ตอนที่ 4 พันธะจำยอม
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าที่ป้าสมรหามาให้ ดังกังวานขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของเวลาตีสี่
กริ๊งงงง... กริ๊งงงง...
ปานชีวาสะดุ้งตื่นสุดตัว ร่างบางที่ขดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางเด้งตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความใ หัวใจดวงน้อยเต้นรัวแรงเพราะยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมใหม่ ดวงตากลมโตที่บวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักเมื่อคืนกวาดมองไปรอบห้องสี่เหลี่ยมมืดสลัว
ไม่ใช่ความฝัน... กลิ่นอับชื้นของไม้เก่าและความแข็งกระด้างของฟูกที่นอนตอกย้ำความจริงที่โหดร้าย เธอไม่ใช่ คุณหนูน้ำตาล ผู้แสนสุขสบาย ที่ตื่นนอนตอนสายโด่งและมีสาวใช้คอยนำอาหารเช้ามาเสิร์ฟถึงเตียงอีกต่อไปแล้ว แต่เธอคือ นางสาวปานชีวา ลูกหนี้ขัดดอกที่ต้องตื่นก่อนไก่โห่เพื่อชดใช้หนี้
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ปาดคราบน้ำตาที่แห้งกรังข้างแก้ม ลุกขึ้นพับผ้าห่มอย่างเรียบร้อย แม้ร่างกายจะปวดร้าวไปทุกสัดส่วน แต่เธอไม่มีเวลามาโอดครวญ ป้าสมรกำชับนักหนาว่า งานของเธอต้องเริ่มตอนตีสี่ครึ่ง และความผิดพลาดแม้เพียงวินาทีเดียวอาจหมายถึงพายุอารมณ์ของเ้าของบ้าน หลังจากจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำรวมหลังเรือนคนใช้ อาบน้ำเย็นเฉียบที่ทำให้ตัวสั่นสะท้านจนตาสว่าง ปานชีวาก็สวมใส่ชุดฟอร์มแม่บ้านสีเทาหม่นที่ดูตัวใหญ่กว่าร่างบางของเธอไปเล็กน้อย เธอมัดผมรวบตึงเผยให้เห็นลำคอระหงและใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ไร้เครื่องสำอาง ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังตึกใหญ่
บรรยากาศในคฤหาสน์วรโชติยามเช้ามืดดูวังเวงและน่าเกรงขามกว่าตอนกลางวัน ป้าสมรยืนรออยู่แล้วที่หน้าห้องครัว ใบหน้าหญิงชราดูเคร่งเครียดกว่าเมื่อวาน “มาแล้วเหรอคะป้าสมร” ปานชีวายกมือไหว้ “มาตรงเวลาดี... จำไว้นะคุณน้ำตาล หน้าที่ของคุณคือดูแลความเรียบร้อยของ ปีกขวา ทั้งหมด นั่นคืออาณาเขตส่วนตัวของคุณภู” ป้าสมรยื่นอุปกรณ์ทำความสะอาดชุดใหญ่ใส่มือเธอ “ห้องนอน ห้องทำงาน ห้องแต่งตัว... ทุกตารางนิ้วต้องสะอาดปราศจากฝุ่น กาแฟต้องเสิร์ฟตอนตีห้าสิบห้า กางเกงใน ถุงเท้า เสื้อสูท คุณต้องเป็คนเตรียม และที่สำคัญ...” ป้าสมรลดเสียงลงเหมือนกลัวกำแพงจะได้ยิน “อย่าทำให้คุณภูหงุดหงิด ถ้าเขาไล่ตะเพิด หรือด่าว่าอะไร ให้ก้มหน้ารับฟังอย่างเดียว ห้ามเถียง ห้ามร้องไห้ให้เขาเห็น เข้าใจไหม?”
