ป่าภูตอสูรอยู่ไม่ไกลจากสำนักฉิงชางมากนักอวี๋เคอจึงสามารถเหาะมาถึงดินแดนของเผ่าหงส์เพลิงได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน
ตอนที่ได้ยินคำพูดของหวังตัวจวี๋เขาก็รู้สึกร้อนใจราวกับมีไฟสุมอยู่ในอกขึ้นมาจริงๆแต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งถึงสองชั่วยามก็สงบลงไปมาก อวี๋เคอแอบหัวเราะให้กับตัวเองที่เกือบจะถูกโลกใบนี้กลืนกินจนทำให้กลายเป็คนไร้เหตุผลมากขึ้น ความจริงเมื่อลองไตร่ตรองดูแล้วอาจิ่วก็มีชาติกำเนิดที่สูงส่งในเผ่าหงส์เพลิงมากพอสมควรจริงๆแต่กลับถูกตนเองลักพาตัวมาอยู่หลายปี ยอมทำงานหนักโดยไม่สนคำวิจารณ์ของผู้อื่น
ในฐานะที่เป็หนึ่งในสี่จตุรเทพของเผ่าตระกูลสิบสัตว์เทพในตำนานการที่พวกเขาจะมีศักดิ์ศรีในตัวเองก็เป็เื่ที่สมควรแล้ว ซึ่งตัวเขาเองไม่จำเป็ต้องจริงจังขนาดนี้ที่ถึงกับจะทำลายรังของผู้อื่นเพียงเพราะอีกฝ่ายพาอาจิ่วห่างจากเขาไปถึงหนึ่งปีเื่ที่เกี่ยวกับอารมณ์และเหตุผลเช่นนี้เป็สิ่งที่อธิบายได้ยาก และอาจิ่วเองก็คงจะไม่มีความสุขเช่นกัน
เมื่อคิดอย่างมีเหตุผลได้แล้วเขาก็ผ่อนคลายจิตใจลง แล้วร่อนลงสู่กลางป่าอย่างมั่นคง ขณะที่กำลังจะก้าวเดินไปข้างหน้าจู่ๆ ก็นึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ จึงหยุดฝีเท้าอยู่กับที่แล้วสะบัดมือขวาไปบนใบหน้าเพื่อถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นรูปลักษณ์เดิมของตนเอง
อวี๋เคอมองหน้ากากในมือพลางขมวดคิ้วในใจกำลังคิดอยากจะทำลายสิ่งนี้ที่อาจจะเปิดเผยตัวตนในอนาคตเสียตอนนี้ ทว่าจู่ๆภาพในคืนนั้นที่ซ่งฉียวนจูบลงบนหน้ากากอันนี้กลับฉายแวบขึ้นมาในหัวเขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะเก็บหน้ากากกลับเข้าไปภายในแหวนหยกในที่สุดจากนั้นก็ร่ายคาถาอำพรางเพิ่มลงบนแหวน ปล่อยให้มันค่อยๆ เลือนหายไปจากนิ้วหัวแม่มือข้างขวา
ั้แ่บัดนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซ่งฉียวนได้ถือว่าสิ้นสุดกันอย่างสิ้นเชิงแล้วนับจากนี้ไปเขาจะเดินไปตามทางของตนเองและจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับซ่งฉียวนอีกไม่ว่าจะเป็เื่ใดก็ตาม
ไปรับอาจิ่วกลับคราวนี้ก็ถือโอกาสเที่ยวสนุกในทวีปผู้ฝึกตนแห่งนี้ด้วยเสียเลยในเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็ไปตามดูองค์หญิงน้อยแห่งเผ่าภูตหิมะเสียหน่อยวันหน้าอย่างมากก็แค่เป็ลูกเขยแต่งเข้าบ้านที่ไปแอบหลอกกินหลอกดื่มในบ้านคนอื่นเท่านั้นถือเสียว่าได้โอกาสซ่อนตัวในที่ที่ซ่งฉียวนหาไม่เจอเพื่อคลายความกังวลให้ผ่านไปวันๆจะมีสิ่งใดที่มีความสุขมากกว่านี้อีกหรือ?
