ตอนที่ 9 เฉินอี้ฟานและไป๋เสวี่ย
ณ สำนักงานใหญ่ของไทเกอร์คอร์ป...
หลี่เจี๋ยกำลังมองรายงานสรุปความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา สายตาของเขาหยุดกึกที่การล่มสลายของ GFH
“การขายชอร์ตครั้งใหญ่นี้ ใครเป็คนทำ?” เขาถามหัวหน้านักวิเคราะห์ของเขา
“เราตรวจสอบไม่ได้เลยครับท่านประธาน” นักวิเคราะห์ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“มันเป็การโจมตีที่รวดเร็ว เด็ดขาด และไร้ร่องรอย... เงินทุนถูกโยกย้ายผ่านโบรกเกอร์นิรนามในต่างประเทศ เหมือนการทำงานของ 'ผี’ เลยครับ”
หลี่เจี๋ยเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ รอยยิ้มที่น่าสนใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา...การเคลื่อนไหวที่สมบูรณ์แบบ... ความกล้าหาญที่บ้าบิ่น และจังหวะเวลาที่แม่นยำราวกับจับวาง...ราวกับตาเห็นและรู้อนาคตว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น…
“ตามรอยเงินก้อนนี้ให้เจอ” เขาออกคำสั่ง
“ฉันไม่สนว่าจะต้องใช้วิธีไหน... ตามล่า ‘ผี’ ตนนี้ให้พบ ฉันมีความรู้สึกว่า... เราจะได้เจอกับเื่ที่น่าสนุกกว่านี้อีกเยอะ”
พยัคฆ์ร้าย... ได้เริ่มััถึงร่องรอยของฟีนิกซ์ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดแล้ว
----
โครงสร้างนั้นถูกออกแบบมาอย่างแยบยล บริษัทแม่ถูกจดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมนในฐานะบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่สามารถสืบหาเ้าของที่แท้จริงได้ บริษัทนี้ถือหุ้น 100% ในบริษัทลูกที่จดทะเบียนในฮ่องกง และบริษัทในฮ่องกงนี่เองที่ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัทที่ตั้งขึ้นในเซี่ยงไฮ้ ชื่อของซูเหม่ยหลินไม่ปรากฏอยู่ในเอกสารใดๆ เลยแม้แต่ฉบับเดียว เธอคือ (ผี) ’ ที่ไม่มีตัวตนในทางกฎหมาย แต่เป็ผู้ควบคุมทุกอย่างจากเื้ั
ในขณะเดียวกัน หวังเทียนซานถูกแต่งตั้งให้เป็ผู้ก่อตั้งและ CEO อย่างเป็ทางการในเอกสารทุกฉบับ เขาคือ ใบหน้า ของบริษัทคือตัวตนที่โลกภายนอกจะมองเห็น
งานต่อไปคือการสร้างป้อมปราการทางกายภาพ ตามคำสั่งของซูเหม่ยหลิน หวังเทียนซานได้เข้าซื้อโกดังร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเขตชานเมืองที่ห่างไกล มันเป็ทรัพย์สินที่ดูไม่มีราคาค่างวด สภาพทรุดโทรมและถูกทิ้งร้างมานานหลายปี แต่ท่านประธานกลับกำชับให้เขาติดตั้งระบบไฟฟ้าและระบบหล่อเย็นที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่จะหาได้ พร้อมกับวางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับเดียวกับที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลของรัฐบาล
“เราจะใช้โกดังนี้ทำอะไรหรือครับ?” เทียนซานเคยถามด้วยความสงสัย
“สร้างหัวใจของเรา” เธอตอบกลับมาเพียงสั้นๆ
เขาไม่เข้าใจความหมายของมันในตอนนั้น แต่ก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เขาทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อเปลี่ยนโกดังร้างให้กลายเป็ศูนย์ข้อมูลลับสุดยอดที่พร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ มันเป็อีกหนึ่งการเคลื่อนไหวที่ดูไร้เหตุผล แต่เขาก็เชื่อมั่นในการตัดสินใจของนายหญิงของเขาอย่างสุดหัวใจ
ทีมงานชุดแรกของฟีนิกซ์เทคยังไม่มีใครเลยนอกจากหวังเทียนซาน เขาใช้เครือข่ายฟรีแลนซ์และเอาท์ซอร์สสำหรับงานด้านอื่นๆ เพื่อจำกัดจำนวนคนที่เข้าถึงข้อมูลภายใน ทุกอย่างถูกเก็บเป็ความลับสุดยอด
ค่ำคืนนั้น หลังจากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว หวังเทียนซานยืนอยู่คนเดียวกลางออฟฟิศที่ว่างเปล่า เขามองโลโก้ที่เพิ่งติดตั้งเสร็จบนผนัง มันคือภาพของนกฟีนิกซ์ที่กำลังสยายปีกทะยานขึ้นจากเปลวเพลิง ออกแบบด้วยลายเส้นที่เฉียบคมและทันสมัย ทรงพลังและงดงามในเวลาเดียวกัน
ครืด...
