การบำเพ็ญเซียน ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์
คำพูดนี้หมายถึงสถานที่อย่างทะเลล่วนซิงที่มิได้อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบของดวงตาแห่งสุญญตา จึงมิอาจใช้อุปกรณ์ิญญาอย่างกำไลสื่อิญญา ไม่มีกฎวิถีเซียน ไม่มีดีชั่วหรือถูกผิด ทุกอย่างล้วนทำเพื่อความอยู่รอด เพื่อความแข็งแกร่ง
และการใช้ชีวิตของที่นี่เหมือนกับยุคโบราณมากกว่า ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ผู้แข็งแกร่งเป็ใหญ่
ยุคเซียนโบราณผ่านมาเกือบหมื่นปีแล้ว น่าเสียดายที่ประวัติความเป็มาของทะเลล่วนซิงไม่มีบันทึกเอาไว้ เนื่องจากสถานที่นี้ดวงดารารายเรียงสับสน ยากจะวิเคราะห์ทิศทางได้ ดังนั้นหากไม่ระวังอาจจะหลงทางในทะเลอันกว้างใหญ่ได้
ความจริงแล้วสถานการณ์ของทะเลล่วนซิงซับซ้อนกว่าที่เคยได้ยินมา
สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงมีเผ่าสมุทรกับสัตว์ประหลาดดุร้าย ยังมีพวกคนชั่วคอยปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์ และในบางครั้งจิตใจคนยากแท้หยั่งถึงยิ่งทำให้ยากจะป้องกันได้
เพียงแต่เผ่าสมุทร สัตว์ประหลาด และพวกคนชั่วร้ายยังไม่นับว่าน่ากลัวที่สุด...เหนือทะเลล่วนซิงยังเกิดพายุสายฟ้าเป็บางครั้ง หากถูกพัดเขาไปในนั้น คงต้องตายแน่นอน นี่ถึงจะเป็อันตรายและความสิ้นหวังอย่างแท้จริง ในทะเลผู้คนส่วนใหญ่จึงใช้เรือในการสัญจรแทน มีน้อยคนที่จะกล้าใช้เรือบินข้ามทะเล
ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะเลวร้ายเช่นนี้ ก็ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนที่พร์ธรรมดากับพวกคนธรรมดามาที่นี่เพื่อเอาชีวิตรอด เพื่อค้นหาสมบัติ โชคปาฏิหาริย์ หรือมาเพื่อหลบหนีศัตรู เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว คนธรรมดาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ยากลำบากมาก น้อยคนนักที่จะสามารถรอดชีวิตจนสร้างชื่อได้ และมีน้อยคนที่จะรอดชีวิตออกจากที่นี่ได้
……
‘เกาะสามเซียน’ ตั้งอยู่ตรงใจกลางของทะเลล่วนซิง เนื่องจากก่อตั้งอยู่บนเกาะใหญ่สามเกาะติดต่อกัน ทั้งยังเป็หนึ่งในขั้วอำนาจสามอันดับแรกของทะเลล่วนซิง มียอดฝีมือระดับเปิดชีพจรสามคนเป็ผู้นำ ในเวลาปกติอาจจะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่หากเผชิญหน้ากับศัตรูจากภายนอกพวกเขาจะร่วมมือกัน บวกกับสภาพแวดล้อมที่พิเศษบนเกาะสามเซียน ราวกับมีูเาสามลูกคอยปกปักรักษา จึงยากต่อการโจมตี ต่อให้เป็ผู้แข็งแกร่งระดับกายาศักดิ์สิทธิ์ ก็มิอาจทำตามอำเภอใจในสถานที่แห่งนี้ได้
……
เมื่อยามเช้าตรู่ ท้องฟ้าสว่างสดใส
เมื่อแสงอาทิตย์แรกแย้มสาดส่องบนผืนทะเล มีหมอกเบาบางปกคลุมทั่วพื้นที่ ในอากาศยังมีกลิ่นอายความชื้นที่กระจายไปทั่ว
เรือใบมากมายเข้าจอดเทียบท่า สินค้าชุดแล้วชุดเล่าถูกขนขึ้นไปบน ‘เมืองซานเซียน’...
