รถม้าควบผ่านถนนอิฐสีฟ้า บรรดาเด็กๆ ที่เก็บผลไม้หยุดการกระทำในมือลง พิจารณาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อ๊ะ จ้าวขุย เป็พี่สาวคนโตของเ้านี่”
เด็กที่มีดวงตาแหลมคมเห็นคนที่อยู่ด้านในจากซอกหน้าต่างรถม้า
จ้าวไฉ่สยา? นางมาทำไม
เมื่อบรรดาเด็กน้อยได้ยินว่าเป็นาง หัวใจที่อยากรู้อยากเห็นจึงหมดลง และเริ่มยุ่งอยู่กับงานอย่างชุลมุนวุ่นวายอีกครั้ง
“ท่านพี่? ทำไมวิ่งมานี่ได้?” จ้าวขุยวิ่งไปข้างหน้าเปิดหน้าต่างเกวียน
เป็จ้าวไฉ่สยาดังคาด
นางแปรงผมจัดทรงอย่างฟู่เหริน บนศีรษะปักปิ่นทองชั้นดี บนใบหูห้อยต่างหูทอง ใบหน้าทาชาดบางๆ สวมชุดกระโปรงสีแดงสดปักลวดลายละเอียดงดงาม
โอ้แม่เ้า จ้าวไฉ่สยาชื่นชอบชุดกระโปรงชุดนี้มากเลยหรือนี่ ตอนกลับบ้านมาคารวะบิดามารดาหลังแต่งงานก็สวม หลังจากนั้นกลับมาบ้านติดต่อกันสิบกว่าครั้ง เจินจูเคยเห็นนางสวมมาอย่างน้อยที่สุดห้าถึงหกครั้ง แต่งงานออกไปก็ปีกว่าแล้ว ยังสวมเสื้อผ้าที่คล้ายเ้าสาวมือใหม่ชุดนี้อยู่อีก เหมาะสมแล้วหรือ
“เสี่ยวขุย วันนี้เ้าไม่หยุดวันทำความสะอาดโรงเรียนหรือ ทำไมยังทำงานอยู่ที่นี่ล่ะ หรือพวกคนสกุลหูเขาเชิญคนมาเก็บผลไม้ไม่ไหว ถึงได้้าให้พวกเ้าช่วยมาเก็บผลไม้” จ้าวไฉ่สยาล้วงเอาผ้าไหมเช็ดหน้าสีชมพูหนึ่งผืนออกมาจากแขนเสื้อ เผยข้อมือที่สวมกำไลเงินออกมาให้เห็น นิ้วมือกระดกขึ้นอย่างนิ้วดอกกล้วยไม้ [1] ปิดริมฝีปากเบาๆ
“…” มารดาเ้าสิ เ้ายังทำท่าสะดีดสะดิ้งยิ่งกว่านี้ได้อีกไหมนี่ เจินจูข่มความรู้สึกอยากมองบนเอาไว้
“ท่านพี่ โรงเรียนพวกข้าเป็ครอบครัวของผิงอันเปิดให้เรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยงานนิดหน่อยแค่นี้จะเป็อะไรไป อีกอย่าง... อีกสักพักข้ายังนำผลไม้กลับไปได้ครึ่งตะกร้าอีกด้วย ท่านอย่าอยู่ขวางถนนนี่รีบกลับบ้านไปเถอะ” จ้าวขุยโบกไม้โบกมือไปทางนางด้วยความรำคาญ เขาเป็บุตรที่ถูกเถียนกุ้ยจือตามใจด้วยความรักมาตลอด นิสัยอยู่ที่บ้านวางโตอย่างมาก สองคนผู้เป็พี่สาวแต่ไหนแต่ไรมาล้วนต้องยอมให้เขา
“เ้าเด็กคนนี้นี่ นี่ไม่ใช่ว่าพี่สาวเ็ปใจแทนเ้าหรือ วันที่โรงเรียนหยุดทำความสะอาดยังต้องทำงาน ไม่รู้ว่าครอบครัวสกุลหูนี่คิดอะไรกันอยู่” จ้าวไฉ่สยามองไปรอบๆ
