ฮั่วเสี่ยวเหวินเผยอปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
แสงอันอ่อนโยนส่องลงบนแผลเป็รอยยาวที่ใบหน้ามุมข้าง เขาคุยกับหญิงสาวสามคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
ฮั่วเสี่ยวเหวินรู้ว่าเขายังโกรธเื่เมื่อวานอยู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดประชดประชันเช่นนี้ เขายอมตอบตกลงว่าจะให้ยืมเงินหนึ่งร้อยหยวนเพียงเพื่อทำให้เธอโกรธ
ดูสิ ทำท่าทำทางได้ใจเหมือนผู้ชนะที่กำลังโอ้อวดความสำเร็จของตัวเอง
ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่อยากเห็นท่าทีของเขาในตอนนี้จึงหาข้ออ้างเดินออกไป
เมื่อเดินออกมาแล้วกลับเจอเข้ากับจางอิ่นปิน เขาดื่มจนหน้าแดงและเดินตัวเซ
ฮั่วเสี่ยวเหวินหันหน้าไปทางอื่น แสร้งทำเป็มองไม่เห็นอีกฝ่าย รีบเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า
แต่จางอิ่นปินกลับตรงเข้ามาหา ดวงตาของเขาแดงก่ำ เนื้อตัวมีแต่กลิ่นสุรา
ฮั่วเสี่ยวเหวินหยุดเดิน ดูจากสภาพการณ์ตอนนี้ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเขามาร้าย เธอต้องพยายามสงบสติ
เธอถามออกไปว่า “คุณจะทำอะไร?”
จางอิ่นปินชำเลืองตามองเธอก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้น “ถุย หน้าไม่อาย”
ฮั่วเสี่ยวเหวินงุนงง เป็บ้าอะไรของเขา? อยู่ๆ ก็มาด่าเธอแบบไม่มีเหตุผล
จางอิ่นปินด่าต่ออีกประโยคโดยไม่รอให้เธอพูด “ผู้หญิงมันหน้าไม่อายกันทุกคน”
เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาปิดสนิท เหมือนกำลังกลั้นน้ำตา
เมื่อเขาลืมตามองเธออีกครั้ง ฮั่วเสี่ยวเหวินเห็นน้ำตาที่หางตาของเขา ในดวงตามีแต่เส้นเืคล้ายกับคนอดนอนมาทั้งคืน
คราวนี้ฮั่วเสี่ยวเหวินรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ เธอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก เมื่อวานจางเจียิต่อยจางอิ่นปินด้วยความใจร้อน ไม่แน่ว่าวันนี้จะมาเพื่อแก้แค้นกับเธอ
เธอลองขยับเท้า เห็นเขายืนแน่นิ่งก็รีบถอยห่างออกมา ตอนที่หันกลับไปมองอีกครั้งเธอเห็นว่าเขากำลังยืนน้ำตาไหล
ตอนนี้เธอยังกลับบ้านไม่ได้ ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่อยากถูกจางอิ่นปินขวางทางและด่าว่า ‘หน้าไม่อาย’ แบบไม่มีเหตุผลอีก
หลังจากคิดไปคิดมาเธอตัดสินใจไปที่บ้านของจางซู่ อย่างน้อยเขาก็เป็ผู้ใหญ่อายุสิบเก้าปี ถึงเวลาค่อยให้เขาพามาส่งกลับบ้านก็น่าจะปลอดภัย
คิดได้ดังนี้ฮั่วเสี่ยวเหวินจึงเร่งฝีเท้าเดินไปยังบ้านของจางซู่ซึ่งตั้งอยู่ข้างโรงเรียนประจำหมู่บ้าน
ปู่ของจางซู่เป็ปัญญาชนเก่า เคยเป็ผู้ช่วยของนายทหารยศใหญ่ ต่อมาได้สร้างโรงเรียนขึ้นในหมู่บ้าน หรือก็คือโรงเรียนประจำหมู่บ้านในปัจจุบันนั่นเอง
หลังจากมีการปฏิรูปประเทศ ปู่ของจางซู่อยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะขบวนผู้ประท้วงหรืออันธพาลตามท้องถนนล้วนไม่กล้าแตะต้องเขา แม้แต่่ที่เกิดความรุนแรงมากที่สุดยังทำอะไรเขาไม่ได้
มีข่าวลือในหมู่บ้านว่าเขารู้จักกับคนในส่วนกลาง หากมีปัญหา แค่ ‘เ้าหน้าที่ระดับสูง’ คนนั้นเขียนจดหมายถึงนายกเทศมนตรี ปัญหาก็เป็อันคลี่คลายแล้ว
คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านยากจนข้นแค้น มีครอบครัวของเขาเพียงบ้านเดียวที่มีหมั่นโถวแป้งขาวให้กินตลอด แม้แต่บ้านยังสร้างโอ่อ่ากว่าคนอื่น
บ้านของจางซู่เป็บ้านมุงกระเื้ัคาขนาดสองชั้น กำแพงบ้านทาด้วยสีแดง
บานประตูแง้มเปิดอยู่ ฮั่วเสี่ยวเหวินเคาะประตูก่อนอย่างมีมารยาท จากนั้นไม่นานมีเสียงแหลมของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นมาจากด้านใน “ใครน่ะ?”