“ค่ะ... ตาลเข้าใจ”
ปานชีวารับคำเสียงแ่ พลางกระชับถังน้ำและไม้ถูพื้นในมือแน่น ก้าวเท้าขึ้นบันไดวนหรูหราไปยังชั้นสอง หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เหมือนกำลังเดินเข้าสู่ลานปะา
ประตูห้องนอนบานใหญ่ของภูผาปิดสนิท ปานชีวาเคาะเบาๆ สามครั้งตามมารยาท เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ เธอจึงค่อยๆ แง้มประตูเข้าไป คิดว่าเขาคงยังหลับอยู่ และเธอจะได้รีบทำความสะอาดให้เสร็จเงียบๆ
แต่เธอคิดผิด...
ทันทีที่ก้าวพ้นประตู แสงไฟสีนวลจากโคมไฟหัวเตียงก็สว่างจ้าแยงตา ภูผาไม่ได้นอนหลับ... ชายหนุ่มเ้าของคฤหาสน์นั่งไขว่ห้างอยู่บนอาร์มแชร์ตัวหรูริมหน้าต่างบานมหึมา สวมชุดคลุมอาบน้ำสีน้ำเงินเข้มที่ผูกปมหลวมๆ เผยให้เห็นแผงอกกำยำที่มีไรขนจางๆ ในมือถือหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับเช้า สายตาคมกริบจ้องมองตัวหนังสือ แต่รังสีอำมหิตกลับแผ่ซ่านออกมาจนบรรยากาศในห้องเย็นะเืยิ่งกว่าแอร์คอนดิชันเนอร์
ปานชีวาชะงักกึก ตัวแข็งทื่อ “จะยืนบื้ออีกนานไหม? หรือต้องให้จุดธูปเชิญถึงจะเริ่มงานได้?” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นโดยที่เขาไม่ได้ละสายตาจากหนังสือพิมพ์ เป็ประโยคเดิมกับเมื่อวาน แต่น้ำเสียงเ็าจับขั้วหัวใจกว่าเดิมหลายเท่า “ขะ... ขอโทษค่ะ ตาล... เอ้ย ดิฉันจะรีบทำเดี๋ยวนี้ค่ะ” เธอรีบเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองด้วยความลนลาน วางถังน้ำลงแล้วรีบบิดผ้าขี้ริ้วเตรียมเช็ดพื้น
“เบาๆ... รำคาญ” เขาเปรยขึ้นมาลอยๆ แต่หนักแน่นเหมือนคำสั่งปะา ปานชีวากัดริมฝีปากล่างจนเจ็บ พยายามขยับตัวให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอคุกเข่าลงกับพื้นพรมราคาแพง เริ่มต้นเช็ดถูจากมุมห้อง ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้บริเวณที่เขานั่งอยู่ทีละนิด
ภูผาลดหนังสือพิมพ์ลงเล็กน้อย ลอบมองร่างบางที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่บนพื้น ชุดแม่บ้านตัวโคร่งไม่อาจปิดบังทรวดทรงองค์เอวที่บอบบางน่าทะนุถนอมได้ ผมยาวสลวยที่เคยม้วนลอนสวยงามบัดนี้ถูกรวบเก็บจนตึงเผยให้เห็นต้นคอขาวผ่องที่มีลูกผมรุยๆ น่าจูบ... ชายหนุ่มสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดตัวเอง ทำไมเขาต้องมารอเธอตื่น? ทำไมเขาต้องแกล้งตื่นเช้ามานั่งวางมาดอ่านหนังสือพิมพ์ทั้งที่ปกติเขานอนดึกตื่นสาย? คำตอบคือ... เขาแค่อยากเห็นเธอทรมาน อยากเห็นคุณหนูผู้สูงส่งต้องก้มหัวให้เขา
