“นั่นเป็หัวหน้าคุมงานหลิ่วหรือขอรับ!” อาชิงขานรับหนึ่งเสียง
“ใช่แล้ว อาชิง ครอบครัวซิ่วฉายหยางมาแล้วหรือ?”
ครอบครัวซิ่วฉายหยางสามคนรีบลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกทันที
ชาวบ้านร่างกายกำยำล่ำสันสิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่นอกบ้าน พากันมองไปในบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“โอ๊ะ อาจารย์สอนหนังสือมาแล้วจริงๆ ด้วย! เสี่ยวซานของข้าฝากฝังท่านแล้ว!”
“นี่เป็นายท่านซิ่วฉายใช่หรือไม่? ท่าทางดูมีความรู้จริงๆ”
“ฉางกุ้ยเชิญอาจารย์มาจริงด้วย ไม่เสียดายเลยจริงๆ นะเนี่ย ต้องใช้จ่ายเงินไปไม่น้อยน่าดู”
“ท่านอาจารย์ ท่านเป็นายท่านซิ่วฉายหรือ?”
“…”
ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนถกแขนเสื้อม้วนขากางเกง ทั้งร่างมีเศษฝุ่นจากการก่อสร้าง คิดๆ ไปแล้วคงได้ยินการเคลื่อนไหวจึงวิ่งมาดูคนจริงๆ ให้เห็นกับตา
“หยุดรุมล้อมได้แล้ว ถอยหลังมาหน่อย หลับหูหลับตาโวยวายอะไรกัน ไม่เห็นหรือว่าบุตรสาวตัวน้อยใแล้ว” หลิ่วฉางผิงโบกมือให้ชาวบ้านที่เป็ลูกน้องในการทำงานกระจายออกมาหน่อย ต่างเป็บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ไม่กลัวว่าครอบครัวซิ่วฉายหยางจะใวิ่งหนีกันบ้างหรือ
“ซิ่วฉายหยางอย่าได้ตำหนิ ล้วนเป็คนด้อยการศึกษาไม่เคยเจอเหตุการณ์ต่างๆ ภายนอก พวกเขาแค่อยากมาดูอาจารย์ที่มาสอนหนังสือกันเท่านั้น” หลิ่วฉางผิงยิ้มแล้วโค้งกายแสดงการสำนึกผิด
“ไม่เป็ไรเลย” ซิ่วฉายหยางเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างนุ่มนวล ขวางบังภรรยาไว้ “ผู้น้อยหยางเสี่ยนซาน เป็คนจากอำเภอจางหย่วนหมู่บ้านเซี่ยหย่วน สอบเข้าเป็ซิ่วฉายปีที่ยี่สิบสอง ครานี้ได้รับการเชื้อเชิญจากสกุลหู มารับตำแหน่งอาจารย์ของโรงเรียนแห่งนี้ ต่อไปขอฝากเนื้อฝากตัวกับผู้าุโในหมู่บ้านด้วย”
“เป็นายท่านซิ่วฉายจริงด้วย หมู่บ้านเรามีอาจารย์ซิ่วฉายแล้ว”
“อำเภอจางหย่วน? ห่างจากหมู่บ้านพวกเราไกลมากเลยนะ”
“ซิ่วฉายหยาง ขอให้ท่านโปรดชี้แนะเด็กน้อยของพวกเราสิถึงจะถูก”
“ซิ่วฉายหยาง บุตรคนเล็กบ้านข้าอายุสิบสองปีแล้ว อายุอยู่ในเกณฑ์เข้าเรียนได้พอดี หากเขาไม่เชื่อฟัง ท่านฟาดเขาแรงๆ ได้เลย”
ชาวบ้านทักทายกับซิ่วฉายหยางด้วยการแย่งกันพูด กล่าวเกี่ยวกับบุตรที่เตรียมจะเข้าเรียนของตนเอง
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง หลิ่วฉางผิงถึงะโหยุดพวกเขา “พอแล้วๆ อาจารย์ก็ดูแล้ว รีบกลับไปสร้างโรงเรียนให้เสร็จ ไม่เช่นนั้นบุตรของผู้ใดก็ล้วนเข้าเรียนไม่ได้ทั้งนั้น”