ฮั่วเสี่ยวเหวินตอบว่า “หนูเองค่ะ ฮั่วเสี่ยวเหวิน”
จากนั้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเร่งรีบ คนที่ออกมาคือจางซู่ เขายิ้มหน้าบาน “เข้ามานั่งในบ้านก่อน”
จางซู่พาเธอเข้าในบ้าน โต๊ะแปดเซียน[1]ตั้งอยู่ติดกับหน้าบ้านที่สุด ชายชราท่าทางอายุประมาณหกสิบเจ็ดสิบปีคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ มือข้างหนึ่งยกจอกสุรา อีกข้างวางลงกับโต๊ะ ให้ความรู้สึกมีกำลังวังชา ดูไม่เหมือนชายชราที่ผ่านกาลเวลามาโชกโชนเลย
“คุณปู่ นี่คือเสี่ยวเหวินที่ผมเคยเล่าให้ฟังครับ เธอมีความสามารถมาก รู้จักทำการค้าั้แ่อายุแค่นี้”
ได้ยินจางซู่พูดดังนี้ ชายชราหันมามองทางฮั่วเสี่ยวเหวิน เขามีท่าทีใ “เธอก็คือฮั่วเสี่ยวเหวิน?”
จากนั้นท่าทางก็กลับเป็ปกติอย่างรวดเร็ว เขาอยู่มานานขนาดนี้ ย่อมเคยเจอคนมาแล้วทุกรูปแบบ แต่แค่เคยเจอคนที่ทำธุรกิจั้แ่อายุสิบต้นๆ แบบฮั่วเสี่ยวเหวินมาไม่มากเท่านั้น
เขาพยักหน้าเล็กน้อย แววตามีความชื่นชม
หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากในบ้าน เธอพูดอย่างตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นฮั่วเสี่ยวเหวิน “เสี่ยวเหวิน ได้ยินว่าเธอหาเงินได้ไม่น้อยจากการขายผักดอง ทำเอาจางซู่ของบ้านเราคิดอยากจะร่ำรวยตามเธอทั้งวัน”
ฮั่วเสี่ยวเหวินตอบด้วยรอยยิ้ม บอกว่าคนในหมู่บ้านชอบพูดไปเรื่อย แท้จริงหาเงินได้เยอะขนาดนั้นที่ใดกัน
จางซู่พูดแทรก “คนในหมู่บ้านก็เป็เช่นนี้ ได้ยินอะไรมาก็เชื่อไปหมด ทั้งยังชอบใส่สีตีไข่”
หญิงวัยกลางคนมองจางซู่อย่างไม่พอใจนัก เธอโต้แย้งว่า “หากเป็เช่นนั้นจริง เื่ที่ภรรยาของจางอิ่นปินหนีไปกับคนอื่นเมื่อวานต้องเป็เื่เหลวไหลด้วยสิ”
จางซู่ไม่กล้าเถียงกลับ เดินออกไปรินชามาให้ฮั่วเสี่ยวเหวิน
ภรรยาของจางอิ่นปินหนีไปกับคนอื่น?