ที่ไม่ไกลออกไปเห็นเด็กสาวร่างอรชรสวมเสื้อ้าสีม่วงอ่อนและกระโปรงยาวสีผลซิ่งอยู่ใต้ต้นผลไม้
ผิวขาวนวลดั่งหยก ลูกตาใสแจ๋ว ริมฝีปากอมชมพูชุ่มชื้นประดับไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ
มือของจ้าวไฉ่สยาบีบผ้าไหมแน่น ั์ตาปกปิดความเกลียดชังเพราะใจริษยาไว้ไม่อยู่
ในท้ายที่สุด นางยังคงแต่งให้กับพ่อม่ายขายเต้าหู้ แม้สามแม่สื่อหกหมั้น [2] ทำการไว้หน้านางอย่างเต็มที่ แต่กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วก็ยังเป็การแต่งงานต่อจากภรรยาเก่าที่ตายไปแล้วอยู่ดี บุตรสาวสองคนของเขา คนโตอายุสิบสองปี คนเล็กอายุเก้าปี ล้วนอายุน้อยกว่านางไม่กี่ปีเท่านั้น อิงตามประเพณีที่ยึดถือกันมายังต้องเรียกนางว่า “ท่านแม่” ทุกครั้งที่นางได้ยินในใจล้วนกลัดกลุ้มจนทนไม่ไหว
แต่ยังดี... นางลูบท้องน้อยของตัวเอง รอยยิ้มบนใบหน้าจึงยิ่งขยายมากขึ้น
“เอาล่ะ ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว ให้ท่านทำเสียเวลา ข้าเองก็ล้าหลังผู้อื่นไปมาก อีกเดี๋ยวหากข้าได้ผลไม้แบ่งมาน้อย แม้แต่ลูกเดียวก็จะไม่ให้ท่าน” จ้าวขุยหันไปทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่สาวคนโตของเขาแล้ววิ่งหนีไป
“เฮ้ เสี่ยวขุย เช่นนั้นเ้ารีบกลับบ้านเร็วหน่อยนะ” จ้าวไฉ่สยาชูผ้าไหมเช็ดหน้าโบกไปมา ะโเสียงอ่อนช้อย “อีกสักพักพี่จะให้ท่านแม่เชือดไก่ให้เ้าทาน”
จ้าวขุยไม่ได้สนใจนาง จ้าวไฉ่สยามองไปอีกทิศทางหนึ่งอย่างไม่ยินดี แต่เด็กสาวที่อยู่ใต้ต้นไม้กลับไม่เห็นเงาคนแล้ว นางบิดผ้าไหมเช็ดหน้าด้วยความคับแค้นใจ นางยังไม่ทันได้โอ้อวดท้องของนางสักนิดเลย
บรรดาเด็กน้อยสองฝั่งข้างทางต่างยุ่งอยู่กับงาน ไม่มีคนไหนสนใจนางเลย จ้าวไฉ่สยาทำได้เพียงให้คนขับเกวียนเปลี่ยนทิศทางกลับไปในหมู่บ้านอย่างเสียไม่ได้
“พี่สาวเ้าน้ำเสียงการพูดจาประหลาดนัก ฟังแล้วไม่รื่นหูเลย ดีที่เ้าฟังได้” ผู้ที่กล่าวขึ้นมาเป็เอ้อร์หลางสกุลหลิ่วที่เก็บผลไม้กลุ่มเดียวกับจ้าวขุย
“เหอะ นางก็เป็เช่นนั้นแหละ ไม่ต้องสนใจนางหรอก พวกเรารีบเก็บเร็ว อีกเดี๋ยวพวกเราแบ่งมาได้น้อยจะเสียเปรียบเอาได้” จ้าวขุยไม่ได้สนใจผู้เป็พี่สาวคนโตของเขามากนัก และเร่งการกระทำในมือให้เร็วขึ้น
