหลิวฉีซื่อ
คราวนี้ หลิวเต้าเซียงนั้นมาเพื่อซื้อของชิ้นใหญ่ เดิมทีอยากซื้อผ้าฝ้ายกลับไปทำผ้าห่ม นางอิจฉาหลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลันที่มีผ้าห่มหนานุ่มไว้ห่มมานาน
ดังนั้นเมื่อสอบถามเ้าของร้านที่มองนางด้วยหางตา “เด็กขอทานมาจากไหน ผ้าฝ้ายเป็สิ่งที่เ้าซื้อได้หรือ? ฮึ ถึงซื้อก็คงซื้อได้ไม่ถึงครึ่งกิโลกรัม”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นจึงโมโห ดูถูกกันเกินไปแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นบอกข้าหน่อยว่า ผ้าฝ้ายนั้นราคาเท่าไร”
“เหอะ บ้านนอกก็คือบ้านนอก ตรงประตูก็มีบอกไม่ใช่หรือ? ดูท่าเ้าคงไม่รู้ตัวหนังสือสินะ” เถ้าแก่เนี้ยได้ใจยิ่งนัก
นางจงใจเดินไปที่กระดาษสีเหลือง ชี้ไปที่คําพูดบนกระดาษนั้นและพูดว่า “เป็คำสั่งจากราชสำนัก ผ้าฝ้ายมีราคากำหนดตายตัว ห้ามต่อรองราคา ให้อิงตามราคานี้ สามตำลึงต่อครึ่งกิโลกรัม”
ดั่งสายฟ้าฟาดเข้าให้!
หลิวเต้าเซียงมึนงงราวกับไหม้ไปทั้งตัว
จากนั้นนางก็ได้สติ ตนเองนั้นคิดง่ายดายเกินไป
ที่แห่งนี้มีผลการผลิตที่ต่ำ นางไม่สามารถเอาค่าครองชีพในโลกปัจจุบันมาเปรียบเทียบได้
หลิวเต้าเซียงอารมณ์ไม่ดียิ่งนัก เหตุใดผ้าฝ้ายถึงได้แพงเช่นนี้ แล้วที่นอนที่หนานุ่มล่ะ!
“เซียงเซียง อย่าเพิ่งท้อใจไป อีกหนึ่งเดือนให้หลัง คุณก็ซื้อได้แล้ว” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดปลอบใจนาง
หลิวเต้าเซียงเดินออกจากร้านขายฝ้ายและถามสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดอย่างเงียบๆ “ที่ของนายสามารถแลกผ้าฝ้ายได้หรือเปล่า? ใช้ไข่กับไก่”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดได้ยินดังนั้นก็ใจเต้น เพียงแต่ว่า ตอนนี้อำนาจของมันยังไม่เพียงพอ
“เซียงเซียง พยายามเข้า ต้องมีสักวันที่คุณทำเป้าหมายนี้ให้เป็จริงได้”
พวกหลอกลวงกันจริงด้วย หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็เบะปาก “รอให้ฉันทำเป้าหมายให้เป็จริงได้ สู้เอาเงินไปซื้อดีกว่า”
“เซียงเซียง คุณคิดผิดแล้ว ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือ ห้วงมิติเพาะเลี้ยงนั้นเป็โบนัส ผ้าฝ้ายนั้นมีอยู่แล้ว ผมขอเพียงต้องเลื่อนอีกแค่หนึ่งระดับเท่านั้น”
เมื่อหลิวเต้าเซียงได้ยินมันพูดแบบนี้ อารมณ์ของนางก็ดีขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นนายเลื่อนระดับหนึ่งขั้นต้องใช้เวลาแค่ไหน” เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกผิดปกติ จึงเอ่ยถามอีก “นายบอกมาตามตรง ต้องใช้อีกกี่แปลง”