โทรศัพท์ของเขาสั่นขึ้น เป็อีเมลที่เข้ารหัสอย่างแ่าจาก ‘ประธาน’ เขารีบเปิดอ่าน... เนื้อหาในอีเมลไม่มีข้อความใดๆ เลย มีเพียงไฟล์แนบไฟล์เดียว เขากดดาวน์โหลดและเปิดมันขึ้นมา...
สิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เืในกายของหวังเทียนซานพลันสูบฉีดอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงจนแทบถลนออกมานอกเบ้า
มันคือ ‘โค้ด’ ...
เป็ชุดคำสั่งอัลกอริทึมสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียรูปแบบใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน โครงสร้างของมันงดงามราวกับบทกวี ประสิทธิภาพของมันสมบูรณ์แบบราวกับงานศิลปะ มันล้ำหน้ากว่าทุกสิ่งที่เขารู้จักในยุคนี้ไปอย่างน้อยห้าปี!
เขานั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ มือยังคงถือโทรศัพท์ค้างไว้ ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในหัว... นี่เขาไม่ได้กำลังทำงานให้กับสตรีผู้เปี่ยมด้วยความแค้น...
แต่เขากำลังทำงานให้กับอัจฉริยะ... อัจฉริยะที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วยปลายนิ้ว...
“คุณคือใบหน้าและเสียงของฟีนิกซ์เทค...” เสียงสังเคราะห์ของเธอที่เคยพูดไว้ดังขึ้นมาในหัวของเขา “...ส่วนฉันคือเงามืดที่คอยกระซิบอยู่ข้างหูคุณ... จงจำไว้เสมอว่าเงามีไว้เพื่อซ่อนตัว... และเพื่อโจมตีในตอนที่ศัตรูตายใจที่สุด”
บัดนี้... หวังเทียนซานเข้าใจแล้วว่าเงามืดที่เขารับใช้อยู่นั้น น่าสะพรึงกลัวเพียงใด
-----
ณ มุมหนึ่งของมหาวิทยาลัย F ที่สว่างสดใสและเปี่ยมด้วยความฝัน บรรยากาศช่างแตกต่างจากโลกอันมืดมนของฟีนิกซ์เทคโดยสิ้นเชิง เฉินอี้ฟานกำลังเป็ดาวเด่นที่เจิดจรัสที่สุดในคณะบริหารธุรกิจ ชัยชนะจากการแข่งขันแผนธุรกิจสตาร์ทอัพระดับชาติทำให้เขากลายเป็คนดังในชั่วข้ามคืน เขาเดินไปทางไหนก็มีแต่คนเข้ามาทักทายและแสดงความชื่นชม
“สุดยอดไปเลยอี้ฟาน! แพลตฟอร์ม ‘Link-Us’ ของนายจะต้องเปลี่ยนโลกแน่ๆ!”
“อี้ฟาน! หลังเรียนจบมาทำงานกับบริษัทที่บ้านฉันไหม!”
เฉินอี้ฟานโปรยยิ้มที่มีเสน่ห์ไปทั่ว รับคำเยินยอเ่าั้ด้วยท่าทีถ่อมตนจอมปลอม แต่ในใจกลับพองโตไปด้วยความภาคภูมิใจ เขารักความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกของการเป็จุดสนใจ เป็ศูนย์กลางของจักรวาล
เขานั่งลงที่โต๊ะประจำในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ที่ซึ่งไป๋เสวี่ยกำลังรออยู่พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้
“เหนื่อยหน่อยนะจ๊ะ คนดังของฉัน”
“ไม่เหนื่อยเลยเพื่ออนาคตของเรา” เขาตอบกลับ พร้อมกับจับมือเธอขึ้นมาจุมพิตเบาๆ
“แต่่นี้ฉันหงุดหงิดนิดหน่อย”
“เื่ซูเหม่ยหลินอีกแล้วเหรอ?” ไป๋เสวี่ยถาม พลางแสร้งทำหน้าเป็ห่วง
“เธอยังไม่ติดต่อกลับมาอีกเหรอ?”