เจินจูจูงซิ่วจูที่อยู่ไม่สุขหลบมาอีกด้านหนึ่งนานแล้ว
จ้าวไฉ่สยาผู้นั้นท่าทางจะมีปัญหา ชอบโอ้อวดชอบเปรียบเทียบ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนต้องได้โม้สักรอบ ชื่นชอบที่ชาวบ้านเดินมารุมล้อม ให้คนเขาอิจฉาเสื้อผ้าเครื่องประดับของนาง เพื่อที่ภายในจิตใจฟุ้งเฟ้อของตนเองจะได้รับความพึงพอใจ
จ้าวไฉ่สยาจะแสร้งลูบคลำเส้นผมอย่างไม่ตั้งใจ ทุกคนที่รุมล้อมก็จะะโด้วยความอิจฉาตาร้อน “โอ๊ะ ไฉ่สยา ปิ่นปักผมของเ้าเป็ทองคำนี่ เป็ของมีค่าอย่างมากเลย เซียงกงของเ้ารักและทะนุถนอมเ้าจริงๆ”
จ้าวไฉ่สยาจะทำท่าทางเขินอายทันที “ปิ่นปักผมอันนี้เป็ทองชั้นดี ทองบริสุทธิ์มีค่าเกินไป ปักแล้วกลัวว่าจะหล่นหาย เพราะอย่างนั้นอีกเดี๋ยวจะเก็บไว้ในกล่องเครื่องประดับแล้ว”
“ไอ๊หยา ไฉ่สยา เ้ายังมีกล่องเครื่องประดับด้วยหรือนี่? เซียงกงของเ้าให้เครื่องประดับเ้าเยอะมากเลยกระมัง?”
“เยอะมากเสียที่ไหน ก็ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง ไม่ต่างกับทุกคนหรอก พวกต่างหู กำไล ปิ่นปักผม สร้อยคอ แหวน…”
“จุ๊ๆ ไฉ่สยา ลวดลายปักเสื้อผ้าชุดนี้ของเ้าโดดเด่นยิ่งนัก เป็ลายที่นิยมในเมืองหรือ?”
“เป็ผ้าฝ้ายสังเคราะห์ที่ออกใหม่ของร้านซิ่วจิ่น เซียงกงซื้อให้ข้าเป็พิเศษ สีสดสวยงามเกินไป ข้าเลยสวมไว้ด้วยความรู้สึกเกรงใจน่ะ”
“…”
เพราะรู้สึกเกรงใจที่จะสวมทุกวัน ดังนั้นเลยสวมวันเว้นวันอย่างไม่กระดากใจน่ะหรือ เจินจูแขวะอยู่ในใจ
...ทันทีหลังจากนั้น ขั้นตอนการเก็บผลไม้ก็ผ่านไปราบรื่นอย่างมาก ภายใต้การดูแลของอาชิง บรรดาเด็กน้อยกระตือรือร้นกันทำงานขึ้นโดยไม่ต้องคอยบอก เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว แม้แต่จ้าวขุยที่ชอบก่อกวนที่สุดก็เก็บผลไม้ในส่วนของเขาเสร็จก่อนเลิกงานเช่นกัน
เมื่อเก็บเสร็จจึงนำมาแยกประเภทกองไว้หน้าบ้านของสกุลหู
ผิงกั่วกับสาลี่เยอะที่สุดและกองใหญ่ที่สุด รองลงมาคือหลี่จื่อ [3] เหอเถากับทับทิม ลูกท้อสุกงอมค่อนข้างเร็วก่อนหน้านี้จึงเก็บไปแล้วจำนวนมาก ดังนั้นเลยเหลืออยู่น้อยที่สุด