“ฟู่... นายท่านข้าตามท่านทันแล้วขอรับ” ในขณะที่อวี๋เคอกำลังฝันหวานอยู่นั้นก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหอบหายใจที่เหมือนกับวัวจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นหวังตัวจวี๋ที่กำลังหน้าซีดเผือด พลางเช็ดเหงื่อที่อยู่บนศีรษะไปมาแต่กลับฉีกยิ้มเสียจนดูอัปลักษณ์ “ท่านจะมาวิวาทแต่เหตุใดจึงไม่พาข้ามาด้วยเล่าขอรับ? ข้าคันไม้คันมือแบบนี้มาหลายวันแล้ว ท่านว่าเหตุการณ์จะใหญ่โตหรือไม่? ”
อวี๋เคอชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จากที่อาศัยอยู่ในโลกนี้มาจนนานขนาดนี้แล้ว ในบรรดาทุกคนที่เขาได้ประสบพบเจอมาหวังตัวจวี๋มีนิสัยเหมือนที่ตัวเองเขียนลงไปในหนังสือทั้งหมดห้าอย่างมากที่สุด คือชอบกิน ชอบเที่ยว ชอบเื่บนเตียง ชอบต่อสู้ และชอบฆ่าคนแต่นี่อาจจะเป็เหตุผลที่ทำให้ตนเองสบายใจได้ขนาดนี้เวลาอยู่ข้างกายเขา
หวังตัวจวี๋สังเกตเห็นสายตาที่อวี๋เคอมองมาที่ตนเองก็รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาแทบจะทั้งตัว จึงรีบถอยหลังไปสองก้าวแล้วพูดด้วยใบหน้าอันขมขื่นว่า “ท่านคิดจะทำอะไรน่ะ? ข้าทนสายตาแบบนี้ไม่ไหวแล้ว!ข้าต้องสงวนเนื้อตัวเอาไว้เพื่ออาชิงของข้านะขอรับ! ”
เมื่ออวี๋เคอได้ยินคำพูดนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างขุ่นเคือง “เ้านี่นะตอนที่ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาแล้วส่องหาแต่บุรุษไปทุกหนแห่งเหตุใดจึงไม่นึกอยากสงวนเนื้อตัวไว้ให้โม่ชิงเลยเล่า? แล้วตอนนี้ยังจะเอาเื่นี้มายัดเยียดใส่ข้าผู้นี้อีก” เขาสะบัดแขนเสื้อฟึดฟัด แล้วเดินลึกเข้าไปในป่า “รูปลักษณ์เช่นนี้ของเ้า คิดว่าข้าผู้นี้จะชายตามองเ้าจริงๆ น่ะหรือ? ”
หวังตัวจวี๋รู้ว่านายท่านของตนเองกำลังหยอกล้อเขาอยู่ไม่ได้ถือสาอะไรเขาเลยด้วยซ้ำ จึงผ่อนลมหายใจออกมา แล้วรีบเดินตามไปก่อนจะยิ้มอย่างซุกซนแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าอาชิงจะชอบข้าเหมือนกันนี่ขอรับข้ายังคิดอยู่เลยว่าเขาคงจะลืมข้าไปนานแล้ว! อีกอย่างที่ข้าทำเื่มากมายลงไปขนาดนั้นก็เพื่อสนองความ้าทางกายของตัวเองล้วนๆและยังสามารถเพิ่มความชำนาญทางกายได้อีกด้วย ไม่อย่างนั้นจะทำให้อาชิงของข้าสุขสมจนขึ้น์ได้อย่างไรเล่าขอรับ? ”
หวังตัวจวี๋นี่ช่างเป็คนหน้าไม่อายโดยแท้ใบหน้าของเขาตอนที่พูดถึงเื่พรรค์นี้ไม่ขึ้นสีแดงเลยสักนิด แต่กลับทำเอาอวี๋เคอรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเขาอยากจะเพิกเฉยต่อหวังตัวจวี๋ผู้ที่มีคำพูดลามกอยู่เต็มปากผู้นี้เสียจริงแล้วเข้าไปยังเผ่าหงส์เพลิงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ทว่าน่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่เขินอายเลยสักนิดแถมยังหยอกล้ออวี๋เคอต่ออีกว่า “นายท่านดูงดงามกว่ามากหากไม่มีหน้ากากข้ากล้าพูดได้เลยว่าหากซ่งฉียวนผู้นั้นเห็นนายท่านในตอนนี้ จะต้อง...”
