บทที่ 95 จบความสัมพันธ์
เมื่อเทียบกับความครึกครื้นที่บ้านข้างๆ บ้านตระกูลลู่กลับเงียบสงบอย่างมาก
เหอเสวี่ยฉินถูกลู่หวยเหรินส่งโรงพยาบาล อาการาเ็ที่เอวครั้งก่อนกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้โชคไม่ดีเหมือนครั้งก่อน ต้องทำการผ่าตัดใส่เหล็กดามกระดูกสันหลัง รอจนกระดูกสมานกันแล้วจึงค่อยผ่าตัดเอาเหล็กออก
เหอเสวี่ยฉินเ็ปแทบขาดใจ เมื่อได้ยินคำพูดของหมอถึงกับหมดสติไปในทันที แต่ถึงจะสลบไป การผ่าตัดก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป ไม่อย่างนั้นชีวิตที่เหลือของเธอคงต้องนอนติดเตียงไปตลอดกาล
ลู่จิ่งซานอาจจะไม่พิการ แต่หากเธอไม่ผ่าตัด เธอต้องพิการแน่นอน
ยังไงก็ตามในระหว่างการผ่าตัดเหอเสวี่ยฉินก็หมดสติไปด้วยความเ็ปอีกครั้ง ถึงแม้จะมีฤทธิ์ยาชา แต่ปัญหาคือเหอเสวี่ยฉินไม่ตอบสนองต่อยาชา ฉีดไปก็เหมือนไม่ได้ฉีด
แน่นอนว่าเื่ราวเหล่านี้เป็เื่ที่เกิดขึ้นภายหลัง
ในขณะนี้บ้านตระกูลลู่เต็มไปด้วยความเศร้าสลด
ลู่จิ่งซานนั่งอยู่บนรถเข็น หูแว่วได้ยินเสียงเอะอะครื้นเครงของการรับเ้าสาวที่บ้านข้างๆ
เขาขยับริมฝีปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันทีที่กำลังจะเอ่ยปาก สวี่จือจือที่กำลังปูที่นอนอยู่ก็ะโลงมาจากเตียงแล้วเดินตรงมาหาเขา
“ลู่จิ่งซาน” เขาได้ยินเธอเรียกชื่อเขา
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยสัญชาตญาณ สบเข้ากับดวงตาผลซิ่งของเธอที่เปล่งประกายดุจดวงดาวที่ส่องสว่างที่สุดในห้วงอวกาศ เสียงหวานใสก็ดังขึ้น “คุณอยากจะพูดอะไรเหรอ?
ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะกำลังยิ้ม แต่ลู่จิ่งซานก็ััได้ว่า หากเขาพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา เธอจะต้องโกรธแน่นอน
ไม่เพียงแต่จะโกรธ บางทีอาจจะผลักไสเขาออกไปให้ไกลแสนไกล
“ผม...” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
สวี่จือจือมองเขาอยู่อย่างนั้น ั้แ่ที่เขาปรากฏตัวที่นี่ในวันนี้รวมถึงการไปโรงพยาบาลในภายหลัง คนคนนี้แสดงออกภายนอกว่าสงบ แต่ความจริงแล้วเธอก็ััได้ว่าเขากำลังรู้สึกท้อแท้
ยิ่งไปกว่านั้นคำอธิบายของเซียวติ้งจวินก็มากเกินไป การอธิบายมากเกินไปคือการปกปิด
“ขาของคุณอาการหนักมากใช่ไหม?” สวี่จือจือถาม
ดังนั้นในชาติก่อนเขาถึงได้ออกจากหน่วยงานแล้วกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด? แต่ในนิยายไม่ได้บอกว่าขาของเขาหายดีแล้วเหรอ หรือว่าในชาตินี้เพราะผีเสื้อขยับปีกของเธอ ทำให้าแของเขารุนแรงขึ้น?