สาลี่ ทับทิมกับลูกท้อเก็บรักษาไว้ไม่ง่าย เพราะอย่างนั้นจึงมอบให้พวกเด็กๆ มากหน่อย เหอเถา ผิงกั่ว และหลี่จื่อวางไว้ได้นานจึงมอบให้น้อยหน่อย
ในตะกร้าไผ่สานของบรรดาเด็กน้อย วางผลไม้สดในปริมาณที่เต็มระดับเดียวกัน แล้วจึงกลับบ้านไปด้วยความดีใจ
ผลไม้ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง จากการช่วยเหลือกันเก็บของผิงอัน ผิงซุ่นและอาชิง เจินจูจึงเริ่มแจกจ่ายให้แก่คนงาน
ยังคงทำตามอย่างที่เคยเป็มา เมื่อแบ่งจำนวนดีแล้วจึงให้พวกเขาแจ้งให้ทุกคนมารับไป
หลังยุ่งอยู่พักหนึ่งก็ยังเหลือผลไม้อยู่หนึ่งส่วนสี่
เลือกผลไม้รูปร่างอวบอิ่มไร้รอยถลอกออกมาจากเหอเถา ผิงกั่ว และหลี่จื่อ บรรจุใส่ในตะกร้าไผ่สานที่ชายชราสกุลหูตั้งใจถักขึ้น
สองตะกร้านำไปส่งให้กู้ฉี อีกสองตะกร้านำไปส่งให้โหยวอวี่เวย แล้วยังมีสองตะกร้าเล็กเตรียมให้หลิวผิงและเหนียนเสียงหลินด้วย
ตอนนี้กู้ฉีอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง ภายในเวลาสามปีมีเพียงปีที่แล้วที่มาเมืองไท่ผิงหนึ่งรอบ ร่างกายของเขาฟื้นฟูกลับมาสู่สภาพเดิมอย่างคนปกติแล้ว
โหยวอวี่เวยไม่เคยมาเมืองไท่ผิงอีกเลย แต่นับั้แ่เจินจูส่งผลพุทราและเมล็ดบัวไปให้ หลังจากนั้นของขวัญวันเทศกาลแต่ละอย่างของโหยวอวี่เวยก็ส่งมาจากเมืองหลวงระลอกแล้วระลอกเล่าไม่ขาดสาย
อาหารการกินพวกเกาเตี่ยน ผ้าพับตัดทำเสื้อผ้า ดอกไม้ประดิษฐ์ เชือกรัดผม ผลิตภัณฑ์สิ่งทอผ้าไหมปักลวดลาย ว่าวกับพัดทรงกลมและอื่นๆ ที่นิยมแพร่หลายในเมืองหลวง ขอแค่โหยวอวี่เวยคิดได้ก็จะเพิ่มลงไปในของขวัญวันเทศกาล
ตอนแรกเจินจูไม่ได้คิดจะคลุกคลีกับโหยวอวี่เวยมากจนเกินไป อย่างไรเสียชีวิตของสองคนก็ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกัน ไม่ได้พูดจากันรู้เื่ ไม่ได้อยู่ในห่วงชีวิตเดียวกัน นอกจากกู้ฉีแล้วก็ไม่ได้มีสหายร่วมกัน
ในของขวัญของนางทุกครั้งมักมีจดหมายที่นางเขียนด้วยลายมือตัวเองหนึ่งฉบับติดมาด้วยเสมอ เนื้อหาภายในล้วนเขียนเื่หรือสถานการณ์ใกล้ตัวนางไม่หยุด
เช่น ในลานบ้านของนางก็มีสระน้ำใหญ่สระหนึ่งเช่นกัน บัวแดงในสระเป็ประเภทที่หาได้ยาก ในแปลงปลูกดอกไม้ข้างสระน้ำปลูกพืชดอกไม้นานาพันธุ์โด่งดังและล้ำค่า เช่น เสาเย่า ดอกโบตั๋น ต้นกุหลาบ...