ผ่านไปไม่นาน ร้านค้าต่างๆ ก็เริ่มตั้งร้านเปิดกิจการ ถนนที่เงียบเหงาค่อยๆ เริ่มคึกคักขึ้นมา
เมืองซานเซียนตั้งอยู่บนเกาะหูซิน นี่คือเมืองเพียงหนึ่งเดียวที่ตั้งอยู่บนเกาะสามเซียน ไม่เพียงมีสภาพแวดล้อมสะดวกสบาย การค้าก็เจริญรุ่งเรือง เพราะเมืองแห่งนี้มีเ้าเกาะทั้งสามคอยดูแลร่วมกัน
ถึงแม้ในเมืองจะเจริญรุ่งเรือง แต่กลับมิใช่สถานที่ที่ผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาจะตั้งถิ่นฐานได้ เพราะค่าครองชีพของที่นี่สูงลิ่ว แม้แต่การเข้าออกเมืองล้วนต้องจ่ายศิลาเซียนหรือพวกหยกิญญาเป็จำนวนไม่น้อย
ความจริงแล้วไม่เพียงแค่ในเมืองที่มีค่าครองชีพสูง ต่อให้พักอยู่นอกเมือง ทุกเดือนก็จำเป็ต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง มิเช่นนั้นจะถูกขับไล่ออกจากที่นี่ หรือไม่ก็กลายเป็ทาสขุดเหมือง สูญเสียอิสระไปจนหมด
……
ณ ร้านโอสถตรงถนนตะวันวันออก ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา
ในเวลานี้มีสตรีนางหนึ่งเดินเข้าไปในร้าน
“เถ้าแก่เฝิง ข้ามารับของ”
ฉินตงหวู่สวมชุดสีม่วงเดินไปที่หน้าโต๊ะด้วยหน้าตาสดชื่นและมีชีวิตชีวา แตกต่างจากท่าทางเจ็บป่วยเมื่อสามปีก่อนอย่างชัดเจน
“เป็คุณหนูฉินนี่เอง โปรดรอสักครู่...”
เมื่อเถ้าแก่เฝิงเห็นว่าเป็คนคุ้นเคย จึงมิได้พูดมากความ หยิบโอสถขวดหนึ่งมอบให้อีกฝ่าย
เมื่อฉินตงหวู่รับโอสถมา จากนั้นก็เปิดดมเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้าเอาศิลาิญญาสิบก้อนวางไว้บนโต๊ะ
เถ้าแก่เฝิงเก็บศิลาิญญาไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่ค้าขายเสร็จสิ้นแล้ว ฉินตงหวู่ก็มิได้อยู่ต่อ นางเดินออกจากเมืองซานเซียนมุ่งตรงไปที่ชุมชนฝานเหรินนอกเมือง
……
ชุมชนฝานเหริน ความหมายของชื่อนี้ก็คือสถานที่พักอาศัยของคนธรรมดา นับว่าอยู่ในขอบเขตการควบคุมของเมืองซานเซียน เพียงแต่เมื่อเทียบกับในเมืองแล้ว สภาพแวดล้อมของที่นี่เลวร้ายกว่ามาก มีกลิ่นเหม็นแสบจมูกไปทั่วทุกที่
ยากจะจินตนาการออกว่าคนธรรมดาจะใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่นี่ได้อย่างไร
ฉินตงหวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางปิดจมูกเดินก้มหน้าจนถึงหน้าประตูบ้านหลังหนึ่งถึงหยุดลง
“เสี่ยวจิ่วเปิดประตู ข้าเอง”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของฉินตงหวู่ ประตูก็เปิดออก เด็กชายอายุสิบปีคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหลังประตู ใบหน้าของเขาแฝงด้วยความเ็าอยู่หลายส่วน เขาก็คือเด็กชายที่ดื้อรั้นเมื่อสามปีก่อนคนนั้น
“น้าฉิน”
เสี่ยวจิ่วรับฉินตงหวู่เข้ามา จากนั้นปิดประตู แต่คิดไม่ถึงว่าด้านหลังกลับมีเสียงวิ่งดังขึ้นมา
“ตูม!”
ประตูถูกคนเตะจนเปิดออก จากนั้นมีบุรุษสิบกว่าคนถือไม้เดินเข้ามาในบ้านและล้อมฉินตงหวู่กับเสี่ยวจิ่วเอาไว้
เสี่ยวจิ่วไม่พูดไม่จา ใช้มือจับกริชที่เอวด้วยสายตาเ็า
“พวกเ้าเป็ผู้ใดกัน! แล้วคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ฉินตงหวู่พาเสี่ยวจิ่วมาหลบด้านหลัง นางมิได้มีสีหน้าลนลานแต่อย่างใดกลับกล่าวเตือนว่า “บุกรุกบ้านคนอื่นมีโทษสถานหนัก หรือพวกเ้าจะมิกลัวนายใหญ่สวี่ลงโทษหรือ?”