ทันใดนั้นอวี๋เคอก็หยุดฝีเท้าลงแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นว่า “จะต้องชักกระบี่ออกมาสังหารข้าผู้นี้อย่างแน่นอน”
จากนั้นหวังตัวจวี๋จึงรู้ตัวแล้วว่าพลั้งปากไปปากนี้ของตนเองพูดอะไรออกมาก็ไม่ดีสักอย่าง แถมยังพูดพัวพันถึงเ้าเด็กผีนั่นอีกแล้วความจริงแล้วเขามีลางสังหรณ์นิดๆ ว่าอวี๋เคอยังปล่อยซ่งฉียวนไปไม่ได้
่เวลาสองปีนั้นเขาเองก็สังเกตเห็นเช่นกันน้ำเสียงและท่าทางของอวี๋เคอตอนที่พูดถึงซ่งฉียวนมักจะทำให้เขากังวลมากที่สุดอยู่เสมอตอนที่เขาทำลายตระกูลซ่งร่วมกับอวี๋เคอแววตาของเด็กน้อยที่มองมายังอวี๋เคอตอนที่กำลังร่ำไห้ฟุบอยู่บนศพของพ่อในห้องโถงนั้นจนถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกขนลุกขนพองอยู่เลย
ต่อมาเขาจึงรบเร้าให้อวี๋เคอสังหารเด็กคนนั้นในทันทีแต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่อวี๋เคอทำในตอนนี้จะขัดกับสิ่งที่เขาหวังเอาไว้ทั้งหมดได้ถึงเพียงนี้นายท่านได้ทิ้งปัญหาใหญ่ที่จะตามมาไว้ให้ตัวเองแบบนี้แต่กลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นแผ่นหลังของอวี๋เคอที่เดินห่างออกไปหวังตัวจวี๋จึงถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าในอนาคตเมื่อถึงตอนที่ต้องชักกระบี่มาประจันหน้ากับซ่งฉียวนจริงๆท่านจอมปีศาจของเขาผู้นี้จะสามารถลงมือได้หรือไม่
อวี๋เคอเดินไปได้ครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ยังไม่สามารถััได้ถึงกลิ่นอายของเผ่าหงส์เพลิงเลยแม้แต่น้อยเมื่อมองไปที่หวังตัวจวี๋ที่กำลังเท้ามือไปบนต้นไม้เพราะเหนื่อยจากการเดินอยู่ข้างๆทันใดนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆ แล้วแสยะยิ้มอยู่ในใจ จอมปีศาจผู้สูงศักดิ์อย่างเขามาถึงที่แห่งนี้ตั้งนานแล้วพวกผู้เฒ่าของเผ่าหงส์เพลิงเ่าั้ก็ต้องรู้แล้วอย่างแน่นอนแต่กลับสร้างหมากเกมนี้ให้กับตน เห็นได้ชัดว่า้าที่จะใช้อำนาจมากดหัวเขา
ในเมื่อท่าทีของฝ่ายตรงข้ามนั้นชัดเจนถึงเพียงนี้อวี๋เคอจึงไม่ปกปิดตัวตนอีกต่อไป อารมณ์ที่อยากจะพูดคุยกันด้วยดีก่อนหน้านี้หายวับไปแบบไม่มีเหลือภายในเวลาครึ่งชั่วยามนี้หากไม่ะเิออกมาเห็นทีว่าจะไม่ได้การเสียแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้พลังปราณรอบกายของเขาก็เคลื่อนตัวอย่างพลุ่งพล่าน บรรยากาศระหว่าง์และโลกเริ่มตึงเครียดมือทั้งสองข้างของอวี๋เคอยกขึ้นมาไว้ที่หน้าอก ก่อนจะตบเบาๆ ไปสามครั้งทว่าเสียงที่นับว่าไม่ดังมากกลับดังก้องไปทั่วทั้งผืนป่าที่อยู่รอบกายของทั้งสองคนทำให้นกหลายตัวที่อยู่ไกลออกไปบินกันอย่างแตกตื่น
“แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก...”
