ในการแสดงร้องรำทำเพลง มีสตรีจำนวนไม่น้องที่ดึงดูดสายตาของผู้คนที่มาร่วมงาน
ไป๋หว่านหนิงก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
ในฐานะที่เป็บุตรีที่ไป๋เสียนอันรักและเอ็นดูมากที่สุด ไป๋หว่านหนิงจึงมีอาจารย์สอนการร่ายรำให้นางโดยเฉพาะ และนางก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ทักษะการร่ายรำของนางนับว่างดงามอย่างหาตัวจับได้ยาก
เอวอ่อนราวกับไร้กระดูกดูเข้ากันดีกับชุดกระโปรงยาวสีเขียวน้ำทะเล ผู้คนย่อมอดใจไม่ไหวที่จะตรึงสายตาไว้บนร่างกายของนาง
ไป๋หว่านหนิงเพลิดเพลินกับสายตาที่จับจ้องมา โดยไม่ทันสังเกตเห็นความรังเกียจในแววตาของฮั่วิเชินแม้แต่น้อย
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจะเป็ไท่จื่อเฟยในอนาคต ทว่ากลับแสดงการร่ายรำให้ผู้อื่นดูราวกับเป็นางระบำก็ไม่ปาน
หากฮั่วิเชินไม่โมโหก็คงแปลก
“พี่สะใภ้ ท่านประลองกับข้าดีหรือไม่เ้าคะ?”
โหยวพิงถิงดึงแขนของไป๋เซี่ยเหอราวกับเป็กระต่ายขาวตัวน้อย ท่าทีของนางดูขลาดกลัว
เมื่อเห็นสายตาวิงวอนของอีกฝ่าย ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจปฏิเสธได้
“ประลองศาสตร์ทั้งสี่น่ะหรือ? ข้าทำไม่เป็หรอก”
เดิมทีนางก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว จึงไม่กลัวคนดูถูก เพราะสิ่งที่นางทำได้ก็ไม่เห็นว่าคนอื่นจะทำได้เหมือนกัน
“ข้าก็ทำไม่เป็เหมือนกันเ้าค่ะ พวกเราประลองอย่างอื่นกันดีกว่า ข้าอยู่ที่วัดมาสามปี ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่ครึกครื้นปานนี้มานานแล้วเ้าค่ะ”
สีหน้าของโหยวพิงถิงดูเศร้าโศกที่ต้องแบกรับความเ็ปที่ไม่สมควรได้รับในวัยนี้
“เ้า้าประลองอะไรเล่า?”
ปวดศีรษะจริงๆ
ฮั่วเยี่ยนไหวที่อยู่ข้างกายดันแสดงท่าทีไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเสียนี่
“ยิงธนูเ้าค่ะ!”
เมื่อสตรีนางหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก “อันหนิงจวิ้นจู่ ทุกคนไม่ได้เติบโตบนหลังม้าเหมือนกับท่าน เมื่อปีนั้นคุณหนูใหญ่สกุลไป๋ได้ชื่อว่าเป็เศษ...”
ยังไม่ทันกล่าวจบ สตรีผู้นั้นก็สบเข้ากับสายตาอันเย็นเยียบที่สามารถ่ชิงจิติญญาผู้คนของเซ่อเจิ้งอ๋อง นางใเสียจนแทบปัสสาวะราด
“ไม่อนุญาตให้พูดจาเหลวไหล พี่สะใภ้ไม่ใช่เศษสวะนะเ้าคะ” โหยวพิงถิงระบายโทสะ ก่อนจะกล่าวขอโทษไป๋เซี่ยเหอ “ไม่เป็ไรนะเ้าคะ พวกเราไม่ต้องประลองแล้วเ้าค่ะ”
หลังกล่าวจบ
ไป๋เซี่ยเหอก็ลุกขึ้นยืนทันที โหยวพิงถิงถามด้วยความงุนงง “พี่สะใภ้ เหตุใดท่านถึงลุกขึ้นยืนเล่าเ้าคะ?”
“เ้าบอกว่าจะยิงธนูไม่ใช่หรือ?”