“ตรงนั้น... ถูหรือยัง?” ภูผาชี้ปลายเท้าไปที่พื้นข้างโซฟาที่เขานั่ง “ยังค่ะ... กำลังจะไปค่ะ” “ชักช้า... มัวแต่อ้อยอิ่ง คิดว่านี่เป็เวทีเดินแบบหรือไง? เร็วเข้าสิ ผมหิวข้าวเช้าแล้วนะ!” เขาแกล้งตวาดเสียงดังจนหญิงสาวสะดุ้งโหยง รีบคลานเข่าเข้าไปเช็ดพื้นบริเวณนั้น กลิ่นกายสาวหอมอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก ทั้งที่เธอใช้สบู่ราคาถูกของคนงาน แต่ทำไมมันถึงหอมรัญจวนใจกว่าน้ำหอมราคาแพงของโรสริน... ยิ่งเธอขยับเข้ามาใกล้ เืในกายหนุ่มก็ยิ่งสูบฉีด เขาจ้องมองมือเรียวขาวที่กำลังออกแรงถูพื้นอย่างขะมักเขม้น ทั้งที่มือนั้นควรจะเอาไว้ดีดเปียโนหรือจิบชา
“กาแฟ...” ภูผาสั่งสั้นๆ ปานชีวารีบลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ห้องน้ำล้างมือให้สะอาด เดินมาที่มุมมินิบาร์ในห้องนอน มือไม้สั่นเทาขณะชงกาแฟดำตามสูตรที่ป้าสมรบอก เธอระวังสุดชีวิตไม่ให้ช้อนกระทบแก้วจนเกิดเสียงดัง เธอยกถ้วยกาแฟกระเบื้องเคลือบเนื้อดีมาเสิร์ฟ วางลงบนโต๊ะข้างตัวเขาอย่างแ่เบา “กาแฟค่ะคุณภู” ภูผายกขึ้นจิบเพียงนิดเดียวก่อนจะทำหน้าบูดบึ้ง เพล้ง! เสียงถ้วยกาแฟถูกกระแทกลงบนจานรองอย่างแรง “นี่ชงหรือล้างเท้า?” เขาหันมาตวาดใส่หน้าเธอ “มันจืดชืด ไร้รสนิยม เหมือนคนชงไม่มีผิด... ไปชงมาใหม่! เอาให้มันเข้มข้นกว่านี้ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องกินข้าวเช้า!” “ตะ... แต่ตวงตามสูตรแล้วนะคะ” เธอเผลอเถียงออกไป “ยังจะมีหน้ามาเถียง!” ภูผาลุกพรวดขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างสูงใหญ่คุกคามจนปานชีวาต้องถอยหลังกรูด “ฉันบอกว่าไม่อร่อย ก็คือไม่อร่อย หรือเธอคิดว่าลิ้นคุณหนูตกอับอย่างเธอจะดีกว่าฉัน?”
ปานชีวาน้ำตาคลอเบ้า ก้มหน้านิ่ง “ขอโทษค่ะ... ดิฉันจะไปชงมาใหม่” เธอรีบหยิบถ้วยกาแฟแล้วหันหลังกลับ แต่ด้วยความรีบร้อนและความประหม่า ขาเ้ากรรมดันไปเกี่ยวกับสายไฟโคมไฟตั้งพื้น “ว้าย!” ร่างบางเสียหลักเซถลาไปชนเข้ากับตู้โชว์ของสะสม มือข้างหนึ่งที่พยายามคว้าหาที่ยึดเหนี่ยว ปัดไปโดนแจกันลายครามสมัยราชวงศ์ิใบโปรดของภูผาที่วางิ่เหม่ แจกันราคาหลายล้านเอียงวูบ... ร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วง “เฮ้ย!”