หวังตัวจวี๋เงยหน้าขึ้นด้วยความใ สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือม่านโปร่งแสงผืนหนึ่งปรากฏขึ้นทั่วท้องฟ้ารอบตัวพวกเขาและตอนนี้ม่านผืนนั้นก็แตกร้าวออกอย่างรวดเร็ว แล้วแยกออกมากขึ้นเรื่อยๆตามรอยร้าว้า จนในที่สุดก็พังทลายลง และมลายหายไปในอากาศ เผยให้เห็นทิวทัศน์ภายนอกนี่นับเป็ครั้งแรกที่ทั้งสองคนตกหลุมพราง
ในเวลาครึ่งชั่วยามนี้ พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่เดิมตลอดเลยอย่างนั้นหรือ!
ก็ได้!เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกพวกเผ่าหงส์เพลิงหลอกเข้าให้แล้ว!หากไม่ใช่เพราะอวี๋เคอรู้ตัวเร็ว คาดว่าทั้งสองคนคงเดินวนอยู่ที่เดิมจนไปถึงกลางดึกก็ยังไม่สามารถเข้าไปภายในเผ่าได้แน่นอน!
“เ้าหงส์เพลิงเฒ่า!เ้าโผล่หัวออกมาหาข้าผู้นี้ประเดี๋ยวนี้! เฝ้าดูละครมานานขนาดนี้แล้ว จนถึงตอนนี้เ้าก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หัวออกมาอีกหรือ? ”
อวี๋เคอเหาะขึ้นไปลอยตัวอยู่กลางอากาศก่อนจะนำพลังปราณหมุนไปรอบๆ เพื่อกระจายเสียงของเขาให้ดังที่สุด ทั่วทั้งผืนป่าต่างใกลัวไปชั่วขณะหวังตัวจวี๋ที่มองอยู่ก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างเช่นกัน มีความรู้สึกลึกๆว่าไฟโทสะของนายท่านในขณะนี้ช่างลุกโชติ่เสียเหลือเกินส่วนคนที่ถูกเผาก็ช่างขี้ขลาด
“ฮ่า ฮ่า!เ้าช่างเป็ปีศาจที่หยิ่งผยองนัก! ” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาจากที่ห่างไกลมาพร้อมกับแสงสีทองและสีแดง ทันใดนั้นหงส์เพลิงที่ขนาดตัวใหญ่กว่าอาจิ่วที่อวี๋เคอเห็นในชาติแรกกว่าเท่าตัวพุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็วจากนั้นเขาก็แปลงกาย กลายเป็ชายหนุ่มรูปงามที่สวมเสื้อคลุมสีแดงลวดลายเปลวเพลิงที่อยู่ตรงกลางหน้าผากของเขาดูสะดุดตาเป็พิเศษเมื่ออยู่บนผิวพรรณอันขาวผ่อง
อวี๋เคอสำรวจชายหนุ่มตรงหน้า แล้วก็แอบประหลาดใจระดับความยากในการแปลงกายของสัตว์เทพนั้นยากกว่ามนุษย์ที่จะก้าวขึ้นสู่ขั้นมหายานมากนักไม่เพียงแต่พลังบำเพ็ญเพียรจะต้องมากพอเท่านั้นแต่ยังต้องผ่านการลงทัณฑ์จากการขโมยสายฟ้าของ์อีกด้วยดังนั้นเมื่อสำรวจทั่วทั้งทวีปอย่างคร่าวๆ แล้ว ใน่หลายพันปีที่ผ่านมาจำนวนสัตว์เทพที่สามารถแปลงกายเป็มนุษย์ได้นั้นมีเพียงแค่หยิบมือ