“อืม” ลู่จิ่งซานเม้มปาก ดวงตาหงส์ลุ่มลึกหลุบลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “ดังนั้นเื่ที่ผมเคยพูดว่าจะลองคบกันดูเป็โมฆะ”
“ใน่ที่เรายังไม่ได้จดทะเบียนสมรส และยังไม่มี...ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “คุณไปเถอะ”
ถึงตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนพิการ แต่ก็แทบจะไม่ต่างอะไรจากคนพิการ ยิ่งไปกว่านั้นในอนาคตก็ไม่สามารถมอบชีวิตที่ดีกว่าให้เธอได้ แล้วทำไมเขาต้องให้เธอต้องทนกับคำเยาะเย้ยถากถางของชาวบ้านด้วย?
“ลู่จิ่งซาน คุณรู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่?” สวี่จือจือพูดด้วยความโมโห “คุณจะให้ฉันไป? จะให้ฉันไปที่ไหน? กลับไปที่หมู่บ้านเป่ยสุ่ยเหรอ? แล้วปล่อยให้หวังซิ่วหลิงกับสวี่เจวียนเจวียจนตายงั้นเหรอ?” เธอจ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ
ครั้งที่แล้วหวงรุ่ยเซิงทำไม่สำเร็จ ตอนนี้เธอถูกตระกูลลู่ตีกลับ สวี่เจวียนเจวียนกับหวงรุ่ยเซิงจะยังต้องเกรงใจอะไรอีก?
แต่ชายหนุ่มกลับหลุบตาลง ไม่สบตากับเธอ
เมื่อเห็นเขาเป็แบบนี้ สวี่จือจือก็ยิ่งโกรธมากขึ้น เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ใช่ พวกเรายังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่ฉันก็เป็คนที่คุณสู่ขอมาอย่างถูกต้องตามประเพณี เป็คนที่สาบานต่อหน้าภาพถ่าย เป็คนที่คุณเข็นจักรยานไปรับมาถึงบ้านตระกูลลู่ด้วยตัวเอง”
“คุณบอกมาสิว่าตอนนี้คุณจะให้ฉันไปที่ไหน?”
ทุกสถานที่ต้องใช้หนังสือรับรองเช่นนี้ เธอจะสามารถไปที่ไหนได้?
“ถ้าคุณ้า” ลู่จิ่งซานเบนสายตาไปทางอื่น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมสามารถฝากคนให้คุณหางานทำในอำเภอหรือเมืองฉินได้”
ถึงจะต้องแลกด้วยขาคู่นี้ก็ตาม เขาควรจะหางานดีๆ ให้เธอให้ได้
ดูเขาสิ คิดเองเออเองไปหมดแล้ว
“ดังนั้นคือคุณคิดไว้หมดแล้ว?” สวี่จือจือถอยหลังไปสองก้าว ยิ้มเยาะแล้วนั่งลงบนขอบเตียง พลางมองลู่จิ่งซาน “หรือว่าความจริงแล้วในหน่วยงานของคุณ คุณมีคนที่ชอบพออยู่แล้ว เลยกลับมาให้ฉันหลีกทางให้หล่อน?”
“คุณคิดว่า” ลู่จิ่งซานยิ้มเยาะตัวเอง “ตอนนี้ผมที่เป็เหมือนคนพิการ ใครจะมาสนใจผม?
