ณ ศาลาริมน้ำกลางสวน์ในจวนของราชครู ลมยามสายพัดเบา ๆ ผ่านเงาไม้ไผ่ เสียงน้ำจากลำธารใสไหลเอื่อยเคล้ากับกลิ่นหอมของสมุนไพรและไม้หอมจาง ๆ ทุกสิ่งที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ช่างสงบงามราวกับตัดขาดจากโลกแห่งอำนาจและความวุ่นวายทั้งปวง
แม่ทัพเว่ยซ่างเทียนก้าวเท้าอย่างมั่นคงเข้าสู่เขตศักดิ์สิทธิ์ของปราชญ์ผู้เป็ที่เคารพบูชาของแผ่นดิน ราชครูไป๋เหวินชาง ชายชราผู้มีอายุล่วงเข้าปีที่ 83 แต่ยังคงตั้งตนสง่าด้วยแววตาที่ลุ่มลึก ราวกับสามารถมองทะลุจิตใจคนทั้งราชสำนัก
ใต้เงาไม้ ราชครูนั่งอยู่บนตั่งไม้เรียบง่าย พัดกลิ่นกฤษณาเบา ๆ ดวงตาเหม่อมองผืนน้ำอย่างสงบสุข ไม่แม้แต่จะหันมาทางผู้มาเยือน แต่กลับกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ของสิ่งนั้นที่อยู่ในมือเ้ามันกำลังเรียกร้อง...ขอให้ข้าช่วยเปิดโปงสิ่งที่มันซุกซ่อนไว้”
เว่ยซ่างเทียนหยุดชะงัก ความเยือกเย็นของคำพูดนั้นแล่นเข้าสู่กระดูกสันหลัง ยิ่งตอกย้ำถึงความลึกล้ำของผู้เบื้องหน้า เขาค่อย ๆ ยื่นกล่องไม้ที่บรรจุแหวนหยกออกไป พร้อมก้มศีรษะแสดงความเคารพ
“ท่านราชครู ข้าไม่อาจไว้ใจผู้ใดในเมืองหลวงนี้ได้อีกนอกจากท่าน ข้าเกรงว่า… สิ่งนี้อาจนำหายนะมาสู่ทั้งตระกูลเว่ย”
ไป๋เหวินชางรับกล่องไม้มาด้วยสองมือ พลางเปิดฝาออกอย่างเงียบงัน แสงสีเขียวจากหยกภายในสาดส่องออกมาแ่เบา แต่ในแววตาของราชครูกลับวูบวาบขึ้นในทันทีเขาพลิกแหวนขึ้นดูเบา ๆ ลูบผ่านลายฉลุรูปัด้วยปลายนิ้วที่เต็มไปด้วยรอยแห่งกาลเวลา จากนั้นก็หลับตานิ่ง ราวกับใช้จิตัับางอย่าง ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น แววตาเ็าและหนักแน่นจนเว่ยซ่างเทียนรู้สึกถึงแรงกดดันแปลกประหลาด
"ของสิ่งนี้... เป็แหวนหยกที่องค์ฮ่องเต้ไท่เหยียนอู้ พระราชทานให้แก่ไท่ฉิงหลัว หวางเย่ เมื่อครั้งที่เขามีอายุครบเจ็ดปี"คำพูดของท่านราชครูค่อย ๆ เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบสงบ ทว่าแต่ละคำกลับหนักดั่งูเาแม่ทัพเว่ยซ่างเทียนเบิกตากว้าง สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากสงสัยกลายเป็ตกตะลึง ร่างกายสะท้านไปทั้งร่างโดยไร้การควบคุม ความจริงที่ได้ยินทำให้เขาแทบลมหายใจติดขัด
“หวางเย่…” เขาพึมพำ “แสดงว่าผู้ที่วางกับดักนี้มิใช่แค่ม่ออวิ๋นเฉิน หากแต่เป็ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับราชบัลลังก์ในยุคถัดไป!”
ท่านราชครูพยักหน้าเบา ๆ พร้อมหลับตา ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาด้วยแววตานิ่งลึก
"ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้ในราชสำนักเริ่มมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าของใช้ส่วนพระองค์ของหวางเย่ ได้สูญหายไป..." แม่ทัพเว่ยซ่างเทียนกัดฟันแน่น ความรู้สึกของผู้ที่เกือบพลาดท่าถูกปะาทั้งตระกูลโดยไม่รู้ตัวทำให้เขาเจ็บแค้นจนแทบะเิออกมา เขาค้อมศีรษะลงต่ำ
"ขอบคุณท่านราชครูที่เมตตาช่วยเหลือ ข้าจะไม่มีวันลืมพระคุณครั้งนี้"
ไป๋เหวินชางโบกมือเบา ๆ เป็เชิงไม่ให้ต้องเกรงใจ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยแววตาที่ล้ำลึกกว่าเดิม
"เว่ยซ่างเทียน... หากเ้าและตระกูลเว่ยสามารถรอดพ้นเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้ จงอย่าได้สรรหาคู่ครองใดให้แก่บุตรสาวของเ้าอีก" คำพูดนี้ทำให้แม่ทัพเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ ทว่าก็ไม่กล้าขัด หากแต่แววตายังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
"เหตุใดหรือ ท่านราชครู?" ราชครูแย้มรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะกล่าวช้า ๆ ราวกับปล่อยให้คำพูดนั้นแทรกซึมเข้าไปในจิตใจ