ดังนั้นคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าตนเองในตอนนี้แม้ว่าใบหน้าจะดูอ่อนเยาว์ แต่ไม่แน่ว่าอาจจะมีอายุหลายพันปีแล้วก็เป็ได้คาดว่าอาจจะเป็เพียงหนึ่งในสองของผู้ที่แปลงกายได้ในเผ่าหงส์เพลิงพลังของเขาไม่อาจดูแคลนได้
อวี๋เคอยังคงเก็บอาการไว้และดึงความเงียบขรึมกลับมาบนใบหน้าตามเดิม ก่อนจะเอ่ยถามว่า “อย่าบอกนะว่าการกักขังแขกผู้มีเกียรติเอาไว้ในค่ายกลและการหยอกล้อให้เหมือนคนโง่เป็การต้อนรับแขกของเผ่าหงส์เพลิงของพวกเ้า? ”
“โอ้? ” ชายหนุ่มคนนั้นเบ้ปากไปมา พร้อมกับแสดงสีหน้าที่ดูออกว่าไม่เป็มิตรก่อนจะเหลือบมองอวี๋เคอแล้วกล่าวว่า “เ้าคิดว่าตัวเองเป็แขกผู้มีเกียรติจริงๆหรือ? ตามหลักการเรียงลำดับอายุแล้วเ้าอายุน้อยกว่าข้าไม่รู้เท่าไรเ้าควรจะเรียกข้าว่าผู้าุโมากกว่านะแต่เมื่อครู่เ้าที่เป็ผู้เยาว์กลับเรียกข้าอย่างอวดเบ่งว่าให้โผล่หัวออกมาเช่นนั้นหรือ” เขาขยับเข้ามาใกล้อวี๋เคอพร้อมกับยิ้มเย้ยหยัน “เ้าว่าเื่นี้ของพวกเราจะคิดบัญชีอย่างไรดี? ”
จากนั้นทั้งสองก็เผชิญหน้ากันกลางอากาศหวังตัวจวี๋ที่อยากจะเข้าไปแทรกแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากพลังบำเพ็ญเพียรของตนด้อยกว่าสองคนนั้นการก้าวเข้าไปแทรกอาจรบกวนพลังการเคลื่อนที่ของอวี๋เคอและทำให้เขาฟุ้งซ่านได้ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่เฝ้าดูอยู่ด้านล่างอย่างร้อนรนเท่านั้น
อวี๋เคอไม่ได้ถูกบีบบังคับให้ถอยน้ำเสียงของเขาทรงพลัง และพลังการเคลื่อนที่ก็ไม่ได้อ่อนกำลังลงเลยแม้แต่น้อย “เช่นนั้นก็เอาอย่างนี้เ้ากับข้าสองคนมาสู้กันสักตั้ง หากเ้าแพ้ก็มอบอาจิ่วให้กับข้า แต่หากข้าแพ้...”
“หากเ้าแพ้ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขของข้า” ชายหนุ่มรับคำพูดของอวี๋เคอ ราวกับคาดการณ์ว่าอวี๋เคอจะต้องแพ้อย่างแน่นอนท่าทีจึงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจขั้นสุด
“คำไหนคำนั้น”