เสียงสนทนาของทั้งสองไม่เบานัก ผู้คนโดยรอบจึงเริ่มส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ศาสตร์ทั้งสี่มีให้เห็นเป็ประจำ ทว่าการประลองยิงธนูของสตรีนั้นหาดูได้ยาก
ฮั่วเยี่ยนไหวยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
ดูเหมือนว่าชายาเซ่อเจิ้งอ๋องผู้นี้ของเขาจะยังมีความลับอีกมากมาย
ฮั่วเยี่ยนไหวดึงมือนางไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำที่มีเพียงนางกับเขาเท่านั้นที่ได้ยิน “หากเ้าชนะ ข้าจะมอบเรือนที่มีเตียงหานอวี้[1]ให้เ้า”
ดวงตาของไป๋เซี่ยเหอเป็ประกายทันที เดิมทีนางเพียงมีใจอยากเล่นสนุกเท่านั้น ทว่าตอนนี้กลับมีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะเสียแล้ว
แม้ว่าตอนนี้นางจะมีเรือนเป็ของตนเองแล้ว ทว่าไม่มีเตียงหานอวี้ จึงไม่อาจพามารดามาอยู่ด้วยได้
นี่คือเหตุผลที่นางไม่สามารถออกจากจวนสกุลไป๋ เพราะเมื่อไม่มีเตียงหานอวี้ นางก็ไม่อาจรักษาชีวิตของมารดาเอาไว้ได้ ทว่านางก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายเตียงหานอวี้ของสกุลไป๋ด้วย
เป้าสำหรับยิงธนูถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็ว สถานที่สำหรับการประลองก็ถูกตระเตรียมไว้เสร็จสรรพเช่นเดียวกัน
เมื่อไป๋เซี่ยเหอเดินไปถึงสนามประลอง โหยวพิงถิงก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย “พี่สะใภ้ ท่านกับท่านอ๋องกระซิบกระซาบอะไรกันหรือเ้าคะ?”
“ความลับ”
โหยวพิงถิงปิดปากก่อนจะแสดงท่าทีเข้าอกเข้าใจขึ้นมาทันที “อุ๊ย ข้าเข้าใจแล้วเ้าค่ะ”
เมื่อมองแผ่นหลังของโหยวพิงถิงที่หมุนกายไปปรับสายธนู ไป๋เซี่ยเหอก็ไม่รู้จะกล่าวอะไร กระทั่งตอนนี้นางยังไม่เข้าใจความคิดของโหยวพิงถิงผู้นี้เลย
“พี่สะใภ้ ข้าเริ่มก่อนได้หรือไม่เ้าคะ?”
น้ำเสียงอันไพเราะขัดจังหวะความคิดของไป๋เซี่ยเหอ นางพยักหน้า
ร่างบอบบางของโหยวพิงถิงยกธนูคันใหญ่ขึ้นมา ภาพที่ขัดแย้งกันนี้ได้กระตุ้นความตื่นเต้นในจิตใจของผู้คน ยังไม่ทันเริ่มก็เรียกเสียงปรบมือดังกระหึ่ม
‘ฟิ้ว’
ลูกธนูปักเข้ากลางเป้า
“ยอดเยี่ยม!”
“พ่อเป็เสือ บุตรีย่อมไม่เป็สุนัข สมกับเป็บุตรีของแม่ทัพเวยอู่!”
โหยวพิงถิงส่งคันธนูให้ไป๋เซี่ยเหอพร้อมยิ้มตาหยี “พี่สะใภ้ ท่านยิงได้หรือเ้าคะ? หากยิงไม่ได้ก็อย่าฝืนจนทำให้ตนเองต้องาเ็เลยเ้าค่ะ”
“ถูกต้อง คุณหนูเศษสวะอย่าทำเื่น่าขายหน้าเลย”
“นางย่อมทำให้สกุลไป๋เสียหน้า ทั้งยังทำให้จวนเซ่อเจิ้งอ๋องเสียหน้าอีก นี่ออกจะไร้คุณธรรมเกินไปแล้วกระมัง”
“คุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูให้อยู่แต่ในเหย้าในเรือน เกรงว่าแค่ง้างสายธนูยังไม่ได้เลยกระมัง”
โหยวพิงถิงหน้าซีดเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “พี่สะใภ้ ช่างเถิด พวกเราไม่ต้องประลองแล้วเ้าค่ะ พิงถิงไม่อยากประลอง...”
‘ฟิ้ว’
ขึ้นสายธนู ง้างสายธนู ยิงลูกธนู
ท่วงท่านั้นดูสง่างามและเป็ธรรมชาติราวกับเมฆาล่องสายน้ำไหล แสงสีเงินผ่านปลายนิ้วของไป๋เซี่ยเหอก่อนจะพุ่งเข้าไปปักที่กลางเป้าสีแดง
ไม่อยากจะเชื่อ!
ทุกคนเงียบสนิท
เงียบราวกับตายแล้วก็ไม่ปาน
เสียงซุบซิบเมื่อครู่เงียบลงอย่างกะทันหัน
ผู้ใดบอกว่านางง้างไม่ได้แม้แต่สายธนู แล้วลูกธนูที่พุ่งเข้ากลางเป้าคืออะไร?
ฮองเฮาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์จับมือของฮ่องเต้ไว้ด้วยความตื่นเต้น “ข้าบอกแล้วว่าแม่หนูเซี่ยเหอผู้นี้เป็คนดีนัก นางคู่ควรกับเซ่อเจิ้งอ๋อง คู่ควรยิ่งนัก!”