ฮั่วเสี่ยวเหวินขนลุกซู่ มิน่าเล่า จางอิ่นปินถึงได้มีสภาพแบบนั้น
เธอยื่นมือไปรับชาแล้วถาม “คนรักของจางอิ่นปินหนีไปกับคนอื่นได้อย่างไรหรือคะ?”
เธอไม่เข้าใจผู้หญิงแบบหลินเข่อเอ๋อร์เลยจริงๆ อุตส่าห์เดินทางรอนแรมมาหาจางอิ่นเซิงแต่กลับไปได้เสียกับจางอิ่นปิน จากนั้นตอนนี้ยังมาหนีไปกับอีกคน…หล่อนคิดอะไรอยู่?
หญิงวัยกลางมีอารมณ์สนุกสนานทันทีที่พูดถึงเื่นี้ บอกว่าเธอไม่รู้อะไร ตอนเที่ยงเมื่อวานพ่อของจางอิ่นปินจะใช้จอบฟาดโจวเหอให้ตาย แต่สุนัขชายหญิงคู่นั้นหนีไปได้ก่อน…
หญิงวัยกลางคนหยุดพูดเมื่อเล่าถึงตรงนี้ สายตาแอบเหลือบมองไปทางปู่ของจางซู่
อีกฝ่ายกำมือข้างหนึ่งยกขึ้นกระแอมที่ปากเบาๆ สีหน้าไม่น่ามอง เห็นชัดว่าไม่พอใจในพฤติกรรมขี้นินทาของหญิงวัยกลางคน
ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่ได้ถามต่อ และหาข้ออ้างมาขอให้จางซู่พาตัวเองส่งกลับบ้าน
ฮั่วเสี่ยวเหวินเดินช้าลง “พี่จางซู่ ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ”
ใบหน้าดำคล้ำของจางซู่มีความจริงจัง เขาหยุดเดิน ใคร่ครวญโดยละเอียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวเหวิน มีปัญหาด้านการจัดซื้อใช่หรือไม่?”
ฮั่วเสี่ยวเหวินหยุดเดินเช่นกัน เธอสับสนกับบรรยากาศจริงจังของจางซู่ แต่ต้องยอมรับว่าท่าทีเวลาจริงจังของเขาดูหล่อเหลาไม่เบาเลย
คิ้วเข้มดกดำ ดั้งจมูกสูงโด่ง หากไม่นับเื่ผิวที่ดำคล้ำคงเป็หนุ่มหล่อแน่แท้
“การจัดซื้อไม่ได้มีปัญหา” เธอทิ้งจังหวะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ฉันอยากถามเื่จางอิ่นปินต่างหาก เหตุใดคนรักของเขาจึงหนีไปกับคนอื่นหรือ?”
ที่แท้ก็เื่นี้หรอกหรือ จางซู่เล่าเื่ที่โจวเหอเข้าไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านของจางอิ่นปินให้เธอฟังแบบละเอียด
ั้แ่ที่หัวหน้าหมู่บ้านเตือนให้ชาวบ้านระวังโจวเหอ การมา ‘รับสมัครลูกจ้างหญิง’ ของเขาก็ยากลำบากขึ้นมาก แทบจะหาคนไม่ได้แม้แต่คนเดียว
ต่อมาเขาได้เจอกับจางอิ่นปิน ทั้งสองเข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ย บอกว่าจะหาเงินด้วยกัน หลายวันมานี้ก็สงบสุขดี
ทว่าเมื่อวานนี้เอง พ่อของจางอิ่นปินเห็นหลินเข่อเอ๋อร์นอนเตียงเดียวกับโจวเหอ คนในหมู่บ้านต่างพูดว่าโจวเหอให้เงินหลินเข่อเอ๋อร์ก้อนใหญ่ หลินเข่อเอ๋อร์ยอมเพราะเห็นแก่เงินของเขา
เชิงอรรถ
[1] โต๊ะแปดเซียน(八仙桌) โต๊ะซึ่งเป็ที่นิยมตามชนบทของจีนั้แ่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่เรียกว่าโต๊ะแปดเซียนเพราะนั่งได้สูงสุดแปดคน โดยจะมีม้านั่งยาวทั้งสี่ข้างของโต๊ะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้