และอีกตัวอย่างหนึ่ง พอนางกลับจวนท่านโหวไปก็ไล่จื่อผิงไปห้องซักล้าง ผลสุดท้ายมีวันหนึ่งถูกนางขวางทางไว้ แล้วร้องไห้ะโรู้ความผิดแล้ว อยากกลับมาปรนนิบัติข้างกายนางเหมือนเดิม หลังมารดาของนางทราบเื่นี้เข้าจึงไล่จื่อผิงออกไปหมู่บ้านอันไกลโพ้นและแต่งให้กับคนที่นั่น
แล้วก็อีกตัวอย่างหนึ่ง นางกับมารดาของนางล้วนรู้สึกว่าผลผลิตและผลไม้ที่สกุลหูส่งไปอร่อยอย่างมาก ดีกว่าผลิตภัณฑ์การเกษตรที่ปลูกอยู่ในสวนพวกเขาเสียอีก จึงให้เจินจูเทียบกับปริมาณที่ส่งให้กู้ฉีทุกครั้ง แล้วส่งไปให้นางอย่างเดียวกันด้วยหนึ่งชุด นางจะจ่ายด้วยเงินสองเท่าเหมือนกันกับกู้ฉี
ยิ่งไปกว่านั้น แม่นางน้อยยังเล่าเื่สนุกสมัยเด็กของนางกับกู้ฉีหรือความรู้สึกภายในใจของนางเล็กน้อยด้วย
เมื่อเจอเข้ากับสหายตัวน้อยที่ให้ความรู้สึกเหมือนสหายเก่าที่รู้จักกันมานานเช่นนี้ เจินจูจึงแสดงออกด้วยการโต้ตอบไปอย่างช่วยไม่ได้
แม่นางน้อยท่าทางราวกับว่ามีสหายน้อยมาก จดหมายที่ส่งมาให้นางทุกครั้ง ล้วนเต็มสองสามหน้ากระดาษ ตัวอักษรข้อความยาวติดกันเป็พรืด ซองจดหมายอัดแน่นเต็มหนาหนัก
ผู้ที่จวนท่านโหวเหวินชางส่งมามอบของขวัญ จะเป็คนขับรถม้าและองครักษ์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พอวันที่สองมักมาเรียกเก็บจดหมายตอบกลับ และของขวัญตอบกลับของนางถึงหน้าประตูอย่างตรงเวลาเสมอ
เจินจูปวดศีรษะอย่างมาก ทุกครั้งล้วนขีดเขียนตัวอักษรตอบกลับครึ่งหน้ากระดาษอย่างลวกๆ
จนกระทั่งเวลาต่อมาในของขวัญส่งท้ายปีที่ส่งมาของโหยวอวี่เวย ได้เพิ่มแบบฝึกหัดสำหรับฝึกเขียนตัวอักษรจีนที่เหมาะกับสตรีอยู่หลายเล่มมาด้วย
ก็เป็อยู่เช่นนี้ ระหว่างหนึ่งมาหนึ่งไป จดหมายของเจินจูกับโหยวอวี่เวยก็เริ่มค่อยๆ กองเต็มลิ้นชัก ในห้องของนางมากกว่าครึ่งหนึ่งถูกไปด้วยสิ่งของที่แพร่หลายในเมืองหลวงแล้ว
ผ้าม่านที่ทำจากหร่วนเหยียนหลัว [4] เป็สีท้องฟ้าหลังฝนตก ปลอกผ้านวมจวงฮวาจิ่น [5] หมอนผ้าแพรซูโฉว [6]
พู่กันที่ทำด้วยขนหมาใน กระดาษเซวียนจื่อ [7] แท่นฝนหมึกซงฮวา [8] แท่งหมึก แบบฝึกหัด และตำราบนโต๊ะหนังสือ ล้วนส่งมาจากเมืองหลวงพันลี้อันไกลโพ้น
ทุกครั้งที่หลี่ซื่อเห็นสิ่งของจากจวนท่านโหวส่งมา ล้วนรู้สึกตื่นใ ผู้อื่นไม่รู้มูลค่าของวัตถุเหล่านี้ก็จะไม่เห็นมันอยู่ในสายตา แต่นางรู้อย่างชัดเจนดี สิ่งของเหล่านี้ในห้องเจินจู มูลค่าที่รวมกันขึ้นมาแล้วอย่างน้อยก็เกินหนึ่งพันเหลียงอย่างแน่นอน