“เหอะเหอะ นางแพศยา เ้าคิดว่านายใหญ่สวี่จะลงโทษพวกเราด้วยหรือ?”
กลุ่มคนหลีกทางออก มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยใบหน้าหยิ่งผยอง ข้างกายของเขายังขนาบไปด้วยบุรุษผอมแห้งอีกสองคน
“หม่าเหล่าซาน เป็ฝีมือพวกเ้าเองหรือ!”
เมื่อฉินตงหวู่เห็นผู้มาเยือน สายตาก็แฝงด้วยความโกรธ แต่นางยังคงอดทนเอาไว้ “พวกเ้ามาที่นี่เพราะเหตุใด? ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกเ้า!”
“เหอะ! ไม่ต้องมาใช้ไม้นี้กับข้า!”
หม่าเหล่าซานเม้มปากกล่าวด้วยรอยยิ้มเ็า “นายน้อยขยะของเ้าอยู่ที่ไหนแล้ว? รีบเรียกเขาออกมา ชุมชนฝานเหรินของเราไม่้าเลี้ยงขยะ!”
“หุบปาก!”
ฉินตงหวู่ะโด้วยความโกรธ “หม่าเหล่าซาน ฮวงเหวินเลี่ยง โจวเจิน...พวกเ้าอย่าลืมสิว่าใครเป็ผู้ช่วยชีวิตของพวกเ้า! ถ้ามิใช่นายน้อยช่วยเอาไว้ พวกเ้าคงกลายเป็อาหารปลาในทะเลแล้ว!”
บุรุษข้างกายหม่าเหล่าซานสองคนนั้นก้มหน้าด้วยความอับอาย ใบหน้าเผยความรู้สึกผิดออกมา
เมื่อเห็นเช่นนี้หม่าเหล่าซานก็อับอายจนโมโห “นางแพศยา อย่าพูดถึงเื่ในอดีต! ผ่านมาสามปีแล้ว บุญคุณครั้งนั้นพวกเราคืนหมดแล้ว หรือว่าจะให้พวกเราเลี้ยงดูคนอย่างเขาไปตลอดชีวิต! ยิ่งไปกว่านั้น ที่เ้าเด็กนั่นช่วยพวกเราเป็เพียงเื่ง่ายดายเท่านั้น เขาอาจจะมิได้หวังดีก็ได้?”
ฮวงเหวินเลี่ยงกับโจวเจินเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกผิดบนหน้าเปลี่ยนเป็ความโกรธ
ชุมชนฝานเหรินเป็สถานที่ที่โหดร้ายมากจริงๆ ไม่เพียงต้องจ่ายค่าคุ้มครองรายเดือน ยังต้องทำภารกิจที่เมืองซานเซียนกำหนดไว้...และภารกิจแรงงานของทุกเขตล้วนถูกกำหนดตายตัวแล้ว ถ้ามีคนหนึ่งทำน้อย คนอื่นๆ ก็ต้องทำเยอะขึ้น
“พี่หม่ากล่าวไว้มิผิด เ้าเด็กนั่นเป็แค่ขยะ จะให้พวกเราเลี้ยงเขาหรืออย่างไร?”
“สามปีมานี้เ้าเด็กนั่นไม่ทำอะไรเลย คนที่เหนื่อยก็คือพวกเรา! พวกเราชดใช้บุญคุณไปนานแล้ว พวกเรามิได้ติดค้างเขาอีก!”
“ใช่! มิได้ติดค้างอะไรอีก!”
เมื่อได้ยินเสียงะโของพวกฮวงเหวินเลี่ยง ฉินตงหวู่ก็หัวเราะ “คืนหรือ? พวกเ้าทำอะไรบ้าง? ถึงแม้นายน้อยของเราจะร่างกายไม่แข็งแรง แต่จ่ายเงินค่าคุ้มครองก็ไม่เคยขาด บางครั้งยังจ่ายเกินด้วยซ้ำ ในจุดนี้นายใหญ่สวี่รู้ดีแก่ใจ ดังนั้นนายน้อยของเราไม่เคยติดค้างพวกเ้า”
นางเว้นจังหวะครู่หนึ่งกล่าวต่อว่า “แล้วที่พวกเ้ามาหาเื่ พูดจาดูดีมีคุณธรรม แต่ความจริงก็แค่อิจฉาในเงินทองของนายน้อย อยากจะเอามาใช้เองก็เท่านั้น”
เมื่อพูดจบฉินตงหวู่ก็แอบเอามือจับที่เอว