ครอบครัวหลิ่วฉางผิงมีบุตรชายสองคน หนึ่งคนอายุสิบสองปีพอดี คนหนึ่งอายุเก้าปี ล้วนอยู่ในขอบเขตเข้าเรียนได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
บุรุษร่างหนาพากันเฮโลกลับไป
ซิ่วฉายหยางเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก แม้รู้ว่าชาวบ้านเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ถูกชายฉกรรจ์ร่างกำยำหนึ่งกลุ่มห้อมล้อมไว้ อย่างไรก็ยังน่ากลัวอยู่เล็กน้อย
จ้าวเหวินเฉียงหัวหน้าหมู่บ้านกับหวงซื่อเอ้อระเหยลอยชายมาสาย พวกเขากำลังอุ้มเครื่องนอนสองผืนใหม่เอี่ยม บังเอิญพบเข้ากับหูฉางกุ้ยและเจินจูอยู่หน้าประตูบ้านซิ่วฉายหยาง
ไม่กี่วันก่อนจ้าวเหวินเฉียงปรึกษาหารือเชิงลึกกับครอบครัวสกุลหูในประเด็นของโรงเรียนโดยเฉพาะ
สกุลหูจัดตั้งโรงเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อเด็กหมู่บ้านวั้งหลิน ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน แน่นอนว่าจ้าวเหวินเฉียงไม่สามารถเฝ้ามองอย่างนิ่งดูดาย และไม่ทำอะไรเลยได้
หลังจากที่เขาหารือกับสกุลหูและตัดสินใจแล้ว ในส่วนของเสบียงอาหารของอาจารย์สอนหนังสือกับอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้จะรับผิดชอบโดยคนทั้งหมู่บ้าน จะนำข้าวและธัญพืชแต่ละรอบฤดูกาลมาส่งให้เพียงพอ ของใช้กระจุกกระจิกอย่างเครื่องครัวกับเครื่องนอนหมอนเหล่านี้ของบ้านใหม่ ล้วนจะจัดซื้อโดยการรวบรวมเงินทุนในหมู่บ้าน
เจินจูได้ฟังก็รู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านมีการคิดเพื่อผลประโยชน์ที่ดี สกุลหูออกส่วนใหญ่ ในหมู่บ้านออกส่วนน้อย ชื่อเสียงกลับเป็การแบ่งปันร่วมกันอย่างมีความสุข
เจินจูไม่ได้คัดค้าน อยากใช้ชีวิตอยู่หมู่บ้านวั้งหลินอย่างยาวนาน ย่อมหนีไม่พ้นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับหัวหน้าหมู่บ้านและชาวไร่ชาวนา ทำให้ในหมู่บ้านได้รับประโยชน์นิดหน่อยอย่างเหมาะสมก็เป็เื่ดีต่อสกุลหูเช่นกัน
หัวหน้าของหมู่บ้านวั้งหลินมาเยี่ยมเยือนซิ่วฉายหยางที่มาใหม่ด้วยตนเอง เป็การให้เกียรติเขาอย่างเพียงพอแล้ว
แม้ซิ่วฉายหยางจะวุ่นมาตลอดทางและร่างกายเหนื่อยล้า แต่ก็ต้องปลุกเร้าจิตใจขึ้นมาทักทายแขก
เจินจูมองสีหน้าท่าทางอ่อนเพลียของซิ่วฉายหยางและภรรยา มือเล็กโบกขึ้นทันที “ท่านแม่ของข้าเตรียมอาหารกลางวันไว้ที่บ้านแล้ว เพื่องานเลี้ยงต้อนรับแขกที่เดินทางมาไกลอย่างครอบครัวของซิ่วฉายหยาง ทุกท่านเชิญทานข้าวกลางวันด้วยกันแล้วค่อยคุยเื่อื่นเถอะเ้าค่ะ”