“ไม่เลย!” เฉินอี้ฟานกล่าวอย่างหัวเสีย
“หายตัวไปเลยเหมือนคนไร้ความรับผิดชอบ! ไม่มาเรียน ไม่ตอบข้อความ ฉันไปถามเพื่อนร่วมห้อง เธอก็บอกว่าเหม่ยหลินขนของย้ายออกไปั้แ่สามวันก่อนแล้ว! นี่มันบ้าอะไรกัน!”
เขาไม่ได้เป็ห่วงซูเหม่ยหลินเลยแม้แต่น้อย แต่เขาโมโหที่ โปรแกรมเมอร์ส่วนตัวของเขาหายตัวไป ‘Link-Us’ ที่เขาใช้ชนะการแข่งขันเป็เพียงแค่โครงสร้างพื้นฐานที่เหม่ยหลินเคยร่างไว้ให้ ส่วนรายละเอียดเชิงลึกและฟังก์ชันที่ซับซ้อน... เขาทำเองไม่เป็!
“เธอเป็เหมือนเครื่องมือชั้นดี...” เขาบ่นกับไป๋เสวี่ย
“...คมกริบและใช้งานง่าย แต่ปัญหาของเครื่องมือก็คือ มันไม่มีหัวคิดเป็ของตัวเอง ถ้าเราไม่สั่ง มันก็ไม่ทำอะไรเลย”
ไป๋เสวี่ยบีบมือเขาเบาๆ ดวงตาของเธอฉายแววบางอย่างที่ซับซ้อน
“อย่าไปคิดถึงเธอเลยน่าอี้ฟาน บางทีเหม่ยหลินอาจจะอิจฉาที่คุณประสบความสำเร็จจนเกินหน้าเกินตาเธอก็ได้นะ คนแบบ นั้นน่ะยึดติดกับโลกของตัวเองเกินไป ไม่เข้าใจวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของคุณหรอก”
คำพูดของเธอราวกับน้ำผึ้งที่ชโลมใจของเฉินอี้ฟาน เขาพยักหน้าเห็นด้วย
“เธอพูดถูก บางทีการที่เหม่ยหลินหายไปอาจจะเป็เื่ดีก็ได้ ฉันจะได้มีสมาธิกับโปรเจกต์ต่อไปของฉันอย่างเต็มที่”
“โปรเจกต์ต่อไปเหรอคะ?”
“ใช่!” ดวงตาของเขาเป็ประกาย
“ฉันกำลังคิดเื่ ‘สกุลเงินดิจิทัล’ มันจะเป็สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า Link-Us หลายร้อยเท่า! เราจะสร้างระบบการเงินของเราเอง! ชื่อของมันคือ ‘ยูนิเวิร์สคอยน์’ !”
เขาพูดถึงมันด้วยความตื่นเต้น แต่ทั้งหมดเป็เพียงแค่คำพูดที่สวยหรู เขาไม่มีความรู้ด้านการเข้ารหัสหรือเทคโนโลยีบล็อกเชนเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดเป็เพียงไอเดียที่เขาเคยได้ยินซูเหม่ยหลินพึมพำกับตัวเองเท่านั้น
ในขณะที่ทั้งสองกำลังวาดฝันถึงอนาคตอันสวยหรูอยู่นั้น อีเมลฉบับหนึ่งก็ถูกส่งเข้ามาในโทรศัพท์ของเฉินอี้ฟาน
เขาเปิดอ่าน และรอยยิ้มก็กว้างขึ้นกว่าเดิม
“ข่าวดีไป๋เสวี่ย!ไจแอนท์ เวนเจอร์ แคปปิตอล ติดต่อมาแล้ว! พวกเขาประทับใจแผนธุรกิจ Link-Us ของฉันมากและอยากจะนัดคุยเื่การให้เงินทุนสนับสนุนรอบแรก!”
“จริงเหรอ! ยินดีด้วยนะอี้ฟาน!”
ไป๋เสวี่ยดีใจจนออกนอกหน้า นี่คือบันไดขั้นแรกสู่ชีวิตที่หรูหราที่เธอวาดฝันไว้ เฉินอี้ฟานและไป๋เสวี่ยกำลังเดินเคียงข้างกันท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายอันอบอุ่นของมหาวิทยาลัย โลกทั้งใบดูเหมือนจะสว่างไสวและเป็ของพวกเขาทั้งสองคน...