วินาทีนั้นเหมือนภาพสโลว์โมชั่น ปานชีวาเบิกตากว้างด้วยความใสุดขีด หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ แต่เร็วกว่าความคิด... ร่างสูงของภูผาพุ่งเข้ามาประชิดตัวเธอ มือหนาข้างหนึ่งคว้าหมับเข้าที่เอวบางรั้งร่างเธอไว้ไม่ให้ล้มกระแทกตู้กระจก ส่วนมืออีกข้างเอื้อมไปรับแจกันใบนั้นไว้ได้ทันท่วงทีอย่างปาฏิหาริย์ ห่างจากพื้นพรมเพียงไม่กี่เิเ
บรรยากาศในห้องเงียบกริบ... มีเพียงเสียงลมหายใจหอบถี่ของทั้งคู่ ปานชีวาตกอยู่ในอ้อมกอดของซาตานร้ายโดยสมบูรณ์ ใบหน้าหวานซบอยู่ที่อกกว้างของเขา ััได้ถึงกลิ่นกายชายชาตรีผสมกลิ่นสบู่อ่อนๆ และไอร้อนจากผิวเนื้อที่แนบชิดผ่านเสื้อคลุมอาบน้ำบางๆ หัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ไม่รู้ว่าเป็เพราะความใหรือเพราะความใกล้ชิดที่เกินเลยนี้ ภูผาเองก็นิ่งงันไป... ความนุ่มนิ่มในอ้อมแขนและกลิ่นหอมกรุ่นของเรือนผมที่ปัดผ่านจมูกทำให้สติของเขาเตลิดเปิดเปิง ชั่วแวบหนึ่ง... เขาเผลอกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความโหยหาที่ซ่อนลึกในใจตีตื้นขึ้นมาจนอยากจะก้มลงไปสูดดมความหอมนั้นให้ชื่นใจ
แต่แล้ว... ภาพความแค้นก็แล่นเข้ามาแทรก ภูผาได้สติ ผลักร่างบางออกจากอ้อมแขนอย่างแรงจนปานชีวาเซไปกระแทกกับโต๊ะทำงาน “โอ๊ย!” หญิงสาวร้องด้วยความเจ็บ ภูผาวางแจกันลงบนโต๊ะด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะหันมาแผดเสียงใส่เธอเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกหวั่นไหวเมื่อครู่ “ยัยซุ่มซ่าม! ตาบอดหรือไงฮะ!” คำด่าทอพรั่งพรูออกมาเหมือนเขื่อนแตก บาดลึกเข้าไปในความรู้สึก “รู้ไหมว่าแจกันใบนี้ราคาเท่าไหร่? ขายตัวเธอทั้งชาติยังชดใช้ไม่พอเลยมั้ง! ดีแต่สร้างปัญหา... ตัวซวยจริงๆ!” ปานชีวาตัวสั่นระริก กุมแขนข้างที่กระแทกโต๊ะไว้ น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลพรากออกมาอย่างสุดจะทน “ตาล... ตาลไม่ได้ตั้งใจค่ะ ตาลขอโทษ...” “ขอโทษเหรอ? คำขอโทษของเธอมันกินได้ไหม?” ภูผาย่างสามขุมเข้ามาหา ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เขาใช้มือข้างหนึ่งบีบปลายคางมนของเธอให้เงยหน้าขึ้นสบตา แรงบีบนั้นทำให้เธอเจ็บจนหน้าเหยเก “จำใส่กะลาหัวเอาไว้... ว่าเธออยู่ที่นี่ในฐานะลูกหนี้ ไม่ใช่คุณหนูที่จะมาเดินลอยชายทำของพังเล่น ถ้ามีครั้งหน้าอีก ฉันจะไม่แค่ด่า... แต่ฉันจะหักค่าแรงเธอ และขังลืมเธอไว้ในห้องรูหนูนั่น!”