“ผมทำเพื่อคุณ” ลู่จิ่งซานหันกลับมามองเธอ แล้วพูดอย่างหนักแน่น “ขาของผมต่อให้หายดีก็คงจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และตำแหน่งนั้นผมก็กลับไปไม่ได้แล้ว”
เขาเงยหน้าขึ้นมองมือใหญ่ที่วางอยู่บนขาซ้าย แม้จะถอดเฝือกออกไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีแรง
“ถ้าคุณกังวลว่าคนจะพูดถึง” ลู่จิ่งซานพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก มือใหญ่ที่จับพนักพิงรถเข็นก็กำแน่น เขาได้ยินเสียงตัวเองสั่นเครือ “่นี้คุณสามารถอยู่ที่บ้านตระกูลลู่ได้ รอจนกว่าทุกคนจะไม่สนใจเื่ของผมแล้ว พวกเรา...” เขาพูดเสียงแ่ “พวกเราค่อยหาเหตุผลกัน”
“คุณวางใจได้ เหตุผลนี้จะต้องเป็ความผิดของผมอย่างแน่นอน” เขาพูดเสริมอย่างรีบร้อน
ทันทีที่พูดจบก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น
ลู่จิ่งซานเงยหน้าขึ้นมองเธอ เห็นดวงตาผลซิ่งของเธอกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมากนะ ในสถานการณ์แบบนี้ คุณยังคิดถึงฉันได้อย่างละเอียดรอบคอบขนาดนี้”
ละเอียดรอบคอบจนเธออยากจะเข้าไปกัดเขาสักสองสามคำถึงจะหายแค้น
ทั้งที่ในใจอาลัยอาวรณ์แท้ๆ แต่กลับพูดออกมาได้อย่างเด็ดขาดขนาดนี้
“ฉันจะขอบคุณคุณยังไงดีนะ?” สวี่จือจือเอียงศีรษะมองเขาแล้วถาม
ดวงตาสุกใสของเด็กสาวมองเขาด้วยรอยยิ้ม แต่กลับทำให้ลู่จิ่งซานรู้สึกผิดจนไม่กล้าสบตาเธอ
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้และคิดว่าการตัดสินใจนี้เป็สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่กล้าสบตาเธอ
“หืม?” เมื่อเห็นเขาไม่ตอบ เด็กสาวก็ลากเสียงยาวแล้วถามอีกครั้ง
“ไม่...” ลู่จิ่งซานหลุบตาลง “ไม่ต้องขอบคุณผม เพราะผมทำให้คุณเดือดร้อน”
สวี่จือจือ “...” เธอไม่รู้จะทำยังไงกับผู้ชายคนนี้แล้วจริงๆ
“สรุปว่าคุณตัดสินใจแล้วใช่ไหม?” เธอมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จะต้องเป็แบบนี้ใช่ไหม ลู่จิ่งซาน?”
ทั้งที่ใจของคุณไม่ได้คิดแบบนี้
“ถ้าเกิดว่า” เด็กสาวมองเขาอย่างจริงจัง “ฉันบอกว่าที่นี่ไม่ใช่แค่ที่พักพิงของฉัน แต่ฉันถือว่าที่นี่เป็บ้านไปนานแล้วล่ะ”
เธอปฏิบัติต่อคุณย่าเหมือนคุณย่าแท้ๆ คอยเอาใจใส่ดูแล ช่วยเหลือลู่ซือหยวนให้ก้าวผ่านชีวิตสมรสที่ล้มเหลวและมีธุรกิจเป็ของตัวเอง ถึงแม้ว่าเธอจะทะลุมิติมาที่นี่อย่างงุนงง แต่ทุกวันนี้ก็ยังคงรู้สึกขอบคุณ
แม้กระทั่งตอนที่บอกลู่จิ่งซานว่าจะลองคบกันดู เธอพยายามอย่างเต็มที่ เธอทุ่มเทความรู้สึกอย่างเต็มที่ให้กับความสัมพันธ์ครั้งนี้จริงๆ แต่ทำไมต้องมาล้อเล่นกับเธอแบบนี้ด้วย?
“คุณยังยืนยันความคิดของคุณอยู่ใช่ไหม?” สวี่จือจือถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณยังจะไล่ฉันออกจากบ้านตระกูลลู่ใช่ไหม?”
“ผมไม่ได้จะไล่คุณไปไหน” ลู่จิ่งซานคำรามเสียงแ่ “ผมทำเพื่อคุณ คุณไม่เข้าใจเหรอ?”
“ยิ่งไปกว่านั้น” เขาพูดถึงตรงนี้ก็เบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเด็ดเดี่ยว “ผมไม่้าความสงสารและความเห็นใจของคุณ”
“คุณไปเถอะ”
“ไปสิ”
.............................