แต่แล้ว เสียงเรียกเข้าที่แหลมเล็กของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำลายบรรยากาศอันสมบูรณ์แบบนั้นลง เขาหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความรำคาญใจเล็กน้อย... หน้าจอแสดงผลเป็
‘เบอร์ที่ไม่รู้จัก’
“เบอร์แปลกๆ แฮะ”
เขาบ่น แต่ก็ปัดนิ้วรับสายด้วยความเคยชินของคนดังที่มักมีคนอยากติดต่ออยู่เสมอ
“สวัสดีครับ”
ความเงียบ...
ไม่ใช่ความเงียบของสัญญาณที่ขาดหายแต่เป็ความเงียบที่จงใจ หนักอึ้ง และเยียบเย็น ราวกับมีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาผ่านคลื่นโทรศัพท์ รอคอยจังหวะที่เหมาะสมที่สุด
ก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งดังออกมาจากปลายสาย...มันเป็เสียงที่ไม่ได้เกิดจากกล่องเสียงของมนุษย์ เป็เสียงสังเคราะห์ที่ถูกดัดแปลงด้วยคอมพิวเตอร์จนไร้เพศ ไร้สูงต่ำ และปราศจากลมหายใจ มันเรียบสนิทราวกับพื้นผิวของโลหะที่เย็นเฉียบ ทุกพยางค์ถูกเปล่งออกมาด้วยจังหวะที่สมบูรณ์แบบจนน่าขนลุก เป็เสียงของเครื่องจักร เสียงของความว่างเปล่า
“คุณเฉินอี้ฟาน... เราขอแสดงความยินดีกับชัยชนะของคุณ...”
เฉินอี้ฟานขมวดคิ้ว ความรู้สึกรำคาญใจแปรเปลี่ยนเป็ความประหลาดใจระคนสงสัย
“คุณเป็ใคร?”
เขาถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเจือความเย่อหยิ่ง
แต่เสียงนั้นกลับทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามของเขา มันพูดต่อด้วยโทนเสียงระดับเดียวกันที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ราวกับว่าตัวตนของเฉินอี้ฟานนั้นไม่มีความหมายพอที่จะทำให้มันต้องเปลี่ยนจังหวะ
“...แต่ทุกความสำเร็จ ย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ”
ติ๊ด!
สายถูกตัดไปดื้อๆ ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่น่าอึดอัดกว่าเดิม
เฉินอี้ฟานยืนนิ่งอยู่กับที่ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจางหายไป แสงแดดที่เคยอบอุ่นเมื่อครู่ บัดนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็เพียงแสงไฟนีออนที่ซีดเซียว ความรู้สึกเย็นเยียบวาบหนึ่งแล่นผ่านสันหลังของเขา. มันไม่ใช่ความกลัวธรรมดา แต่มันคือความรู้สึกของเหยื่อที่เพิ่งตระหนักว่าตัวเองกำลังถูกนักล่าที่มองไม่เห็นจ้องมองอยู่!
“ใครโทรมาเหรออี้ฟาน?”
ไป๋เสวี่ยถามขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา
“ไม่รู้สิ...” เขาตอบ พยายามปัดความรู้สึกไม่สบายใจนั้นทิ้งไปอย่างสุดความสามารถ บังคับตัวเองให้กลับมาเป็เฉินอี้ฟานคนเดิมที่มั่นใจและไม่เคยหวั่นไหว “สงสัยพวกโทรมาขายประกันโรคจิตล่ะมั้ง... ไร้สาระ! ไปกันเถอะ”
เขายกแขนขึ้นโอบคอไป๋เสวี่ยแล้วเดินต่อไป พยายามหัวเราะและพูดคุยเื่อื่นเพื่อกลบเกลื่อน...
แต่ในใจของเขากลับยังคงได้ยินเสียงประหลาดนั้นดังก้องอยู่... ‘ทุกความสำเร็จ ย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ’
มันเป็เพียงคำพูดของพวกโรคจิต... หรือเป็ลางบอกเหตุถึงพายุที่กำลังจะพัดเข้ามา?
เขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย... ว่าปราสาททรายที่เขากำลังก่อขึ้นอย่างภาคภูมิใจนั้น... ได้ถูกคลื่นั์ที่มองไม่เห็น... กำหนดวันพังทลายไว้เรียบร้อยแล้ว
*** ระวังนะ!!! อาจจะเป็ call center จากพนมเปญ สายตรงของฮุนเซนมันยิ่งเงินหมดแล้วอยู่ ****