เขาผลักหน้าเธอออกอย่างรังเกียจ ราวกับเธอเป็เชื้อโรค “รีบไปจัดเสื้อผ้าให้ฉัน... เดี๋ยวนี้! อย่าให้ฉันต้องรอนานกว่านี้ เสียฤกษ์เสียยามจริงๆ แต่เช้า!” ปานชีวารีบปาดน้ำตา ลนลานวิ่งเข้าไปในห้องแต่งตัว มือไม้สั่นเทาขณะเลือกหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวและสูทสีเทาออกมาวาง เธอพยายามจัดเนคไทให้เข้าชุด แต่สายตาที่พร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาทำให้เธอหยิบจับอะไรก็ดูเกะกะไปหมด ภูผาเดินตามเข้ามา ยืนกอดอกพิงกรอบประตู มองดูเธอด้วยสายตาจับผิด “เลือกเนคไทสีอะไรของเธอ? รสนิยมห่วยแตก... เอาเส้นสีน้ำเงินกรมท่านั่นมา” เขาสั่งเสียงห้วน ปานชีวารีบเปลี่ยนเนคไท แล้วเดินถือชุดมายื่นให้เขา แต่ภูผากลับยืนนิ่ง กางแขนออก “ยืนบื้อทำไม? แต่งตัวให้ฉันสิ” “คะ?” ปานชีวาเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ “หูหนวกหรือไง? ฉันบอกให้แต่งตัวให้ฉัน... นี่คืองานของเธอ ปรนนิบัติฉันทุกอย่าง ั้แ่หัวจรดเท้า” หญิงสาวเม้มปากแน่น ความอับอายแล่นริ้วขึ้นมาจุกอก แต่เธอไม่มีทางเลือก มือบางสั่นระริกค่อยๆ ปลดสายชุดคลุมอาบน้ำของเขาออก ภูผายืนนิ่ง มุมปากกระตุกยิ้มเหยียดเมื่อเห็นแก้มใสของเธอแดงระเรื่อ เมื่อสาบเสื้อคลุมแยกออก เผยให้เห็นแผงอกกว้างและหน้าท้องแกร่งที่มีลอนกล้ามเนื้อสวยงาม ปานชีวาต้องกลั้นหายใจ รีบหยิบเสื้อเชิ้ตมาสวมให้เขา พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้ปลายนิ้วััโดนผิวเนื้อของเขา แต่การกลัดกระดุมเม็ดเล็กลื่นๆ ด้วยมือที่สั่นเทานั้นไม่ง่ายเลย นิ้วเรียวเผลอไปแตะโดนแผงอกอุ่นร้อนเหนือลิ้นปี่ของเขาเบาๆ ภูผาสะดุ้งเฮือก... กระแสไฟบางอย่างแล่นพล่านไปทั่วร่าง เขาตะปบข้อมือเธอไว้แน่น บีบจนเธอหน้าเบ้ “จะยั่วฉันหรือไง?” เขาถามเสียงลอดไรฟัน ั์ตาวาวโรจน์ “ปะ... เปล่านะคะ ตาลแค่จะติดกระดุม...” “อย่ามามารยา!” เขาสะบัดมือเธอออกอย่างแรง แล้วจัดการติดกระดุมที่เหลือด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว “มือสากๆ ของเธอทำฉันเสียอารมณ์... ไป! ออกไปให้พ้นหน้าฉัน ไปรอที่โต๊ะอาหาร ไปตักข้าวต้มรอ ถ้าฉันลงไปแล้วยังไม่เห็นข้าววางอยู่ เธอโดนดีแน่!”
ปานชีวารับคำเสียงเครือ ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องแต่งตัว ผ่านห้องนอน และออกไปจากอาณาเขตอันตรายนั้นราวกับหนีตาย ทิ้งให้ภูผายืนหอบหายใจหนักหน่วงอยู่ลำพัง ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ หัวใจเขายังเต้นแรงไม่หยุดจากััเมื่อครู่ “บ้าเอ๊ย!” เขาสบถลั่นห้อง ระบายความอัดอั้น เขาโกรธ... โกรธที่เธอทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ โกรธที่เห็นน้ำตาเธอแล้วใจมันเจ็บแปลบ และโกรธที่สุด... ที่ต้องแสร้งทำเป็เกลียด ทั้งที่ใจจริงอยากจะดึงเธอเข้ามากอดปลอบใจแทบขาดใจ