เพียงผ้าม่านหร่วนเหยียนหลัวอันนั้นอย่างเดียว อย่างน้อยก็มูลค่าร้อยเหลียงแล้ว
แล้วยังมีแท่นฝนหมึกซงฮวาที่แกะสลักด้วยฝีมือประณีตงดงามชิ้นนั้นอีก นางจำได้ว่าเมื่อก่อนพ่อบ้านที่ทำการจัดซื้อของเคยกล่าวไว้ ว่าแท่นฝนหมึกหนึ่งชิ้นธรรมดาก็ตั้งหนึ่งร้อยเหลียงขึ้นไปแล้ว และแท่นฝนหมึกชิ้นนี้พื้นผิวลวดลายละเอียด สีสันความมันวาวบริสุทธิ์ พอมองก็รู้ได้ว่าเป็ของล้ำเลิศ
แต่ในคืนนั้นบุตรสาวของนางนำมาเขียนจดหมายตอบกลับให้คุณหนูสกุลโหยว
หลี่ซื่อที่เห็นเข้าในวันต่อมาจึงเกือบใจนเป็ลมไป รีบเตือนเจินจูเื่ความล้ำค่าของแท่นฝนหมึกชนิดนี้
แต่เจินจูกลับไม่ได้สนใจ ต่อให้มีค่าสูงแค่ไหนมันก็เป็เพียงแท่นฝนหมึกชิ้นหนึ่ง ประโยชน์ของแท่นฝนหมึกไม่ใช่ว่านำมาใช้แค่ฝนหมึกหรือ?
แต่เห็นหลี่ซื่อท่าทางตื่นใจนเกินไป เจินจูเลยเก็บแท่นฝนหมึกซงฮวาเข้าในลิ้นชักแต่โดยดี เปลี่ยนมาใช้แท่นฝนหมึกชิ้นธรรมดาฝึกตัวอักษร อย่างไรเสียตัวอักษรของนางก็ยังวนเวียนอยู่ในสภาพที่ฝืนใจคนมอง ใช้แท่นฝนหมึกดีเกินไปก็สิ้นเปลืองเปล่าๆ
ตรงกันข้ามกับคนกระเป๋าหนักอย่างคุณหนูจวนท่านโหว ของขวัญวันเทศกาลจากแม่นางในครอบครัวเกษตรกร นอกจากสินค้าที่มีเฉพาะท้องถิ่นแล้วก็เป็อาหารที่มีเฉพาะท้องถิ่นด้วย อย่างกระต่ายกับไก่บ้านเป็ของที่เตรียมไว้ส่งตลอดอยู่แล้ว อาหารประเภทหมักเนื้อหมูก็เป็ของก่อนสิ้นปี ส่วนเวลาปกติก็จะส่งของตามฤดูกาล เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ข้าวโพด ฟักทอง ผลพุทรา เมล็ดบัว รากบัว...
ขณะนี้ถึงฤดูกาลของเหอเถา ผิงกั่ว และหลี่จื่อแล้ว
ครอบครัวสกุลหูส่งสิ่งของไปเมืองหลวง โดยการให้หลิวผิงขนส่งไปด้วยกันกับของกู้ฉีมาโดยตลอด อย่างไรเสียสองครอบครัวก็เป็ญาติลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ ถือโอกาสนำออกเดินทางไปด้วยก็พอดีเลย
เลือกผลไม้ที่จะส่งไปเมืองหลวงเสร็จแล้ว ยังเหลือผลไม้ที่ไม่เหมาะให้เก็บไว้ไม่น้อย บรรจุเต็มตะกร้าไผ่สานสองใบ พรุ่งนี้ให้อาชิงนำไปส่งให้ที่วัดเฉิงหวงในอำเภอเจิ้นอัน
สุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ห่อเก็บไว้ให้ครอบครัวสกุลหูเอง
เจินจูปอกลูกท้อเสร็จจึงหั่นเป็ชิ้นเล็กแล้วส่งเข้าในปากของซิ่วจู
“อร่อยใช่ไหมล่ะ?”