"เพราะ์ได้กำหนดเนื้อคู่ของนางไว้แล้ว และเขาผู้นั้น… จะมิใช่เพียงคู่ชีวิตของนาง หากแต่จะเป็คนที่สามารถเปลี่ยนชะตาทั้งแผ่นดิน" แม่ทัพเว่ยซ่างเทียนถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น ทั้งประหลาดใจ ทั้งหวังลึก ๆ ว่าเื่นี้จะนำพาโอกาสครั้งใหม่ให้ตระกูลเว่ย
"หากข้ารอดจากหายนะครั้งนี้ไปได้ ข้าจะต้องมาเยี่ยมเยียนท่านอีกแน่นอน"
แม่ทัพเว่ยซ่างเทียนคารวะก่อนหันหลังกลับ ใบหน้าของเขาในยามนี้ไม่ใช่เพียงขุนศึกที่กำลังสู้เพื่อครอบครัวอีกต่อไป แต่เป็ชายผู้หนึ่งที่เพิ่งได้รับโอกาสครั้งใหม่จาก์ ขณะควบม้าฝ่าถนนสายหลักกลับสู่จวน ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่าน แม่ทัพเว่ยซ่างเทียนที่แม้จะอยู่ในครุ่นคิดก็ยังคงไม่ละทิ้งสัญชาตญาณของนักรบ เขาชะลอฝีเท้าอาชาเล็กน้อยเมื่อมองเห็นเงาทะมึนกลุ่มหนึ่งที่หน้าร้านน้ำชาริมทาง
ชายกลุ่มนั้น สวมอาภรณ์ของกองกำลังสังกัดหวางเย่ ไท่ฉิงหลัว ทหารราชสำนักที่ได้รับการฝึกมาอย่างเข้มงวด พวกมันนั่งล้อมวงอยู่รอบโต๊ะไม้ในร้านเรียบง่าย ขณะจิบชาอย่างเงียบเชียบ แต่แววตาที่ส่งมาทางเขา และที่สำคัญ… รอยยิ้มแปลกประหลาดนั้น
รอยยิ้มซึ่งไม่ใช่ความเคารพ ไม่นับถือ หากแต่แฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ย ราวกับรู้ความลับบางอย่าง ราวกับพวกมันรู้ว่า เวลาแห่งความตายของเขา… ใกล้มาถึงเต็มที
“หึ… หมาเฝ้าประตูมาแล้วสินะ”แม่ทัพเว่ยซ่างเทียนบ่นกับตนเองในใจ ขณะที่แววตาคมกล้ากวาดมองพวกมันอย่างไม่แสดงพิรุธ แม้ท่าทีของพวกมันจะเรียบร้อย ไร้พิรุธในสายตาของคนทั่วไป แต่สำหรับแม่ทัพที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน เขา ััได้ถึงกลิ่นคาวเืที่แฝงอยู่ใต้ความสงบนิ่งนั้น
“พวกมันยังไม่ลงมือในตอนนี้… แผนของพวกมันคือการบุกเข้าจวนของข้าในยามงานเลี้ยงค่ำ เพื่อเปิดโปง ข่มขู่ และตัดรากถอนโคนข้าให้สิ้นชื่อ…ต่อหน้าผู้คน”
เขาขบกรามแน่น ฝ่ามือที่จับบังเหียนสั่นเล็กน้อยด้วยความโกรธเกรี้ยว
“พวกเ้าคิดว่าข้าจะยอมเป็เหยื่ออยู่ในกรงเช่นนั้นหรือ…?” แผ่นหลังของเขายืดตรง สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเด็ดขาด ท่ามกลางลมเย็นที่เริ่มพัดแรงขึ้น ราวกับพายุแห่งโชคชะตากำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้แม่ทัพเว่ยซ่างเทียน กดส้นเท้าลงที่ท้องม้าเสียงควบม้าดังขึ้นกึกก้องบนถนนสายเก่าเพื่อเตรียมรับศึกที่กำลังจะมา และเขาจะเป็ผู้ที่เขียนบทสุดท้ายด้วยมือตนเอง
ทันทีที่แม่ทัพเว่ยซ่างเทียนเหยียบเท้ากลับถึงจวน ความหนักอึ้งของโชคชะตาอันใกล้เข้ามาก็ถาโถมเข้าหาเขาดังพายุคลั่ง ภายนอกเขาอาจดูสงบนิ่ง เยือกเย็นดั่งผิวน้ำไร้ระลอกคลื่น แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยสายธารแห่งความคิดที่กำลังเชี่ยวกราก
“หากพลาดแม้เพียงก้าวเดียว… ชีวิตของลูกหลานข้า ทุกผู้คนในตระกูลจะกลายเป็เถ้าถ่าน”เสียงความคิดกระซิบดังก้องในห้วงจิต
“แผนของพวกมันคือให้ข้ากลืนเบ็ดด้วยน้ำมือของตัวเอง... ข้าต้องมีของล่อที่พวกมันไม่อาจต้านทานได้”
ม่ออวิ๋นเฉิน ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาประหนึ่งภาพวาด แต่หัวใจโสมมยิ่งกว่าหมาจรจัดถูกเขียนไว้กลางกระดาษอย่างแ่าเว่ยซ่างเทียนหลับตาลงเพียงชั่วครู่ ย้อนนึกถึงพฤติกรรมของม่ออวิ๋นเฉิน เสือผู้หญิง นักล่าตัณหา ไม่เคยปล่อยสตรีนางใดให้หลุดมือได้แม้แต่สาวใช้ในจวนเขายังเคยถูกสายข่าวกระซิบว่าเ้าผู้นั้นจ้องมองด้วยสายตาหิวกระหายดวงตาของแม่ทัพเว่ยสว่างวาบขึ้นในทันใด ราวกับเทพแห่งากระซิบคำแนะนำให้เขา
“เ้าชื่นชอบหญิงงามนักใช่ไหม… เช่นนั้นข้าจะให้เ้าได้ลิ้มรสเหยื่อลวงตนเองจนลืมกระทั่งกลิ่นเื”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้