“ใช่ๆ ท่านอาจ้าวกับท่านอาสะใภ้จ้าวล้วนมาถึงบ้านข้าแล้วไปทานข้าวด้วยกันเถอะ” หูฉางกุ้ยคล้อยตามทันที
“อาชิง ไปเรียกอาจารย์เ้ามาทานข้าวได้แล้ว” สองศิษย์อาจารย์ย้ายเข้าบ้านใหม่ได้สองวันแต่ยังคงมาทานข้าวด้วยกันที่บ้านสกุลหูเป็การชั่วคราว
คนหนึ่งกลุ่มเดินไปทางบ้านครอบครัวหู
การมาถึงของครอบครัวซิ่วฉายหยาง สกุลหูให้ความสำคัญอย่างมาก อยู่ในยุคสมัยที่ ’แต่ละอย่างต่างเป็ของคุณภาพต่ำ มีแต่เล่าเรียนที่สูงได้ [1]’ แห่งนี้ อาจารย์สอนหนังสือจึงเป็ที่นับหน้าถือตาของผู้คนอย่างมาก
หวังซื่อเจียดเวลาออกมาเป็พิเศษเพื่อมาช่วยงาน
ชายชราสกุลหูสวมเสื้อคลุมชายยาวสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำตัวใหม่แต่เช้า ะโมาลงมือออกคำสั่งถึงบ้านบุตรชายคนเล็กด้วยตนเองอย่างกระปรี้กระเปร่า
นับั้แ่ข่าวครอบครัวบุตรชายคนเล็กจัดตั้งโรงเรียนแพร่ออกไป ลมทั้งหมู่บ้านล้วนเปลี่ยนทิศ ความอิจฉาด้วยความชื่นชมหรืออิจฉาริษยาในเมื่อก่อน ตอนนี้ต่างก็เปลี่ยนเจตนาในใจกันไปหมด ที่เข้ามารุมล้อมหากไม่ใช่ประจบเอาใจและชื่นชมก็เป็การสืบข่าวคราววนไปวนมา
งานเลี้ยงต้อนรับแขกที่เดินทางมาไกลตามปกติแล้วจะแบ่งเป็สองโต๊ะ
สองฝ่ายแนะนำกันอยู่พักหนึ่ง รู้จักกันและกัน พร้อมทักทายหนึ่งรอบ แล้วถึงพากันเข้านั่งประจำที่งานเลี้ยง
บนโต๊ะมีพะโล้เนื้อกวางเป็อาหารจานหลัก เนื้อกวางพะโล้จนมีรสชาติเข้มข้นอย่างมาก หั่นเป็ระเบียบเรียบร้อย กองเป็หนึ่งถาดใหญ่
กระเพาะหมูผัดไฟแดง ปลาไหลเครื่องปรุงน้ำแดง ปลาเงินทอดกรอบ ผัดปลาซิวเผ็ดหอม น้ำแกงผักกวางตุ้งลูกชิ้นปลา ผัดผักกวางตุ้งฮ่องเต้
อาหารประเภทปลาเต็มโต๊ะ ล้วนเป็ผลงานของเจินจู อาชิง และหลัวจิ่งที่ไปบึงมรกตกันมาเมื่อวาน
หลัวจิ่งรู้สึกว่าขาส่วนที่หักไม่ได้ขัดข้องมากแล้วจึงตามไปด้วย ไปกลับหนึ่งรอบ นอกจากตอนค่ำจะเจ็บนิดหน่อยแล้ว เวลาอื่นกลับพบว่าสบายดี
น้ำของบึงมรกตหนาวเย็น เจินจูให้เขาใช้ตาข่ายดักปลาอยู่ริมบึงเท่านั้น
ส่วนนางกับอาชิงแยกไปคนละด้าน ยืนอยู่ในบึงน้ำลึกไม่ถึงน่องขาแล้วดักปลา
สามคนไปกันครึ่งวัน ปลาขนาดเล็กใหญ่จับมาได้ครึ่งตะกร้าสามใบ
รูปแบบอาหารที่ใช้ต้อนรับครอบครัวซิ่วฉายหยางก็ออกมาแล้ว
เสียงชื่นชมในงานเลี้ยงต้อนรับแขกทางไกลของทุกคนได้สิ้นสุดลง
ซิ่วฉายหยางหิ้วถังไม้หนึ่งใบ มีปลาไหลห้าตัวหกตัวะโเต้นอยู่ในถัง