ฮ่องเต้มองฮั่วเยี่ยนไหวอย่างครุ่นคิด ทว่าสายตาของฮั่วเยี่ยนไหวจับจ้องไปที่ร่างของสตรีในชุดสีแดงโดยไม่ละสายตา
“หวังว่าการตัดสินใจของข้าจะไม่ผิดพลาด”
“พี่สะใภ้ ท่านเก่งกาจเกินไปแล้วเ้าค่ะ” โหยวพิงถิงประหลาดใจ ทว่าก็ได้สติอย่างรวดเร็ว “ข้ายังกลัวว่าจะหาเพื่อนที่พูดคุยเื่เดียวกันในเมืองหลวงไม่พบเสียแล้วเ้าค่ะ”
“ผู้ใดก็ได้นำผ้าดำมาที”
เมื่อได้ผ้าดำแล้ว โหยวพิงถิงก็นำมันมาปิดตาไว้ “วันนี้ข้าขอเล่นสนุกให้ทุกท่านได้สำราญใจ”
ปิดตายิงธนู!
นี่ไม่ใช่แค่การประลองทักษะการยิงธนูเท่านั้น
‘ฟิ้ว’
ลูกธนูพุ่งเข้ากลางเป้า!
“ยอดเยี่ยม!”
ลูกธนูดอกนี้ทำให้เืในกายของเหล่าบุรุษเดือดพล่าน เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง
“พี่สะใภ้ ตาท่านแล้วเ้าค่ะ”
เมื่อรับผ้าดำมา ไป๋เซี่ยเหอก็หันไปมองยังทิศทางที่ฮั่วเยี่ยนไหวนั่งอยู่ ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน
จากนั้นนางก็ทำปากพูดโดยไม่มีเสียง ‘อย่าลืมรักษาคำพูดด้วย’
เมื่อฮั่วเยี่ยนไหวผงกศีรษะ นางก็ปิดตาด้วยผ้าดำ จากนั้นก็หมุนกายไปด้านหลัง
“เหตุใดนางถึงหันไปด้านหลัง?”
“์ คงไม่ได้คิดว่าเป้ายิงธนูอยู่ทางนั้นหรอกกระมัง”
“ดูเร็ว นางขึ้นสายธนูแล้ว”
“์ นางต้องยิงโดนคนแน่ๆ”
เสียงพูดคุยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อไป๋เซี่ยเหอแม้แต่น้อย นิ้วของนางคีบลูกธนูยาวเอาไว้โดยไม่ขยับเขยื้อนเป็เวลานาน
ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดไม่มีคันธนูประเภทนี้แล้ว นี่จึงเป็ครั้งแรกที่นางได้ััคันธนูอย่างแท้จริง
เพียงแต่ในอดีตนางมีงานอดิเรกอย่างหนึ่ง นั่นคือ ฝึกฝนเกาทัณฑ์แขนเสื้อ[2]
แม้ว่าปกติจะใช้งานไม่บ่อย ทว่านางใช้เวลาตรากตรำฝึกฝนไม่น้อยเลย
“นาง้าทำอะไรกันแน่? เหตุใดถึงยังไม่ขยับอีก?”
“อา นางง้างสายธนูแล้ว ช่วยด้วย หันกลับไป หันกลับไปสิ เป้าธนูอยู่ข้างหลัง...”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันที
สตรีในชุดสีแดงง้างสายธนูด้วยความสง่างาม
จากนั้น...
เห็นเพียงว่าเอวอันอ่อนนุ่มของนางเอี้ยวไปข้างหลัง ขณะเดียวกันข้อมือเพรียวบางก็ขยับ ลูกธนูในมือถูกยิงออกไปด้วยความรวดเร็วเป็อย่างยิ่ง มองเห็นเพียงเงาสีเงินสายหนึ่งเท่านั้น
ทุกคนสูดลมหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียง
‘ปั้ก!’
ฮั่วิเชินลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทีเหม่อลอย เขามองลูกธนูดอกนั้นที่ปักอยู่กลางเป้า พลันเกิดความปั่นป่วนภายในใจ
นางไม่ใช่เศษสวะ!
นางไม่ได้เป็!
ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
ไม่อาจบรรยายความประหลาดใจและความนับถือภายในใจออกมาเป็คำพูดได้ ทำได้เพียงปรบมือจนฝ่ามือแดงเท่านั้น
และผู้ที่ปรบมือดังที่สุดก็ไม่ใช่ผู้ใดนอกจากโหยวพิงถิง
โหยวพิงถิงกะพริบตา สีหน้าเต็มไปด้วยความนับถือ “พี่สะใภ้เก่งกาจเกินไปแล้วเ้าค่ะ ข้าอยู่ที่ชายแดนมาหลายปี ขี่ม้าฝึกยิงธนูกับท่านพ่อทุกวันถึงได้มีความสามารถเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าท่านจะเก่งกาจกว่าข้าเสียอีกเ้าค่ะ”
------------------------
[1] เตียงหานอวี้หรือเตียงหยกเย็น หมายถึง เตียงที่มีส่วนช่วยในการฝึกฝนกำลังภายใน
[2] เกาทัณฑ์แขนเสื้อ หมายถึง อาวุธลับสมัยโบราณที่สอดไว้ในแขนเสื้อแล้วจะยิงลูกธนูออกมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้