สองพี่น้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ ต่อมาอีกสองชั่วโมงกว่าก็ทำเนื้อเค็มและกุนเชียงเสร็จ
ส่วนพวกเนื้อสดที่เหลืออีกยี่สิบกว่าจิน เซี่ยโม่นำเข้าไปเก็บในโกดังสินค้าก่อน
ส่วนมากเธอเป็คนรับผิดชอบเื่ทำอาหาร ไว้จะทำกินตอนไหนค่อยแอบนำเนื้อสดที่เก็บไว้ในโกดังสินค้าเหล่านี้ออกมา หากทุกคนถาม ก็บอกว่าเป็เนื้อเค็มที่ผ่านการแช่น้ำมาแล้ว
หลังจากทำเสร็จ เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยรู้สึกเหนื่อยเอามากๆ ขึ้นไปนอนแผ่บนเตียง พึมพำด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “พี่ครับ ทำอาหารมันเหนื่อยจัง”
เซี่ยโม่ถือโอกาสนี้สอนน้องชายเสียเลย “พี่ทำอาหารทุกวัน เราช่วยพี่ทำแค่ครั้งเดียวก็บ่นว่าเหนื่อยแล้ว?”
เด็กชายตัวน้อยไม่รู้เลยสักนิดว่าพี่สาวกำลังสอนตัวเองอยู่ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “พี่ครับ ต่อไปถ้าผมมีเวลาผมจะช่วยพี่ทำอาหาร ผมอยากเป็เด็กที่รู้ความ”
“ต้องแบบนี้สิถึงจะเป็เด็กดี ใกล้จะสอบกลางภาคแล้ว มั่นใจไหม”
เซี่ยเฉินเฟิงตอบอย่างมั่นใจ “พี่ครับ พี่ต้องเชื่อผม ผลสอบออกมา ผมต้องได้คะแนนมากกว่าพี่แน่นอน”
เธอมองน้องชายที่มีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง แก้มกลมๆ แดงๆ แววตามีแต่ความมั่นใจ ช่างน่ารักเหลือเกิน
ั้แ่น้องชายย้ายมาอยู่ที่บ้านคุณตาคุณยายก็เปลี่ยนไปเป็คนละคนกับก่อนหน้านี้ จากเด็กที่มีนิสัยขี้อายไม่พูดไม่จา ตอนนี้กลับน่ารักและช่างพูดช่างคุย
หลายเดือนมานี้ ชีวิตความเป็อยู่และฐานะทางบ้านดีขึ้นมาก เด็กชายไม่เพียงตัวสูงขึ้น เนื้อตัวยังมีเนื้อมีหนังขึ้นด้วย
กลายเป็เด็กชายหน้าตาหล่อเหลาตัวน้อยๆ คนหนึ่ง
“งั้นสอบเสร็จเอาคะแนนมาเทียบกัน”
“ได้เลยครับ”
หลังจากกินข้าวเที่ยง เซี่ยโม่ก็มีเวลาไปขึ้นเขาสักที
เพิ่งออกจากบ้านมาได้ไม่ไกลมีกลุ่มเด็กสาวกำลังพูดคุยหัวเราะกันเดินตรงมา ทุกคนสะพายตะกร้าเอาไว้ทีหลัง ในนั้นเต็มไปด้วยผลไม้ป่า ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
ดูท่าแล้วคงเพิ่งกลับลงมาจากบนเขากัน
พอเด็กสาวเหล่านี้เห็นเธอบทสนทนาก็หยุดชะงักไป เลยไม่รู้ว่าเด็กสาวเหล่านี้คิดอะไรอยู่
สายตาของเซี่ยโม่หยุดที่เด็กสาวเหล่านี้แวบหนึ่ง รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างไรก็ไม่รู้ เธอคิดเช่นนั้นขณะเดินต่อไป
เพิ่งจะเดินผ่านไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กสาวกลุ่มนี้ก็กระซิบกระซาบพูดคุยกัน
เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีน้ำเสียงใสๆ พูดขึ้นมาว่า “นั่นหลานสาวบ้านอู๋ใช่ไหม ตัวผอมแล้วก็ตัวเล็กจัง เทียบกับพี่หม่านเยวี่ยของพวกเราแล้ว พี่หม่านเยวี่ยของพวกเราสวยกว่าตั้งเยอะ”
เซี่ยโม่ที่มีประสาทการรับฟังดีกว่าคนทั่วไปชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อวานเธอถามคุณยายว่า รู้จักลูกสาวคุณป้าของพี่ซ่งหรือไม่