“อื้มๆ อร่อย”
เด็กสาวตัวน้อยยิ้มจนดวงตากลายเป็พระจันทร์เสี้ยว ความรู้สึกภายในใจของเจินจูจึงเบิกบานตามไปด้วย
“พี่เจินจู”
อาชิงยื่นศีรษะออกมาจากประตูของห้องโถงด้านหน้าแล้วะโเรียก
ทำไมเ้าเด็กนี่วิ่งมาในลานบ้านด้านในที่อยู่หลังห้องโถงหน้าได้?
สกุลหูย้ายเข้าลานบ้านกว้างประตูสองชั้นที่สร้างขึ้นใหม่เมื่อสองปีก่อน บ้านนี้แบ่งเป็ห้องโถงหน้าและห้องโถงหลัง
ห้องโถงด้านหลังอยู่ภายในลานเ้าของบ้านและที่อยู่อาศัยของญาติพี่น้อง แขกผู้ชายทั่วไปจะหยุดอยู่ตรงนี้แค่ห้องโถงด้านหน้า
แน่นอนว่าเ้าเด็กอาชิงนี่ไม่นับว่าเป็แขกผู้ชาย
“ทำไมหรือ?” เจินจูถาม
“ท่านมานี่หน่อย ข้ามีคำพูดจะกล่าวกันท่าน”
เขาทำท่าทางลับๆ ล่อๆ
เชิงอรรถ
[1] นิ้วดอกกล้วยไม้ หมายถึง นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลาง งอเข้าประกบด้วยกัน อีกสามนิ้วเหยียดตรง
[2] สามแม่สื่อหกหมั้น (三媒六聘) หรือเรียกกันว่าสามหนังสือหกพอพิธีการ (三书六礼) โดยสามหนังสือ ได้แก่ 1. หนังสือหมั้นหมาย 2. หนังสือแสดงสินสอด 3. หนังสือรับตัวเ้าสาว และหกพิธีการ ได้แก่ 1. สู่ขอ 2. ขอวันเดือนปีเกิด 3. เสี่ยงทาย 4. มอบสินสอด 5. ขอฤกษ์ 6. รับเ้าสาว
[3] หลี่จื่อ คือลูกพลัม หรือลูกไหน
[4] หร่วนเหยียนหลัว คือ สิ่งทอที่บางและนุ่มอย่างมาก (หลัว หรือ 罗) มักนำมาติดหน้าต่างและลิ้นชัก หรือใช้ทำเป็ม่าน มองมาไกลๆ สวยอย่างมาก ราวกับหมอกควันก็ไม่ปาน จึงเรียกกันว่าหร่วนเหยียนหลัว โดยคำว่าหร่วน (软) หมายถึง นุ่ม นิ่ม บาง ส่วนเหยียน (烟) หมายถึง หมอกควัน
[5] จวงฮวาจิ่น คือ ผ้าไหมที่ทอขึ้นด้วยฝีมือ มีความยุ่งยากซับซ้อนที่สุดของการทอ และผ้าปักลายดอกของหนันจิง (南京云锦)
[6] ซูโฉว คือผ้าแพรที่เย็บปักของเมืองซูโจว ซึ่งผ้าไหม ผ้าแพรของเมืองซูโจวเป็ผ้าที่มีคุณภาพสูงอย่างมาก
[7] กระดาษเซวียนจื่อ คือ กระดาษที่มีคุณภาพสูงชนิดหนึ่ง ทำจากเมืองเซวียนเฉิน มณฑลอันฮุย
[8] แท่นฝนหมึกซงฮวา คือ ผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นของมณฑลจี๋หลิน เป็ผลิตภัณฑ์ที่เป็สัญลักษณ์ของประเทศจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้