“ยี่สิบแปลงครับ” เสียงของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดฟังดูอ่อนแรง
“นายไม่ไปแย่งมาเลยล่ะ” หลิวเต้าเซียงเกือบจะกระอักเื ยี่สิบแปลง นางต้องเลี้ยงไก่ไปถึงชาติปางไหน
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดกลัวว่านางวู่วามแล้วจะทำอะไรไม่ดี จึงรีบโน้มน้าว “อันที่จริงก็ไม่ยากครับ เซียงเซียง คุณลองคิดดู ตอนนี้คุณได้รับมาสองแปลง หนึ่งเดือนหลังจากนี้ ขอเพียงหนึ่งเดือนผ่านไป คุณสามารถเอาไข่กับไก่มาแลกพื้นที่เพาะเลี้ยงได้อีก สองเดือนจากนี้ จำนวนไข่ก็จะทวีคูณขึ้นมาไม่น้อย รอจนเดือนสาม ก็จะมีพื้นที่ขยายใหญ่กว่าสองเดือนแรก จากนั้นพื้นที่ของคุณนับวันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมายที่คุณ้าก็จะง่ายดายยิ่งขึ้นนะครับ”
สัตว์ปีศาจที่ดูไม่น่าเชื่อถือ พูดราวกับว่าทุกอย่างสมเหตุสมผลมาก
กระนั้นหลิวเต้าเซียงก็กำมือ ตัดสินใจตามนี้อย่างแน่วแน่ พยายามขยายพื้นที่ให้กว้าง
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดแอบปาดเหงื่อ การหลอกล่อให้นางพยายามเป็หญิงสาวชนบทที่ขยันหมั่นเพียรช่างไม่ง่ายดาย
ความคิดที่อยากได้ผ้าฝ้ายของนางเป็อันต้องพักไว้ก่อน
นางที่เดินคอตกแบกตะกร้าเดินผ่านร้านขายผ้าไป แต่ก็ทนต่อความน่าดึงดูดไม่ไหวจึงเลี้ยวเข้าไปดู แล้วคิดในใจว่าแค่เข้าไปส่อง ปรากฏว่าพอถามราคาก็คือ ผ้าฝ้ายละเอียดหนึ่งเมตรต้องใช้เงินหนึ่งอีร้อยอีแปะ
หลิวเต้าเซียงเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่น่าแปลกใจเลย เสื้อผ้าโปรดที่หลิวฉีซื่อชอบสวมใส่คือผ้าฝ้ายชั้นดี ชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะสวมใส่ได้
นางเองก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจางกุ้ยฮัวจึงต้องใส่แต่ชุดกระโปรงผ้าลินิน
คราวนี้ ความคิดเื่ผ้าฝ้ายของนางจึงต้องพักไว้จริงจัง
“เซียงเซียง นี่แค่เดือนพฤษภาคม ยังห่างจากเดือนมิถุนายนอีกตั้งหนึ่งเดือนไม่ใช่หรือ? พยายามเลี้ยงไก่ ผ้าฝ้ายอีกเดี๋ยวก็ได้แน่นอนครับ”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดปลอบโยนหัวใจของนาง
เดิมทีเข้าใจว่าในโลกยุคโบราณที่นาคือสิ่งที่แพงที่สุด ใครจะคิดว่า ผ้าฝ้ายก็แพงมากเช่นกัน
“นั่นสิ เ้าสัตว์ปีศาจนายพูดถูก ผ้าที่แพงถึงขั้นนี้ ต้องมีเงินมากจริง ถึงจะมีปัญญาใส่ได้”
หลิวเต้าเซียงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าตัวเองรีบร้อนเกินไป
หลังจากผ่านไปแค่สองเดือน ก็คิดอยากมีบ้านมุงหลังคากระเบื้อง มีรถม้า นับว่าเป็เื่ไม่สมจริง