มารดาของอาหยุนอุ้มเครื่องปั้นดินเผาหนึ่งใบ ด้านในเป็อาหารจำพวกเนื้อที่พะโล้ไว้ดีแล้ว
ส่วนอาหยุนประคองอยู่หนึ่งถาด ้าล้วนเป็ปลาเงินกับปลาซิวที่ทอดน้ำมันเรียบร้อย
หนึ่งครอบครัวสามคนทานกันจนท้องอิ่มหนำ แล้วยังถืออาหารการกินกลับไปลานบ้านเล็กที่สร้างเสร็จใหม่อีกด้วย
ความคิดเห็นของสกุลหูคือให้ครอบครัวซิ่วฉายหยางพักผ่อนสองสามวัน ให้คุ้นชินกับสภาพในหมู่บ้านเล็กน้อย รอให้โรงเรียนสร้างเสร็จแล้วค่อยเตรียมทำหน้าที่สอนหนังสือ
ความคิดเห็นของหัวหน้าหมู่บ้าน กว่าโรงเรียนจะสร้างเสร็จคาดว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณสิบวัน ซิ่วฉายหยางสามารถตรวจสอบเด็กชายที่เตรียมจะเข้าเรียนในหมู่บ้านก่อนได้ หากผู้ใดที่มีความสามารถดีจะได้รับสิทธิพิเศษเข้าเรียนได้ก่อน
พอคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านออกมา เจินจูปฏิเสธทันที นักเรียนรุ่นแรกประกาศรับเด็กชายั้แ่อายุสิบสองปีเต็มลงไป ในปีนี้ตอนนี้รับสมัครเพียงยี่สิบคน ผู้ที่ต่อแถวมาไม่ถึงให้รอเป็รุ่นที่สองของปีหน้า่เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิไปแล้ว
เด็กชายในหมู่บ้านไม่แบ่งความฉลาดและพร์ ล้วนสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสามปี แน่นอนว่าหากไม่ฟังการสั่งสอนจากอาจารย์หรือครูฝึกฝนการต่อสู้ หรือขัดต่อกฎระเบียบของโรงเรียน เช่นนั้นอาจารย์หรือครูฝึกการต่อสู้มีสิทธิ์เชิญให้ออกได้
หลังสามปีไปแล้วหากผ่านการประเมินผลของอาจารย์หรือครูฝึกการต่อสู้ก็สามารถเลือกเรียนอยู่ที่โรงเรียนต่อได้ หรือจะไปเข้าเรียนที่หอสมุดไท่ผิงก็ได้
จ้าวเหวินเฉียงถูกคำพูดของเจินจูทำให้ใจนตะลึงงัน เด็กสาวตัวเล็กผู้นี้ไม่เคยเข้าเรียนเสียหน่อย ไปเอาความคิดพลิกแพลงมากมายเช่นนี้มาจากไหนกัน
แต่โรงเรียนเป็สกุลหูออกทุนสร้าง พวกเขาจะมีกฎระเบียบก็เป็เื่ปกติ
จ้าวเหวินเฉียงไม่ได้รบเร้า อย่างไรเสียหลานชายคนโตของเขาก็อยู่หอสมุดไท่ผิง หลานชายคนเล็กอายุยังไม่ถึงกำหนด หัวข้อแต่ละอย่างของโรงเรียนก็ให้สกุลหูจัดการทุกข์ใจกันเองเถอะ
วันนี้ บ้านใหม่ที่ซิ่วฉายหยางเพิ่งเข้ามาพักกลับคึกคักอย่างมาก มีชาวบ้านรุดหน้ามาเยี่ยมชมอาจารย์สอนหนังสือเป็คลื่นลูกแล้วลูกเล่า
โดยเฉพาะครอบครัวชาวไร่ชาวนาที่ในบ้านมีบุตรชาย ส่วนใหญ่ล้วนเตรียมของขวัญที่สามารถใช้ได้จริงแต่ละชนิดมาให้ อย่างผักกวางตุ้งหนึ่งกำ ถั่วฝักยาวหนึ่งตะกร้า ไข่ไก่ไม่กี่ฟอง มีดสั้นหั่นเนื้อหนึ่งเล่ม ผักดองหนึ่งไห...