คุณยายทำท่าคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบ “ยายจำได้ว่าเด็กสาวคนนั้นชื่อว่า เกาหม่านเยวี่ย รูปร่างค่อนข้างอวบ”
เธอเข้าใจในทันที ที่แท้กลุ่มเด็กสาวเมื่อสักครู่ก็คือกลุ่มเพื่อนๆ ของเกาหม่านเยวี่ยนั่นเอง
เซี่ยโม่ทำหน้าครุ่นคิด ในบรรดาเด็กสาวกลุ่มเมื่อครู่ มีคนหนึ่งที่มีรูปร่างอวบ
ครั้นหันหลังกลับไปมอง บังเอิญสบเข้ากับสายตาของเกาหม่านเยวี่ยที่เหลียวกลับมามองพอดีเช่นกัน
แววตาของอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความหมายอะไรบางอย่างที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ
เซี่ยโม่มองอย่างสำรวจ อีกฝ่ายหน้าตาคล้ายกับพี่ซ่งมาก
นั่นทำให้ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องใช้เกาหม่านเยวี่ยเป็แน่
มาตรฐานของลูกสะใภ้ในยุคนี้ต้องหน้าตาเหมือนเกาหม่านเยวี่ยนี่แหละ อีกทั้งเอวก็ต้องบาง ก้นก็ต้องใหญ่
เกาหม่านเยวี่ยผู้นี้ตรงตามมาตรฐานหมดทุกอย่าง ไม่แปลกถ้าจะรู้สึกเหนือกว่า
เซี่ยโม่มั่นใจมากว่าขณะที่กำลังมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา อีกฝ่ายเองก็มองเธออย่างสนอกสนใจเช่นกัน
เธอหันหน้ากลับทิศทางเดิมเพื่อจะเดินต่อ ทว่าเวลานี้เองก็มีเสียงเรียกมาจากทางด้านหลัง “เซี่ยโม่ รอเดี๋ยวก่อน”
เธอหันหลังไปมอง คนที่กำลังวิ่งมาคือเกาหม่านเยวี่ย
“มีธุระอะไรงั้นเหรอ” เซี่ยโม่ทำหน้าสงสัย
พอวิ่งมาถึงตัวเธอ อีกฝ่ายก็เอ่ยว่า “น้องสาว ถ้าพี่ชายมาที่นี่อีก บอกฉันหน่อยได้ไหม เดี๋ยวฉันให้ลูกอม”
เซี่ยโม่ทำหน้างุนงงอยู่สักครู่ ต่อมาไม่นานก็เข้าใจ ในสายตาอีกฝ่าย เธอก็เป็แค่เด็กไม่รู้ความคนหนึ่งเท่านั้น
บอกให้เธอคอยรายงานงั้นหรือ? คิดว่าตัวเองเป็ใคร?
ให้ลูกอมงั้นหรือ? แค่นี้ก็บอกได้หมดแล้วว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรต่อเธอ
ตอนแรกเธอรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายยิ่งนัก มีหน้าตาและรูปร่างแบบนี้ได้ น่าจะได้กินแต่ของดีๆ มาั้แ่เด็ก
ทว่าเกาหม่านเยวี่ยผู้นี้กลับไม่มีความคิดเลยสักนิด แค่ประโยคเดียวก็บอกความนึกคิดของอีกฝ่ายออกมาจนหมดสิ้น
เธอทั้งเห็นใจและดูแคลน
อีกฝ่ายสายตาไม่กว้างไกลทั้งไม่รู้จักดูตัวเอง คนแบบนี้ช่างน่าสงสารจริงๆ
เธอยิ้มพลางแกล้งทำเป็ไม่เข้าใจ “ขอโทษด้วย แต่ฉันไม่รู้ว่าพี่ชายของเธอคือใคร”
เกาหม่านเยวี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง “พี่ชายของฉันก็คือซ่งมู่ไป๋ไง เธอไม่รู้เหรอว่าพี่ชายของฉันคือใคร”
“ไม่เคยมีใครบอกฉันว่าเธอเป็ใคร ฉันเพิ่งมาอยู่หมู่บ้านนี้ได้ไม่นาน จะไม่รู้ก็ไม่แปลก” เซี่ยโม่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เกาหม่านเยวี่ยไม่ติดใจสงสัย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งถือดี “งั้นเดี๋ยวฉันจะแนะนำตัวให้เธอรู้จัก แม่ของฉันเป็ป้าของพี่ชาย พี่ชายของฉันก็คือซ่งมู่ไป๋ ฉันมีชื่อว่าเกาหม่านเยวี่ย ตอนนี้เธอก็รู้จักฉันแล้ว”
สมกับเป็แม่ลูกกัน ท่าทางยโสเหมือนกันไม่มีผิด
เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “รู้จักแล้ว แต่ทำไมฉันต้องคอยบอกเธอด้วยว่าพี่ชายมาที่นี่เมื่อไร เพื่อแลกกับลูกอมแค่ไม่กี่เม็ดเนี่ยนะ ฉันไม่เห็นจะอยากได้เลย”
เกาหม่านเยวี่ยมีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาในทันที ก่อนจะเอ่ยอย่างดูแคลน “เธอดูจนจะตาย แล้วที่บ้านจะมีลูกอมกินได้ยังไง”
อีกฝ่ายกำลังดูถูกเธอชัดๆ
เซี่ยโม่ก้มสำรวจสภาพตัวเอง เนื่องจากจะขึ้นเขาเธอจึงเลือกสวมเสื้อผ้าตัวเก่า ผมเกล้าขึ้นเป็ทรงหางม้า พร้อมทั้งถักเปียแล้วม้วนเอาไว้
สิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายดูแคลนที่สุดน่าจะเป็รองเท้าต้นกกที่เธอสวมอยู่
รองเท้าคู่นี้คุณตาเป็คนทำให้ ตอนไปต้อนวัวคุณตาเห็นเสื่อไม่ได้ใช้แล้วจึงนำกลับมาทำเป็รองเท้าให้คนในบ้านคนละคู่
หากใส่รองเท้าผ้าใบขึ้นเขาไปตัดหญ้า เกิดพังขึ้นมาคงจะน่าเสียดายแย่ วันนี้เลยเลือกใส่รองเท้าต้นกกแทน กลับกลายเป็สิ่งที่อีกฝ่ายใช้มาดูถูกเธอ
เธอมองเกาหม่านเยวี่ย อีกฝ่ายสวมชุดทหารที่ผ่านการตัดแก้ให้เหมาะกับขนาดตัว พร้อมด้วยรองเท้าผ้าใบมีราคา
กอปรกับมีรูปร่างอวบอัด จึงดูเหมือนวีรสตรีไม่มีผิด
เมื่อยืนอยู่ด้วยกัน เธอเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ ในขณะที่อีกฝ่ายเหมือนเ้าหญิงผู้สง่างาม
ในสายตาคนอื่น เธอกับน้องชายมาขออาศัยอยู่บ้านคุณตาคุณยาย เดิมทีบ้านคุณตาคุณยายมีแต่คนแก่ ชีวิตความเป็อยู่ไม่ค่อยดีนัก พอมีหลานมาอาศัยด้วยย่อมต้องย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
เธอคิดในใจ ถ้าอีกฝ่ายเห็นโกดังสินค้าของเธอ ไม่รู้ว่าจะยังดูถูกกันแบบนี้อีกไหม
แต่แน่นอนว่าเธอไม่ยอมให้กบในกะลาเช่นอีกฝ่ายได้เห็นหรอก
เธอพูดออกไปอย่างไม่พอใจ “เกาหม่านเยวี่ย ถึงบ้านฉันฐานะยากจนแล้วมันไปเดือดร้อนอะไรเธอ ที่บ้านฉันมีหรือไม่มีลูกอมแล้วเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย”
อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเช่นกัน “เดิมทีก็ไม่เกี่ยวหรอก แต่หลังจากที่เธอกับน้องย้ายมาอยู่หมู่บ้านนี้ พี่ชายก็ไม่ไปที่บ้านฉันอีกเลย ตอนนี้จะเกี่ยวได้หรือยัง”
เซี่ยโม่ยกยิ้มมุมปาก พี่ซ่งไม่ไปบ้านอีกฝ่ายน่ะถูกแล้ว
“แล้วทำไมเธอไม่ไปหาเขาล่ะ มาบอกฉันแล้วจะมีประโยชน์อะไร” เธอพูดอย่างไม่สนใจไยดี
เกาหม่านเยวี่ยกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ “ฉันก็อยากไปหาพี่ชาย แต่แม่ไม่ให้ฉันไป น่ารำคาญจริงๆ”
อีกฝ่ายสมองน่าจะมีปัญหา เด็กสาวที่โง่เขลาแบบนี้ พี่ซ่งชอบก็แปลกแล้ว
ถึงว่าทำไมวันนั้นพอกลับมาจากบ้านคุณป้า พี่ซ่งถึงมีท่าทีโมโห
“เธอแอบไปก็ได้นี่ แค่ไม่ให้แม่เธอรู้ก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ” เธอพูดยุยง
แววตาอีกฝ่ายพลันเป็ประกาย “ทำไมฉันถึงคิดไม่ได้นะ ขอบใจเธอมาก ไว้มีเวลาเดี๋ยวฉันเอาลูกอมไปให้”
ทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงเชื่อคนง่ายแบบนี้
เธอตอบกลับด้วยสีหน้าพิพักพิพ่วนอย่างคนไปต่อไม่ถูก “เอ่อ ไม่เป็ไร…”