“เซียงเซียงนั้นมองโลกในความเป็จริงมากครับ พยายามเข้า เราต้องช่วยกันเลี้ยงไก่ให้ตัวอ้วนพี” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดให้กำลังใจนางอีกรอบ
“ช่างเถอะ เราไปซื้อกระดูกดีกว่า มันมีสารอาหารบำรุงดีมากเลย ไปช้ากลัวจะหมดเสียก่อน”
หลิวเต้าเซียงคิดได้ดังนั้นจึงรีบเร่งฝีเท้า
มีแผงขายเนื้อสัตว์เพียงสามหรือสองร้านในเมือง ตอนนี้อากาศนับวันยิ่งร้อนขึ้น ร้านขายเนื้อเหล่านี้เปิดเพียงครึ่งวัน ผ่าน่บ่ายไปอากาศร้อนเกินไป พวกเขาไม่้าขาย เนื่องจากหากขายไม่หมด เนื้ออาจจะเสีย ส่วนใหญ่แล้วเมื่อถึง่บ่ายก็จะเก็บร้านกลับบ้าน
โชคดีที่มีร้านขายของชําเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากบ้านของแม่เฒ่าจางและมีแผงขายเนื้ออยู่หน้าร้าน
หลิวเต้าเซียงชั่งกระดูกและจ่ายไปเสร็จสรรพห้าสิบอีแปะ
หัวใจที่ไม่ได้ผ้าฝ้ายมาเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย
หลังออกจากร้านขายของชํา ก็ได้ยินเ้าของแผงที่อยู่อีกทางะโว่า “ขายเนื้อตุ๋น เนื้อตุ๋นหาทานได้ยากมาแล้วจ้า”
คงเป็เพราะเนื้อวัวเพิ่งตุ๋นเสร็จ เพราะตอนนี้คนมาจับจ่ายซื้อผักก็กลับไปพอสมควร บนถนนคนไม่ได้เยอะมากนัก เมื่อได้ยินเสียงป่าวร้องของเขา ก็ล้อมวงกันเข้าไปสามสี่คน
“พ่อค้า เนื้อนี่ขายอย่างไร”
เมื่อพ่อค้าเห็นว่ามีลูกค้ามา ก็เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ไม่แพง สี่สิบอีแปะต่อครึ่งกิโลกรัม”
ผู้ชายคนหนึ่งมาล้อมวงอยู่ ดวงตาจดจ้องเนื้อวัวนั้น พร้อมกับกลืนน้ำลาย และเอ่ย “ไม่แพง ไม่แพง พ่อค้า ข้าซื้อห้ากิโลกรัม”
“ข้าจะขอห้ากิโลกรัมด้วย” ชายอีกคนข้างๆ เขาะโอย่างกระตือรือร้นและเสริมว่า “จะได้เอาเป็กับแกล้มเหล้าด้วย”
หลิวเต้าเซียงรู้มาว่าราชวงศ์โจวนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าวัวตามใจชอบ
ที่บ้านของตนเองก็ไม่มีทางก่อไฟต้มเนื้อได้ ซื้อเนื้อตุ๋นกลับไปไว้ในบ้านคงเป็การดีกว่า
“พ่อค้า พ่อข้าได้ยินท่านป่าวร้อง บอกว่าเขาเองก็้าห้ากิโลกรัม จะได้เอาไปกินกับแกล้มเหล้า”
เสียงที่คมชัดของนางฟังดูไพเราะยิ่งขึ้นท่ามกลางเสียงผู้ชายที่หยาบกร้าน
คําพูดของนางไม่ได้กระตุ้นความสงสัยของชายที่หยาบกร้านเหล่านี้ แต่กลับทำให้คนทั้งหมดหัวเราะ
แล้วยิ่งหยอกล้อนางอย่างร่าเริง “นี่ สาวน้อย คงไม่ใช่เ้าอยากกินและเกลี้ยกล่อมให้พ่อของเ้าเอาเงินมาซื้อหรอกนะ”
หลิวเต้าเซียงหน้าแดงเล็กน้อย จริงๆ ใช้มุกพ่อแบบนี้ก็ไม่ได้ใช้ง่ายทุกครั้ง
“ไม่ใช่ พ่อข้า้าเอาเป็กับแกล้มดื่มเหล้า พอได้ยินเสียงป่าวร้อง หนอนเหล้าในกระเพาะของพ่อข้าก็เริ่มงอแง”
คำพูดของนางได้รับความเห็นพ้องจากผีเหล้าทั้งหลายแหล่นี้
-----