เวลา่บ่ายหัวหน้าหมู่บ้านจึงให้อีกคนนำข้าวและธัญพืชปริมาณสามเดือนมาส่ง
รอถึงตอนเย็นประตูบ้านก็ลงกลอน มารดาอาหยุนตรวจตราหนึ่งรอบ เยี่ยมมากเลย กับข้าวสิบวันล้วนเพียงพอแล้ว
“เซียงกง สกุลหูนี่กระทำการยิ่งใหญ่เสียจริง เมื่อตอนเที่ยงข้าได้ยินฟู่เหรินที่แวะมาคุยสองสามคนกล่าวว่าปีที่แล้วครอบครัวสกุลหูเพิ่งร่ำรวยขึ้น ตามปกติสกุลหูใช้ชีวิตกันมาอย่างยากจนมาก ครอบครัวเกษตรกรครอบครัวหนึ่งที่ร่ำรวยขึ้นมาเช่นนี้ ไม่นึกเลยว่าจะจ่ายเงินก้อนใหญ่เปิดโรงเรียนได้อย่างไม่เสียดาย” มารดาอาหยุนฉงนเล็กน้อย สำหรับมุมมองของนางแล้ว ครอบครัวที่ทำใจจ่ายเงินทำการกุศลได้ ส่วนใหญ่เป็ครอบครัวร่ำรวยที่เพียบพร้อมด้วยกำลังทรัพย์และรากฐานมั่นคง
สกุลหู ปีที่แล้วยังยากจนจนต้องทานรำข้าวกลืนผักอยู่เลย นี่เป็คำพูดเดิมที่ไม่มีการดัดแปลงของฟู่เหรินเ่าั้
“นายท่านหูคนรองซื่อสัตย์จริงใจ หาทรัพย์สินเงินทองมาได้ ไม่ลืมน้ำใจและความเมตตาต่อคนในหมู่บ้าน” ซิ่วฉายหยางหยิบสัมภาระของตนเองออกมาทีละชิ้น จัดวางให้เป็ระเบียบเรียบร้อย “แต่ข้าสังเกตอยู่เงียบๆ บ้านนายท่านหูคนรองนี้ ผู้ที่เอ่ยตัดสินใจน่าจะเป็บุตรสาวของพวกเขา เ้าไม่เห็นหรือ ตอนที่บุตรสาวของสกุลหูคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน นายท่านสกุลหูคนรองกับภรรยาล้วนไม่กล่าวอะไรเลย เห็นได้ชัดว่าคุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้”
“…เหมือนจะเป็เช่นนั้น” มารดาของอาหยุนนึกถึงสถานการณ์ตอนบ่าย “มิน่าเล่า ตอนนั้นที่นายท่านหูคนรองกล่าวกับผู้เฒ่าติง ว่าความคิดเห็นในการนำกระต่ายมามอบให้ในวัดเป็บุตรสาวของเขาเสนอออกมา”
“ท่านแม่ พี่สาวสกุลหูทั้งจิตใจดีแล้วยังฉลาด เพราะฉะนั้นท่านพ่อกับท่านแม่ของนางต่างชื่นชอบเชื่อฟังนางกระมังเ้าคะ” อาหยุนดวงตาเป็ประกายปรากฏความเลื่อมใส
ซิ่วฉายหยางลูบศีรษะของบุตรสาวด้วยความอ่อนโยน “อาหยุนชอบพี่สาวสกุลหูหรือ?”
“อื้ม ชอบเ้าค่ะ” อาหยุนพยักหน้าอย่างแรง
ซิ่วฉายหยางและภรรยามองหน้ากันและกันทีหนึ่ง ทั้งคู่ต่างก็พิจารณาจริงจัง
วันต่อมา...
ครอบครัวซิ่วฉายหยางถูกเสียงอื้ออึงปลุกให้ตื่น
สองสามีภรรยามองหน้ากันแวบหนึ่ง สีท้องฟ้ายังไม่สว่างดี ทำไมด้านนอกถึงมีเสียงดังปนเปกันได้
ซิ่วฉายหยางสวมเสื้อผ้าเสร็จก็เปิดประตูลานออก
สถานที่ของโรงเรียนสร้างอยู่ไม่ไกล เสียงคนจอแจวุ่นวาย ประมาณสามสิบสี่สิบคนแบ่งกลุ่มรวมตัวอยู่ด้วยกัน มีขนย้ายทรายและหินบ้าง มีหาบอิฐก่อกำแพงบ้าง มีหาบน้ำกับปูนบ้าง...