ที่โต๊ะอาหารยาวเหยียดในห้องโถง ปานชีวายืนก้มหน้าสงบเสงี่ยมอยู่ข้างเก้าอี้หัวโต๊ะ หลังจากวางชามข้าวต้มกุ้งหอมฉุยไว้เรียบร้อยแล้ว โรสรินเดินนวยนาดลงมาจากบันไดในชุดเดรสสั้นรัดรูปสีสดใส ใบหน้าแต่งแต้มสวยงาม “อุ๊ย... เช้านี้มีคนใช้ส่วนตัวมายืนคุมโต๊ะด้วยเหรอคะ?” โรสรินจีบปากจีบคอทักทาย สายตาเหยียดหยามมองปานชีวาั้แ่หัวจรดเท้า “ชุดแม่บ้านนี่เหมาะกับเธอดีนะ ยิ่งดูยิ่ง... ต่ำต้อย สมฐานะ” ปานชีวาไม่โต้ตอบ ได้แต่ก้มหน้ากำมือแน่นใต้ผ้ากันเปื้อน ภูผาเดินตามลงมาด้วยมาดขรึม เขาเลื่อนเก้าอี้นั่งลงโดยไม่มองหน้าปานชีวาแม้แต่น้อย “ตักข้าวให้คุณโรส” เขาสั่งเสียงเรียบ ปานชีวาขยับเข้าไปตักข้าวต้มใส่ชามให้โรสริน “ว้าย!” โรสรินแกล้งปัดมือปานชีวาตอนที่กำลังตักข้าวใส่ชาม ทำให้ข้าวต้มร้อนๆ หกเลอะเทอะเปรอะเปื้อนแขนเสื้อและมือของปานชีวา “โอ๊ย! ร้อน!” ปานชีวาร้องออกมาด้วยความเ็ป ผิวเนื้อขาวผ่องแดงเถือกขึ้นทันตาเห็น “ตายแล้ว! ทำอะไรของเธอน่ะ!” โรสรินแหวลั่น แสร้งทำเป็ใ “ซุ่มซ่ามจริงๆ จะแกล้งลวกฉันหรือไงฮะ!” “คุณโรสปัดมือตาลเองนะคะ!” ปานชีวาเถียงทั้งน้ำตา เพราะความเจ็บแสบที่แขน “หุบปาก!” เสียงตวาดของภูผาดังลั่นโต๊ะอาหาร หยุดทุกความเคลื่อนไหว เขาหันมามองปานชีวาด้วยสายตาดุดัน ไม่มีความห่วงใยในแววตาคู่นั้น มีเพียงความรำคาญใจ “ทำผิดแล้วยังจะใส่ร้ายคนอื่นอีก...” “แต่คุณภูคะ...” “ฉันบอกให้หุบปาก!” ภูผาลุกขึ้นยืน โยนผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะ “ไม่มีอารมณ์กินแล้ว” โรสรินยิ้มเยาะ ลุกขึ้นควงแขนภูผาเดินเชิดหน้าออกไป ก่อนจะก้าวพ้นประตู ภูผาหยุดเดินแล้วหันกลับมามองปานชีวาที่ยืนกุมแขนแดงๆ ร้องไห้เงียบๆ อยู่ ใจเขาหล่นวูบเมื่อเห็นรอยแผลพุพองนั่น
ปานชีวามองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปจนลับสายตา ความเ็ปที่แขน เทียบไม่ได้เลยกับความเ็ปที่หัวใจ เขามันไม่ใช่คน... เขามันปีศาจร้ายที่ไร้หัวใจ หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ในใจกู่ร้องด้วยความเจ็บแค้นและน้อยใจ
หารู้ไม่ว่า... ทันทีที่ขึ้นรถพ้นจากตัวบ้านทั้งสองแยกขึ้นรถคนละคัน ภูผาก็รีบหยิบโทรศัพท์กดโทรหาลูกน้องคนสนิททันที “ไอ้ชัย... มึงรีบซื้อยาแก้แผลพุพองที่ดีที่สุด แล้วเอาเข้าไปให้ป้าสมรเดี๋ยวนี้... บอกว่าป้าฝากซื้อ ห้ามบอกว่ากูสั่ง... ย้ำนะ ห้ามให้ปานชีวารู้เด็ดขาดว่ากูเป็คนให้!” เขากดวางสาย ทิ้งตัวพิงเบาะรถแล้วหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า
////****////