ริมฝั่งแม่น้ำมีฉากคนกำลังพลุกพล่าน
“ฟ้ายังไม่สว่างก็เริ่มกันแล้วหรือ” มารดาของอาหยุนยื่นศีรษะออกมามองเล็กน้อยแล้วอุทานหนึ่งที
ที่บ้านใหม่ของครอบครัวหู เจินจูกำลังล้างหน้าแปรงฟัน
นางเป็คนเดียวที่ตื่นขึ้นมาสายที่สุดในครอบครัว
ผิงอันกับหลัวจิ่งออกไปหาฟางเสิงั้แ่ฟ้ายังไม่สว่าง และเริ่มกำหนดการฝึกการต่อสู้ขึ้นแต่เช้าแล้ว
แน่นอนว่าผิงซุ่นก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
ตอนแรกเริ่มผิงซุ่นไม่อยากฝึกการต่อสู้ ทุกวันที่เข้าเรียนและเลิกเรียนล้วนกินเวลาของเขาไปเป็ส่วนใหญ่ แล้วยังรวมกับฝึกการต่อสู้อีก เวลาเล่นสนุกของเขาล้วนไม่มีแล้ว
เขาถูกหวังซื่อบิดหูให้มา
ต่อมาเจินจูบอกเขาว่า ขอแค่เขากับผิงอันสามารถจับอาชิงอยู่ได้ เช่นนั้นจะอนุญาตให้เขาไม่ต้องฝึกการต่อสู้
ผลสุดท้ายจึงเป็ดังที่เห็นชัดเจนนี้
สองคนออกแรงที่ทานน้ำนมไป [2] แม้แต่ชายเสื้อของอาชิงล้วนััไม่ได้เลยสักนิด
ผิงซุ่นอิจฉามาก อาชิงกับเขาวัยใกล้เคียงกัน แต่กำลังใต้ฝ่าเท้ากลับว่องไวปานนี้
หากเขาเรียนรู้จนทำตามได้ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องกลัวบิดากับท่านย่าของตนเองแล้วหรือ
จุดประสงค์ที่มีขึ้นลางๆ ผิงซุ่นเริ่มใช้ชีวิตตื่นเช้ากว่าไก่ทุกวันด้วยความสนใจกระฉับกระเฉง
“ท่านพี่ ท่านไม่ไปฝึกการต่อสู้ด้วยกันกับพวกข้าหรือ?” ผิงอันถามด้วยความแปลกใจ
“ข้าไม่ต้องเรียนหรอก ต่อไปผิงอันเรียนรู้จนสำเร็จก็สามารถปกป้องพี่สาวได้แล้วนี่” ฝึกการต่อสู้ทำให้คนเหนื่อยมาก นางไม่มีความคิดจะหาความโหดร้ายทารุณใส่ตัวหรอก
“อื้ม ต่อไปผู้ใดกล้ารังแกท่านพี่ ผิงอันจะช่วยท่านพี่ฟาดเขาเอง” หมัดเล็กชูขึ้นท่าทางมีความโเี้
เ้าตัวเล็กน่ารักเสียเหลือเกิน เจินจูบีบแก้มน้อยของเขา น้องชายบ้านของนางช่างทำให้คนอบอุ่นหัวใจจริงๆ
เชิงอรรถ
[1] แต่ละอย่างต่างเป็ของคุณภาพต่ำ มีแต่เล่าเรียนที่สูง (万般皆下品,惟有读书高) หมายถึง ทุกอาชีพล้วนต่ำต้อย มีเพียง้าเล่าเรียนเข้ารับข้าราชการจึงเป็เส้นทางที่ถูกต้องและสูงส่ง
[2] ออกแรงที่ทานน้ำนมไป หมายถึง การใช้กำลังทั้งหมดที่มี แรงทั้งหมดนับจากดื่มนมจากเต้า (ั้แ่ยังแบเบาะ) หรือการใช้แรงอย่างเต็มที่สุดกำลังความสามารถ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้